***คำคมเพชรจากใจเพชร**กิเลสมาก ปัญหามาก  กิเลสหมด ปัญหาหมด  ปัญหาไม่เคยหมดไปจากโลก แต่ปัญหาสามารถหมดไปจากใจเรา ***กิเลสมีแต่จะให้ทุกข์  เสพกิเลสไปเรื่อยๆ จะพบทุกข์เอง***ใครที่เชื่อเรื่องกรรมจะพ้นทุกข์***ใครอยากเจริญในธรรม ระวังอัตตามานะให้ดี งานทุกงาน มีอัตตา มีโลกธรรมงานทุกงานอาศัยไปสู่การบรรลุธรรมได้หมด***เจอผัสสะได้โชค  3  ชั้น คือ เห็นทุกข์ ล้างทุกข์ และได้ใช้วิบากกรรม***

คุณหมอเขียว
สอนโยคะกายบริหาร และ การกดจุดลมปราณ

 

การบริหารกายที่ดี

  • •จะต้องได้ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
  • •ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ และเส้นเอ็น
  • •การเข้าที่เข้าทางของกระดูก เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ

คนพอเพียง

  • •เลี้ยงชีพด้วยการให้ แบ่งปัน เสียสละ
  • •ชีวิตที่มั่นคง มีคุณค่า และผาสุกที่สุดในโลก

 

รู้จัก คุณหมอเขียว ใจเพชร คุณหมอเขียว ใจเพชร

ก่อนที่จะนำเสนอวิธีการดูแลสุขภาพ
ธรรมชาติบำบัดตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง
ที่ใช้หลักการดูแลสุขภาพ ๘ อ.คือ
อิทธิบาท, อารมณ์,อาหาร, อากาศ,
ออกกำลังกาย, อิริยาบถ-เอนกาย,
เอาพิษออก และอาชีพ อันถูกต้อง
โดยเน้นการพึ่งตนเองเป็นหลัก
ขอแนะนำ คุณหมอเขียว คุณหมอที่
อยากจะให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี ก่อนนะค่ะ

ชื่อ ใจเพชร กล้าจน (หมอเขียว)
เกิด จังหวัด มุกดาหาร

การศึกษา
๑.ปริญญาตรีวิทยาศาสตร์สุขภาพ สาธารณสุขศาสตร์ มสธ.
๒.ปริญญาตรีวิทยาศาสตร์สุขภาพ บริหารสาธารณสุข มสธ.
๓.สำเร็จการศึกษาวิชาวิทยาศาสตร์การแพทย์แผนไทย,
แนวคิดและทฤษฏีการแพทย์แผนไทย,เวชกรรมแผนไทย,เภสัชพฤกษศาสตร์,
ธรรมานามัย และสังคมวิทยาการแพทย์ มสธ.
๔.ศึกษาและอบรมด้านการแพทย์ทางเลือกจากประเทศมาเลเซียและจีนไต้หวัน
๕.ปริญญาโท สาขาพัฒนาบูรณาการศาสตร์(เศรษฐกิจพอเพียง)มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
ทำการศึกษาวิจัยเรื่องความเจ็บป่วยกับการดูแลสุขภาพพึ่งตนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง
ตามหลักแพทย์ทางเลือกวิถีพุทธของศูนย์เรียนรู้สุขภาพพึ่งตนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง
สวนป่านาบุญ อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร
๖.ปริญญาเอก วิทยาศาสตรดุษฏีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาสาธารณสุขชุมชน ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๕๕
(วันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๕๕) จากมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ

๗.ปริญญาเอก ปรัชญาดุษฏีบัณฑิต สาขายุทธศาสตร์การพัฒนาภูมิภาค (สาธารณสุขชุมชน) มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ ทำการศึกษาเรื่องดุษฏีนิพนธ์เรื่อง"จิตอาสาแพทย์วิถีพุทธเพื่อมวลมนุษยชาติ"

 

