1. บันทึกการสัมภาษณ์กรณีศึกษากลุ่มตัวอย่างจาก ผู้ใช้การแพทย์วิถีพุทธสำหรับผู้ที่มาเข้าอบรมค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีพุทธ 5-7 วัน
ณ ศูนย์เรียนรู้สุขภาพพึ่งตนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง สวนป่านาบุญ 1 อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร และเครือข่ายแพทย์วิถีพุทธทั่วโลก
ระหว่างปี พ.ศ. 2552 – 2558
(ประเภทข้อมูลที่ 7 การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ ผ่านสื่อออนไลน์ – ยูทูบประเภทข้อมูลที่ 9 แบบบันทึกสัมภาษณ์แลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ และ ประเภทข้อมูลที่ 12 แบบสอบถามประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ เทคนิค 9 ข้อ)
กรณีศึกษาที่ | 1.6 |
ชื่อ | ยุวดี นโมชัยยากร |
เพศ | หญิง |
อายุ | 53 ปี |
ประเทศ | รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา |
โรค | มะเร็งในต่อมน้ำเหลือง |
อาการ | มีปัญหาทรมานมากในการกินเพราะโดนผ่าตัดกระเพาะและม้ามทิ้งหมด |
วันสัมภาษณ์ | 26 กันยายน 2557 |
ยุวดีค่ะ มาจาก เท็กซัส (Taxas) ก่อนที่จะมาเจอหมอเขียวนี่ ความจริงป่วยอยู่แล้ว เพราะว่าเป็นมะเร็งในต่อมน้ำเหลือง แล้วก็ต้องโดนผ่าตัดกระเพาะทิ้งหมด ผ่าตัดม้ามทิ้งหมด แล้วก็จะกลายเป็นคนที่มีปัญหาทรมานมากในการกิน เพราะว่าเวลากินทุกครั้งนี่จะปวดทรมานดิ้นแบบพลาด ๆ เลยค่ะ แล้วก็กินไม่ได้มา 30 ปี ก่อนหน้านี้จะผอมไปไหนนี่จะผอมตอบนะคะ แล้วก็พอเริ่มเข้าค่ายวันแรกที่เราเริ่มกินข้าวต้ม เป็นครั้งแรกในชีวิตที่กินอาหารได้หมดชาม 30 กว่าปีทุก ๆ คนลองจินตนาการ (Imagine) ดูนะค่ะ กินไม่ได้มา 30 ปี เพราะฉะนั้นตรงนั้นนี่ ทำให้เห็นว่าโอ้..เรามาถูกทาง แต่ก็ยังมีข้อกังขา เพราะว่าไปเจอเขาขยี้ใบย่านางด้วยมือนะคะ แล้วเราไม่มีม้าม แพ้ขนาดที่ว่าคุณสามารถจามอยู่มุมโน้นน่ะนะ แต่คนนี้เข้าโรงพยาบาล เป็นขนาดนั้นนะคะ แล้วเวลากลับเมืองไทยนี่ ไปเจอส้วมซึมที่เราต้องอ้าขาปัสสาวะแค่นั้นน่ะ คือมันติดเชื้อง่ายขนาดนั้นน่ะ เราเข้าห้องน้ำฉี่เท่านั้นเอง นั้นก็เลยรู้ตัวมาตั้งแต่นั้นนะคะ ว่าติดเชื้อง่ายมากเพราะไม่มีม้าม อะไรก็ต้องระวังมากมาย พอมาเห็นเขาขยี้ย่านาง ตอนแรกเรากลัวไง แต่ว่าพอเป็นไงเป็นกัน ในเมื่อตัดสินใจบินมาแล้วเอาไงเอากัน หมออยู่ตรงนี้อย่างเก่งหมอเขียวจัดการ ก็ได้ความศรัทธาจากสิ่งที่เราลองของเราน่ะค่ะ มาเรื่อย ๆ