ประสบการณ์การปฏิบัติงาน
: โรงพยาบาลหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร (พ.ศ.๒๕๓๕-๒๕๔๐)
: สถานีอนามัยบ้านนิคมเกษตรกรรมทหารผ่านศึก จังหวัดมุกดาหาร
(พ.ศ.๒๕๔๐-๒๕๔๕)
: สำนักงานที่ปรึกษาด้านพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของนายกรัฐมนตรี
(พ.ศ.๒๕๔๖-๒๕๔๘)
: สำนักงานสาธารณสุขอำเภอหว้านใหญ่ จังหวัดมุกดาหาร (พ.ศ.๒๕๔๘)
: โรงพยาบาลอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ (พ.ศ.๒๕๔๘- ปัจจุบัน)

ตำแหน่งหน้าที่และการงานปัจจุบัน
ประธานมูลนิธิแพทย์วิถีธรรมแห่งประเทศไทย ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ทางเลือกวิถีธรรมจากสำนักแพทย์ทางเลือกกระทรวงสาธารณสุข

ผลงาน
๑.รางวัลข้าราชการโรงพยาบาลดีเด่น พ.ศ. ๒๕๓๖
๒.รางวัลข้าราชการสาธารณสุขดีเด่น จังหวัดมุกดาหาร พ.ศ.๒๕๔๓
๓.รางวัลข้าราชการพลเรือนดีเด่น จังหวัดมุกดาหาร พ.ศ.๒๕๔๓
๔.ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ช้างเผือก ชั้นที่ ๔ จัตุรถาภรณ์วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๓ เป็นปีที่ ๕๕ ในรัชกาลปัจจุบัน
๕.ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์มงกุฏไทย ชั้นที่ ๓ ตริตาภรณ์ วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๕ เป็นปีที่ ๕๗ ในรัชกาลปัจจุบัน
๖. รางวัลต้นแบบคนดีแทนคุณแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๕๓ เครือข่ายเดอะเนชั่น
๗.รางวัลคนค้นฅนอวอร์ด ครั้งที่ ๒ สาขา คนต้นเรื่องแห่งปี พ.ศ. ๒๕๕๓
๘.รางวัลชนะเลิศ ผลงานวิชาการ Routine to Research ประเภทโปสเตอร์ เรื่อง "ผ่าทางตันปัญหาสุขภาพด้วยการ แพทย์วิถีธรรม ของหน่วยงานแพทย์วิถีธรรมโรงพยาบาลอำเนาจเจริญ" จากสำนักป้องกันควบคุมโรคที่ ๕,๖,๗ วันที่ ๒๙ มิถุนายน ถึง ๑ กรกฏาคม พ.ศ.๒๕๕๔
๙.รางวัลชนะเลิศอันดับ ๑ ในผลงานวิชาการเวชปฏิบัติครอบครัวและชุมชนเรื่อง "นวัตกรรมผ่าทางตันปัญหาสุขภาพ โรงพยาบาลอำนาจเจริญ" สำนักงานบริการสารธารณสุขและสมาคมเวชกรรมสังคมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๔
๑๐.รางวัลผู้มีผลงานดีเด่นวัฒธรรมสัมพันธ์ ครั้งที่ ๕ เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารีและวันอนุรักษ์มรดกไทย ประจำปี พ.ศ.๒๕๕๕ สาขาแพทย์แผนไทย จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๕๕

 

*** ความใฝ่ฝันที่สวนทางกับความจริง

ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ทำงานโรงพยาบาลเพราะรู้สึกกลัว
เชื้อโรคมาก ผมอยากเป็นทหาร มีค่านิยมว่า
เป็นทหารแล้วโก้อวดสาว ๆ ได้ ผมสอบได้ทหาร
อากาศตอนรายงานตัวผมไปไม่ ทันเลยอดเรียน
และมาสอบติดสาธารณสุขเลย ต้องทำงานรักษาคน
อาจเป็นเพราะ วัยเด็กเรา ซึมซับมาตลอดว่า
พ่อนอกจากเป็นครูแล้ว ยังเป็นหมอสมุนไพรด้วย
พ่อรักษาช่วยชีวิตผู้อื่น ให้เราเห็น อยู่เสมอ
เราเคยเห็น คนถูกงูกัดซึ่ง ทางโรงพยาบาลรักษา
ไม่หาย บางคนอาการปางตาย แต่มาหาพ่อ
แล้วหาย โดยพ่อใช้สมุนไพรรักษา

พอเรียนจบผมรับราชการที่โรงพยาบาลหว้านใหญ่
จังหวัดมุกดาหาร อยู่ฝ่ายส่งเสริมสุขภาพ ผมทำ
โครงการ เรื่องเด็กขาดสารอาหาร เรื่องยาเสพติด
บุหรี่ ทำกับ ชาวบ้านเป็นส่วนใหญ่ ทำไปทั้งที่ไม่มี
งบประมาณ แต่เห็นว่าโครงการนี้มีประโยชน์
ก็ตั้งใจมุมานะทำ ในปีแรกผมก็ได้รับคัดเลือก
เป็น ข้าราชการดีเด่น ของโรงพยาบาลเมื่อปี ๓๖
ทำไปสักพักเห็นคนเจ็บป่วยจากโรคมะเร็ง เบาหวาน
ความดัน หลาย โรคที่เรื้อรังรักษาไม่หาย หรือแม้แต่
ไม่ใช่โรคเรื้อรัง เช่น โรคกระเพาะอาหาร ก็รักษาไม่หาย

ผมเริ่มสนใจเรื่องเส้นเอ็น เรื่องแพทย์แผนไทย
โดยเริ่ม บุกเบิกโครงการแพทย์แผนไทยขึ้น
ในโรงพยาบาลหว้านใหญ่ เพราะเห็นว่าชาวบ้าน
น่าจะพึ่งตนเองได้ผมเชิญหมอพื้นบ้าน ไปเป็น
วิทยากร อบรม อ.ส.ม. สาธารณสุข เราก็ถือ
โอกาสเรียนด้วย ผมทำหลาย ๆ เรื่องในด้าน
แพทย์แผนไทย เริ่มจากเรื่องนวดและการใช้
ยาสมุนไพร ทำให้ได้พื้นฐานตรงนั้น
จึงเริ่มเห็นทางออกของสุขภาพ

ต่อมาคุณหมอเพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ ได้เข้ามา
ส่งเสริมให้ทำโครงการนี้ ต่อเนื่อง จนมีโรงอบ
สมุนไพรที่โรงพยาบาลผมส่งน้องในฝ่ายฯมา
อบรมเป็นครูฝึกแพทย์แผนไทย แล้วกลับไป
ทำงาน รวมทั้งส่งจ้าหน้าที่ที่เป็นคนงาน
มา ฝึกนวดฝ่าเท้า เพื่อกลับไปบริการชุมชน
ตรงนี้เป็นการเริ่มต้นของงานต่าง ๆ

*** พบต้นเหตุของโรค

จากจุดที่ทำเรื่องบุหรี่ ผมมีโอกาสมาดูงาน
ที่โรงพยาบาล มิชชั่น คอร์สเลิกบุหรี่ ๕ วัน
ได้แนวคิดกลับไปประยุกต์ใช้ ได้ผลดีเพิ่มขึ้น
ช่วยให้คนเลิกสูบบุหรี่ ทำให้สุขภาพดีขึ้น
ทำให้มีโอกาสเสนอ ผลงาน ให้จังหวัดอื่นรับรู้
ผมจึงได้ รับเชิญไปเป็นวิทยากรตามที่ต่าง ๆ
ทำไปเรื่อย ๆ ก็เจอความเครียด จากคนที่เคย
เข้าคอร์ส เลิกสูบบุหรี่ได้แล้วก็หันกลับไป
สูบอีก ส่วนใหญ่เขาบอกว่า เพราะความ
เครียด ต้องใช้บุหรี่คลายเครียด