มดไปผ่าตัดหัวใจ เพราะว่าเป็นวาล์วลิ้นหัวใจรั่ว แต่มันรั่วเยอะมาก จนกระทั่งมันบีบทำให้หัวใจโต คราวนี้ก็ต้องไปผ่าตัดหัวใจเมื่อปี 2555 พอเสร็จเขาก็ให้กินยา ยังโชคดีค่ะเพราะตอนแรกนี่เขาจะให้รีเฟส (Refresh) ด้วยเมคซีน (Machine) ด้วยเครื่อง เสร็จแล้วมดขอร้องคุณหมอว่าขอลองให้คุณหมอซ่อมก่อนได้มั้ย ถ้าซ่อมได้ เขาก็ให้เราเลือกได้ว่าจะเอาลิ้นหมูหรือจะเอาอะไร งี้เราก็เลือกปรากฏว่าซ่อมได้ แต่ก็มีปัญหาว่าเราจะเป็น AF (Atrialfibrillation) ก็คือหัวใจจะเต้นไม่ปกติเขาจะให้ยาก็คือยา วอล์ฟารีน (Wafarin ยาละลายลิ่มเลือด) ยาพอมันมีปัญหาก็คือพอเวลาทานนี่ เราจะต้องไปเจาะเลือดตรวจตลอดเลยนะ คราวนี้โดนเจาะตลอดเลยนะค่ะ ตรวจก็เจาะไปเรื่อย ๆ ตามที่หมอแพทย์ปัจจุบันเขาแนะนำ พอดีโชคดีเป็นบุญนะบุญของมดจริง ๆ ก็มีค่ายหมอเขียวที่ USA แต่ค่ายแรกที่หมอเขียวมานี่ มดไม่ได้ร่วมเพราะว่าตอนนั้นเพิ่งผ่า
แต่พอคุณหมอเขียวกลับไปสักพักทาง ดัลลัส (Dallas) เขาก็ยังไฟแรงนะค่ะก็มีผู้นำทีมและอีกหลาย ๆ ท่านจัดค่ายขึ้นมามดก็เข้าค่ายด้วย พอดีเข้าห้องน้ำปัสสาวะ แล้วเลือดมันไหลออกมากะฉี่ แต่มันไม่ได้ไหล สีฉี่นะมันสีเลือดแบบข้นคลั่ก ๆ เลย เลือดข้นดำ แล้วก็มดไม่ค่อยเชื่อคนนะคะ มดเป็นนักทดลองค่ะ มดก็ฉี่แล้วก็กรอกใส่ขวดเอาไว้ มดเรียงขวดไว้เต็มเลย แล้วมดก็ถ่ายรูปไว้ แล้วมดก็จดไว้ว่าขวดแรกฉี่อันนี้เกิดจากอะไรเวลาไหนอะไรค่ะ คราวนี้มดก็ไม่รู้ตัวหรอก ตอนแรกก็ตกใจนึกว่า เราผ่าตัดฮีสเธอร์ริกโทมี่ (Hysterectomy ตัดมดลูก) ไปแล้วนี่ แล้วเราจะมามีเมน (Mens) อะไรตอนนี้ ลืมบอกผ่าตัดฮีสเธอร์ริกโทมี่ ด้วยนะคะคือ มดลูก ปีกมดลูก ก็คือยกเครื่องไปหมดเลยค่ะ คราวนี้พอเลือดไหลอยู่ ๆ ก็ เอ๊ะ เรามามีเมนอะไรตอนนี้ มันไม่มีอะไรให้มี ตอนแรกนึกว่ามีเมนแต่มันไม่หยุด มันไหลเรื่อย ๆ พอออกมาจากห้องน้ำสิค่ะ ตอนจะเดินน่ะค่ะ มันไม่มีแรงเพราะเลือดมันออกเยอะ ก็เกาะอยู่ สามีก็พาไปแผนกฉุกเฉิน (Emergency) ที่โรงพยาบาลที่ผ่าตัดหัวใจ พอดีก็ไปเจอคุณหมอ หมอก็เห็นสีปัสสาวะ เราก็ติดขวดไปด้วยค่ะพอเขาเห็นสีขวดเลือดนางพยาบาลเตรียมเลยว่าจะต้องให้เลือด แล้วก็คุณหมอบอกหยุดไม่ให้กิน Wafarin จนกว่าเดี๋ยวดูก่อน แต่ก็ไม่ได้ทำอะไร ให้น้ำเกลือแล้วก็ตกลงก็ไม่ได้ให้เลือด แล้วก็ปล่อยกลับบ้าน พอปล่อยกลับบ้านเสร็จ ลองนึกภาพทุกครั้งที่ฉี่เลือดมันยังออกเยอะมาก เอ๊ะแล้วจะทำยังไงมันทรมาน รู้สึกอึดอัดมันขัดข้องใจมัน ๆ ไม่มีคำตอบนะคะสามีเลยบอกว่า งั้นกลับบ้านมั้ย มดบอกเรื่องอะไรกลับ กลับกับพี่มดก็ตายสิเพราะว่ากลับกับเขา ๆ ผู้ชายน่ะค่ะ เราไม่มีข้าวกินแน่อยู่กับค่ายอย่างน้อย ยังมีอาหารสุขภาพทาน เรานึกอย่างนั้น แล้วก็พรรคพวกทุกคนพี่ ๆ น้อง ๆ น่ารักมากก็คือว่าเรา ณ วันนั้นเรามีบุญพอที่จะเอาความป่วยของเรานี่ ยกให้เป็นเครื่องพลีที่จะมาศึกษา เราก็จัดการกันเลยนะค่ะทุกคน กัวซาทำอะไรก็ทำไปแต่ยังไม่หาย มันก็ยังฉี่ก็เลยได้คุยกับคุณหมอเขียวทาง Skype ค่ะ