ต่อมาผมก็เริ่มค้นหาสาเหตุว่าความเครียดเกิดจากอะไร
ค้นไป ค้นมาพบว่า ความเครียดเกิดจาก กิเลสนี่เอง
ก็ตรวจตัวเองว่า มีไหม เพราะเราก็เครียดเหมือนกัน
ผมเริ่มเห็นความจริงว่า กิเลสทำให้เครียด ทำให้ทุกข์

*** ค้นพบสัจธรรมชีวิต

เริ่มสนใจอ่านหนังสือธรรมะ อ่านหมดทั้งของท่าน
พุทธทาส หลวงปู่เทสก์ อาจารย์ชา และธรรมะ ของ
ชาวอโศก เข้าใจเหตุของความเครียดว่ามาจากตัวโกรธ
ตัวโลภ ตัวหลงโลกธรรม อยากให้เขา คิดเหมือนเรา
อยากรวย อยากได้โน่นได้นี่ หลงดี ยึดดี อยากให้คน
อื่นได้ดีไม่อยาก ให้เขามาว่าเรา อยากให้คนเคารพ
สรรเสริญ อยากได้ ๒ ขั้นแม้ได้ ๒ ขั้น มาก็ทุกข์เพราะ
ต้องแก่งแย่งกันตอนได้มา ก็สุขนิดหน่อย แล้วก็ทุกข์
อีกเพราะอยากอวด เมื่อเริ่มเข้าใจธรรมะก็รู้สึกถึง
ความเครียดที่ลดลง เริ่มมีความสุขมากขึ้น

ปี ๒๕๔๐ คุณสัญชัย ตุลาบดี ข้าราชการสาธารณสุข
จังหวัดมุกดาหาร เห็นว่าผมทำโครงการแก้ปัญหา
ความยากจน เด็กขาดสารอาหาร เรื่องการมีอยู่มีกิน
ยาเสพติด ท่านก็สนับสนุนงบให้ และ ชวนไปงาน
อบรมธรรมที่ศีรษะอโศก จังหวัดศรีสะเกษ
บอกว่าที่นั่นมีโครงการ อบรมจริยธรรม มีกสิกรรม
ไร้สารพิษ ซึ่งผมชอบอยู่แล้วและกำลังหาความรู้
เพิ่มเติม

ก่อนหน้านั้น ผมเคยไปดูงานของพ่อผาย พ่อคำเดื่อง
พ่อสุทธินันท์ ที่บุรีรัมย์ ซึ่งเขาก็นำศาสนา เข้ามาแก้
ปัญหา พาลดละอบายมุขเหมือนกัน ก็เริ่มชัดขึ้น เรา
ก็เคยพาชาวบ้านทำ เคยคิดว่า เราเป็นนักพัฒนาที่เก่ง
เราแน่ พาคนให้มีกินมีอยู่ พาให้เด็กไม่ขาดสารอาหาร
พาคนเลิกอบายมุข เหล้า บุหรี่ มีสุขภาพแข็งแรง ซึ่ง
ความจริงเมื่อเขาเลิกแล้วก็น่าจะจบปัญหาเสียที
แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น พอเขามีฐานะดีขึ้น เขาก็ลืมตัว
หันกลับไปหาเหล้าบุหรี่ การพนัน หวย การเที่ยวเตร่
ต่าง ๆ เราเคยคิดว่า การมีรายได้จะแก้ปัญหาได้ทุก
เรื่อง แต่แล้วก็รู้ว่าความจริงมันยังไม่ใช่