คุณหมอเขียวบอกอันดับแรกเลยนะพี่มดทำยังไงก็ได้ให้เลือดมันหยุดก่อน แล้วจะทำยังไงล่ะค่ะ บอกแช่ ๆ เพราะงั้นก็เอาสิ่งที่มาทำ ก็คือน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสดที่เราทานนี่ มันจะมีกากใช่มั้ยค่ะ เอากากนี้ค่ะใส่ในน้ำอุ่น ๆ แล้วก็เราก็วิ่งไปชื้อกะละมังใหญ่ ๆ มาพอที่จะให้ตัวมดทั้งตัวลงไปแช่นะค่ะ แล้วแต่ไม่ใช่เท่านั้นเพราะว่าร่างกายมันยังปรับสมดุลไม่ดี แล้วทำยังไงต่อ เอาที่เราดื่มอันนี้ เข้าช่องแข็งเป็นสิบ ๆ ขวดเลยนะ ขณะที่แช่นี่ เราเองจะเป็นหมอจริง ๆ คือพอเราแช่ปุ๊บเราจะรู้สึกว่ามันร้อนไปเย็นไป เราก็เอาน้ำขวดน้ำแข็งนี่ค่ะ น้องเขาจะใส่ลง 10-20 ขวดเลย พอใส่ 20 ขวดปุ๊บเราจะเป็นคนบอกว่า เอ่อ อันนี้มันเกินไปล่ะ เราก็จะหยิบออก หยิบขวดออกแล้วมันก็จะอยู่ที่ เอ่อ รู้สึกว่ากำลังสบาย พอสักพักก็หยิบกลับเข้าอย่างงี้ หยิบเข้าหยิบออก เราจะปรับที่ตัวเรานะค่ะ ด้วยกากสมุนไพรนี่นะค่ะ กากอย่าทิ้งนะค่ะมีประโยชน์เลย บ้านมดไม่เคยทิ้งเลย ทำได้ทุกอย่างอันนี้ก็ไปแช่มือแช่เท้าได้ด้วยค่ะ และก็พอทำตรงนั้นเสร็จก็เริ่มรู้สึกดีขึ้น ๆ แต่ต้องหยุดกินอาหารฤทธิ์ร้อนเด็ดขาดเลยนะ เพราะว่ามดทดลองก็คือทดลองอยู่ 3 จังหวะ จังหวะหนึ่ง พอหยุดฤทธิ์ร้อนกินอาหารฤทธิ์เย็นแล้วก็มาแช่ฉี่ก็จะเปลี่ยนสีดีขึ้น แต่ด้วยความไม่เชื่อ เหมือนกับอะไร กับชาร้อน อะไรกันนักกันหนาแค่นี้เองพรรคพวกก็ไปกินข้าวเที่ยงกัน ก็มี Chicken broth ซุปไก่ เราก็คิดว่าก็กินแต่น้ำซุป เราไม่กินไก่แค่บอส (น้ำซุป) คงไม่ใช่ธาตุร้อนอะไรนักหนาหรอก กลับมาเลือดกลับมาข้นอีก เราก็เป็นไปได้ไง มันก็เป็นไปได้แล้วนะ มันก็เป็นไปแล้วหลักฐานมันโชว์แล้ว ก็โอเคก็กลับมาเป็นคนดีนี่ค่ะ น้ำสกัดฤทธิ์เย็นเขาบอกคนอื่นกินไม่ได้นะ เดี๋ยวช็อคมดกินน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสดไม่รู้สึกดี กินน้ำสกัดเย็นโอ้ดีขึ้นมาเลย มีเท่าไหร่ขนมามดกิน น้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสดไม่รู้สึกดี กินน้ำสกัดเย็นโอ้ดี ลองใหม่อีกซื้อถั่วถั่วลิสงฤทธิ์ร้อน 2 เม็ด เสร็จแล้วเลือดที่มันเริ่มจางนะค่ะ กลับมาข้นอีก