*** ศีรษะอโศกผ่าทางตัน

เมื่อไปถึงศีรษะอโศก ได้พบในสิ่งที่ไม่เคยพบ
คนเป็นพัน ๆ แต่ไม่มีใครกินเหล้า สูบบุหรี่ ไม่มี
ใครด่าว่ากัน ทำไมคนที่นี่ เขาสงบ ใส่ชุดม่อห้อม*
กันแทบทุกคน ผู้หญิงนุ่งผ้าถุง หลายคนมีการศึกษา
สูง เป็นหมอบ้าง เป็นครูบ้าง เป็นพยาบาลบ้าง
แต่งตัวเป็นชาวบ้าน เหมือนกัน หมดเลย ต่างก็
ไม่ ถือเนื้อถือตัว ผมรู้สึกประหลาด ใจมาก
พวกเขามีวิชาอะไรก็ถ่ายทอดให้หมด
ไม่ว่าจะเป็นวิชาเพาะเห็ด ทำจุลินทรีย์ ทำปุ๋ย
ทำกสิกรรม ไร้สารพิษเขาถ่ายทอดอย่าง
ไม่ปิดบังเลย ไปจุดไหน เขาก็ต้อนรับอย่างดี
เราทึ่งมาก ถ้าคิดเป็นค่าวิชา แต่ละวิชา
คงแพงมาก แต่พวกเขาเสียสละ ให้โดยไม่รับ
ค่าตอบแทนใด ๆ ที่นี่ได้เห็นคนมีน้ำใจ มีศีล ลดละ
อบายมุข เราได้พบทางออกว่า สังคมอย่างนี้มัน
ใช่เลยเป็นสังคม ที่เราค้นหาที่เรากำลังตัน ๆ อยู่
ต้องอย่างนี้แหละจึงจะแก้ปัญหาได้


* คำว่า ม่อฮ่อม เขียนได้หลายแบบ เช่น
ม่อห้อม,หม้อฮ่อม ,หม้อห้อม ซึ่งแล้วแต่
ใครจะนำมาใช้ แต่ ความหมายที่แท้จริงนั้น
เหมือนกันทุกคำคือ เสื้อผ้าที่มีสีครามที่เกิด
จากภูมิปัญญา ของบรรพบุรุษชาวไทย เป็น
การใช้ ผ้าฝ้ายที่ได้จากการทอย้อมด้วยสีคราม
ที่ได้จากต้นฮ่อมหรือ ต้นคราม จะได้ผ้า
สีเดียวกันตลอดทั้งผืน

 

** มังสวิรัติ ธรรมาวุธหมายเลข ๑

ก่อนหน้านี้เคยลองทำบ้าง ผมศึกษาอยู่ ๒ ประเด็น เรื่องสุขภาพกับ
เรื่องศีลธรรม เพราะในช่วงแรกที่ผมนำความรู้ที่เรียนจบมาดูแล
ประชาชนที่เจ็บ ป่วยในโรงพยาบาล ความเจ็บป่วยก็ไม่ได้ลดลง
อัตราการเจ็บป่วย ยังเพิ่มมากขึ้น ๆ หลายโรค ก็รักษาไม่หาย
หลายคนหายแล้วแต่ยังทำพฤติกรรมเหมือนเดิม ก็กลับมาเป็น
โรคเก่าอีก เวียนไปเวียนมาทำให้สงสัยว่า ที่เรา เรียนมานั้นมัน
ครบ สมบูรณ์หรือเปล่า มันช่วยคนได้จริงหรือ มีอย่างอื่นอีกไหม
ผมจึงไป เรียน แพทย์แผนไทย และแพทย์ทางเลือก โดยซีกหนึ่ง
ของแพทย์ทางเลือก คือ การกิน อาหารแมคโครไบโอติก
และมังสวิรัติซึ่ง ได้จากโรงพยาบาลมิชชั่น และจากข้อมูลหนังสือ
อาหารมังสวิรัติ เล่มหนึ่ง มีการวิจัยว่าคนกินอาหาร มังสวิรัติ
จะมีอาย ุยืนกว่าคนกินเนื้อสัตว์ การศึกษาอาหารแมคโครไบโอติก
เขาไม่ กินเนื้อสัตว์ และใช้หลักการ หยินหยางรักษาคน ปรากฏว่า
คนที่ได้รับ การรักษา ก็ดีขึ้นตามลำดับ ผมจึงนำวิธีนี้มาทดลองใช้
กับคนไข้ และกินเอง ด้วยการศึกษาหลักธรรมชาติบำบัด
ทำให้รู้ว่าเนื้อสัตว์เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

อีกส่วนหนึ่งก็คือ มีผู้ส่งหนังสือสารอโศกฉบับ "ไฟบรรลัยกัลป์"
มาให้ผม กระดาษที่ห่อหนังสือ มีข้อความ ที่ทำให้ผมสะดุดใจ
อย่างมาก ว่า "คุณมีความเมตตากับผู้คน กับสัตว์เพื่อนร่วมโลก
แต่ปากคุณ ยังเคี้ยวกลืนชีวิตของผู้อื่นอยู่ คุณมีเมตตาจริงหรือเปล่า"
เราก็สะดุ้ง เราคิดว่าเรามี เมตตา แต่ยังกินหมู กินเป็ดไก่ กินวัวควาย
ซึ่งผมก็ยัง ซื้อเนื้อวัวมา กินเกือบ ทุกอาทิตย์ เพราะเป็นทั้ง นักดนตรี
นักกีฬาเล่นไปด้วย กินเหล้าไปด้วย ตามประสาคนหนุ่ม

*** ใคร ๆ ก็ว่าผมเปลี่ยนไปเป็นคนบ้า

ผมกินอาหารมังสวิรัติตั้งแต่นั้น โดยไม่มีความคลางแคลงสงสัย
เป็นเส้นทาง ที่เราค้นหา เคยฟังเพลงที่เขาสอนให้รักสัตว์ พูดถึง
สัตว์มีความรักผูกพันต่อกัน แต่คนไปจับพรากมาทำร้าย แล้วนำ
มากิน สัตว์ก็เสียใจ เขาก็บอกพอซะ ทีเถอะนะ เราก็ว่าใช่ ๆ ๆ
ตามมาด้วยความเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือ เป็นหลังมือ ที่เคยเด่น
เป็นทั้งนักกีฬาเซปักตะกร้อ นักดนตรี เด่นของโรงพยาบาลกิน
เหล้าก็เด่น บุหรี่ไม่เคยสูบ กินเหล้าแล้วสนุกมันครึ้มใจ กินแล้ว
หน้าด้านดี ร้องรำทำเพลง มีความสุข ตอนนั้นไม่คิดว่ารบกวน
เพื่อนฝูง ยังคิดว่า ทีมพยาบาลทั้งหมดน่าจะ มาสนุก มาตีกลอง
ร้องเพลง กับเรา เราไม่เข้าใจ เราไม่รู้ พอกลับจากงานอบรมธรรม
คราวนั้นเราจึงเข้าใจ

ผมเปลี่ยนตัวเองอย่างรวดเร็ว เรียกว่าชาวอโศกพาฝึกอะไร
ผมฝึกหมด รองเท้าไม่ใส่ ใส่ชุดม่อฮ่อม ตัดผมสั้น กินมื้อเดียว
เพื่อน ๆ มองว่าผมเป็นบ้าแล้ว บอกชาวบ้านอย่าเข้ามาใกล้ และ
พยายามให้ผมทำเหมือนเดิม ในช่วงแรกผมก็ยังเล่นดนตรีกับ
เพื่อนอยู่ แต่ไม่กินเหล้าแล้ว เล่นไม่นานก็เบื่อ เพราะเมื่อไม่มีอะไร
ย้อมใจ ก็พบความจริง รู้สึกปวดเอว ปวดหลัง ไม่กินเหล้าเล่น
ดนตรีก็ไม่อร่อย

ใครว่าบ้า แต่เรามีความสุข ยิ้มเหมือนติดกัญชา เพราะรู้ว่าเรามี
ทางรอดให้้ชีวิต รู้วิธีช่วยคน และ สังคม จากความเครียดซึ่งแต่
ก่อนผมก็เครียด เพราะ เป็นคนจริงจัง เห็นใครทำไม่ดี ไม่ถูกต้อง
จะจัดการทันที เป็นสาย ยึดดีปากร้าย พูดตรง ๆ ไม่กลัวใคร จึงมี
ทั้งคนชอบและไม่ชอบ คนที่รักคุณธรรม ก็จะชอบเรา คนที่มีผล
ประโยชน์ก็จะไม่ชอบ สิ่งสำคัญ นอกจากการเปลี่ยนแปลงหลาย
อย่างในตัวผม คือ ผมทำงานได้ดีกว่าเดิม เพราะไม่ไป เสียเวลา
หลงเที่ยวเตร่ทำเรื่อง ไร้สาระ ทำให้สมองปลอดโปร่ง
ทำงานได้มาก เพราะได้เวลาที่เคย สูญเสียกลับคืนมา

*** ปัญญาเกิดส่องให้เห็นแสงสว่าง

ชอบเรื่องไสยศาสตร์ เล่นอยู่ยงคงกระพัน มีว่าน พ่อพาเล่นเคย
ลองให้เพื่อนพยาบาลฉีดยาให้ แต่ฉีดไม่เข้า ภูมิใจในของดีที่
เรามีแทงไม่เข้า วันหนึ่งฟังพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์เทศน์ว่า
ทุกอย่าง มีมา แต่เหตุซึ่งเราเป็นคนมีเหตุมีผลมาก ศาสนาพุทธ
เป็นหลักวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ได้ทำสิ่งใด ได้ผลอย่างนั้น ชัดเจน
เพียงแต่จะเห็นผลช้าหรือเร็ว พูดถึงภูมิโสดาบันยิ่งกว่าสวรรคาลัย
ยิ่งกว่าอธิปไตยในหล้า ยิ่งกว่าเอกราชทั่วทั้งแผ่นดิน อะไรจะมี
ความสุขขนาดนั้น การปฏิบัติธรรมทำให้เกิดความคิดในเรื่องการงาน

อยากออกมาอยู่ทำงานกับชาวอโศก เริ่มมีความคิด งานที่ทำอยู่ไม่มี
สาระ ปล่อยให้คนป่วยแทบตายแล้วมาให้เราแก้ปัญหาตรงปลายเหตุ
ก็ไม่จบสักที ไม่ว่าจะเป็นความล้มเหลวของสาขาไหนสุดท้ายก็จะมา
ลงที่สุขภาพหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ พอเครียดก็ป่วย กิน
อาหารที่มีพิษเป็นบาป เพราะเบียดเบียนสัตว์ ทำให้เกิดโรคกสิกรรม
ที่ใช้สารเคมี คนกินก็ป่วยอีกแล้วก็หาหมอ หมอก็จะพากันตาย
เพราะงานหนัก และ ปัญหาก็ยังไม่ได้แก้ ผมเริ่มแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
เอาธรรมะลงไปให้ชาวบ้าน เช่น แนะนำคนไข้ กินมังสวิรัติ พา
ปฏิบัติธรรม ถือศีล ๕ ละอบายมุข พยายามรณรงค์แต่ไม่
ประสบ ความสำเร็จเท่าไร ชาวบ้านไม่เข้าใจ รับไม่ได้ แม้แต
เพื่อนผมเอง ก็ยังไม่รับ มีไม่กี่คน ที่รับได้ ก็มากินมังสวิรัติด้วยกัน

เมื่อมีแนวคิดแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ รู้ว่าต้องทำอะไร ก็มีอุปสรรค
เนื่องจากโรงพยาบาล เป็นองค์กรใหญ่ ทำอะไรได้ไม่มาก พอดีมี
จังหวะ ย้ายผม ทำงานโรงพยาบาล ๕ ปี ก็ย้ายไปอยู่สถานีอนามัย
คิดจะทำ โครงการช่วย ชาวบ้านตามที่มีองค์ความรู้ ซึ่งได้จากชาว
อโศก การดูแลสุขภาพ แบบองค์รวม เอาครบเลย ตั้งแต่วิถีชีวิต
วัฒนธรรมมีความเกื้อกูล ลงแขกช่วยเหลือกัน กินอาหารปลอดภัย
จากสารเคมี ทำทุกเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพที่ดีกิดผลทำให้มีคนสนใจ
มาดูงานมากมายเป็นจุดเด่น ของสถานีอนามัย ที่มี แพทย์แผนไทย
แพทย์ทางเลือกและสะสมภูมิปัญญาในหลายๆ ด้านเข้ามา

*** ประสบการณ์การแพทย์แผนไทย
เมื่อเจอทางตันจากการแพทย์แผนปัจจุบัน และพบว่าหลาย ๆ โรค
แพทย์์แผนไทย แพทย์ทางเลือก สามารถแก้ปัญหาได้รวดเร็ว เช่น
เบาหวานมะเร็ง ความดันโลหิตสูง หวัด ปวดท้อง ปวดข้อ ปวดเข่า
ที่ชาวบ้านทั่วไปเป็นกันอยู่เราพบว่ามีวัตถุดิบในพื้นที่ที่สามารถ
นำ มาใช้ได้ทดลองใช้จริง ๆ ปรากฏว่า มีประสิทธิภาพสูง บางโรค
หายขาด ยิ่งทำไปก็ยิ่งชัด การแพทย์แผนปัจจุบัน ช่วยประมาณ
๒๐ เปอร์เซ็นต์ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ์สามารถใช้แผนไทย หรือ แพทย์
ทางเลือกมาช่วยได้ เต็ม ๆ ทำให้ชาวบ้านพึ่งตัวเองได้ มีส่วนน้อย
ที่ต้องใช้เทคนิคพิเศษ เช่น หาหมอเพื่อผ่าตัด เลือดออกในสมอง
เลือดคั่ง ในสมอง ติดเชื้อเฉียบพลัน นอกนั้นโรคอื่น ๆ แพทย์แผนไทย
ใช้สมุนไพร ใช้อาหารปรับธาตุ ใช้การนวด กดจุด ปรับกระดูกต่าง ๆ
คนไข้หายขาดส่วนใหญ่ รู้สึก จะเกิดปฏิกิริยาไวกว่ามื่อเปรียบเทียบ
กับที่ผมเคยตรวจรักษา คนไข้้และจ่ายยา ซึ่งเรารู้ว่าอีก ๒ - ๓ วัน
ก็หาย แต่ไม่นานพวกเขาก็กลับมาอีกในอาการเดิม ๆ เห็นหน้าคนไข้
ก็รู้ จำได้คนนี้ เป็นโรค กระเพาะ คนนี้ ปวดข้อ คนนี้ปวดหัวประจำ
แต่ในการรักษาแบบแพทย์แผนไทย ผมเคยเจอ ผู้ป่วย ที่กระดูก
ทับเส้นประสาท หมอนัดผ่าตัดแล้ว แต่เขาก็หายโดยไม่ต้องผ่าตัด
อีกรายกำลังเป็นหวัด เราเข้าครัว บีบมะนาวใส่แก้ว โขลกกระเทียมหัวหอม
ใส่ให้เขากิน ก็หายจากอาการหวัด หลายสิ่งที่เราพึ่งตนเอง ได้ด้วยวิธีง่าย ๆ
แต่เพราะเราไม่ได้ศึกษาเรื่องการพึ่งตนเอง

หลักการของ แพทย์แผนไทยส่วนใหญ่ คือการพึ่งตัวเอง

อ่านตัวเองให้ออก วิเคราะห์ว่าเกิดอะไรขึ้นในร่างกาย จะแก้ไขอย่างไร