คือมดนี่เป็นคนดื้อ ใครจะมาบอกอย่างโน้นอย่างนี้มดไม่เชื่อ มดต้องพิสูจน์ด้วยตนเอง แล้วมันจะศรัทธาด้วยความคลายสงสัย เรียกว่าศรัทธาครั้งนี้ สัมมาศรัทธาไม่ใช่มิจฉาศรัทธา เพราะว่ามันผ่านการทดลองของตัวเองไม่ใช่แค่สักแต่ฟังแล้วหลงเชื่อ ยังมีหนที่ 3 นะค่ะ ผัดไทย มีคนเขาผัดไทยมาให้เพื่อนเรา ก็ผัดไทย ก็กินเพราะเขาบอกว่าเจค่ะ แต่ว่าเขาใส่ซีอิ้วมา จะมีซีอิ้วมีอะไรพวกนี้ เพราะฉะนั้นมดก็เลยเชื่อมั่นในตรงนี้ว่า เข้าใจล่ะ ถ้าเราไม่เป็นอะไรมาก โอเคเราชีสบ้างได้บ้างใส่อะไรได้ ตามโอเค แต่ถ้าเมื่อไหร่เราเป็น ต้องเด็ดเดี่ยวและเด็ดขาด ถ้าไม่เด็ดเดี่ยวเด็ดขาดเราน่ะ เราจะตายเพราะนี่ทดลอง 3 ครั้งเลยนะคะ ก็หวังว่าการทดลองของมดจะเป็นประโยชน์กับพี่ ๆ น้อง ๆ ตรงนี้จริง ๆ ว่ามันเป็นอย่างงั้นจริง ๆ ค่ะ เป็นอย่างงั้นจริง ๆ
พอหลังจากนั้นหนที่ 3 ก็บอกว่า ไม่เอาแล้วงวดนี้เชื่ออย่างเดียวเลย ฤทธิ์เย็น ๆ อย่างเดียวเราคิดว่าเราจะทำได้ก็เปลี่ยนยาไปเรื่อยค่ะ มดก็วันนี้เราจะสัมผัสถึงซึ่งในคำว่า เรามาเป็นหมอรักษาตัวเองกันเถอะ เพราะว่าจะไม่มีใครบอกเราได้เลยว่า ตอนนี้ความรู้สึกของเราเป็นยังไง เราจะรู้เลยว่าตอนนี้โป๊ะแล้วนี่ (เส้นเอ็นที่ข้อมือขวาอักเสบ) มดโป๊ะแล้วนี่ มดจะรู้สึกเย็น แต่บางวันนี่มดโป๊ะแล้วมดไม่เย็น มดก็จะเอาน้ำมันเขียวนี่ช่วยนะค่ะ ก็คือเหยาะไป คือแกะออกแล้วก็เหยาะแล้วก็พันง่าย ๆ ลูกทุ่ง ๆ วิชานี้ลูกทุ่ง แต่หายโรคจริงนะ หายโรคจริงและหายโรคแล้วด้วย แล้วก็จบ “การเป็นหมอของตนเอง” ตามที่หมอเขียวสอนจึงสำคัญที่สุด
(ยุวดี นโมชัยยากร. สัมภาษณ์ 2557, กันยายน 26)
บันทึกการสัมภาษณ์คุณยุวดีเมื่อปี 2553
จิตอาสา: ชื่ออะไรนะคะ
คุณมด: ชื่อยุวดี นโมชัยยากรชื่อเล่นชื่อมดค่ะ
จิตอาสา: ค่ะ อายุเท่าไรคะ
คุณมด: ตอนนี้ 50 แล้วค่ะ
จิตอาสา: อาชีพ
คุณมด: อาชีพ เป็นแม่บ้านค่ะ
จิตอาสา: มาคุยเรื่องร่างกายเรากันดีกว่าค่ะ
คุณมด: ค่ะ
จิตอาสา: ก่อนที่จะมาหาคุณหมอนี่ คุณมดสรุปได้ไหมคะ ว่ามีกี่โรค บอกเรื่องโรคว่ามีกี่โรค
คุณมด: คือตั้งแต่หัวจรดเท้า ก็จะมีปัญหาหมดนะคะ แต่โรคที่จะรุนแรงที่สุดที่เวลาบอกใครแล้ว เขาจะบอกไม่น่าเชื่อว่าเป็นนี่ ก็คือจะเป็นมะเร็งในต่อมน้ำเหลือง อันนี้เมื่อสัก 30 ปีที่แล้วนะคะ แล้วหมอก็จะมาบอกว่ามีเวลาไม่เกิน 6 เดือน ก็เลยให้เห็นน่ะว่าเรา
จิตอาสา: กี่ปีที่แล้วนะคะ
คุณมด: 30 ปีค่ะ
จิตอาสา: 30 ปี เขาบอกมีเวลาอยู่ไม่เกิน 6 เดือน
คุณมด: ไม่เกิน 6 เดือน
จิตอาสา: ในเมืองไทยหรือเมืองฝรั่งเขา
คุณมด: อันนี้อยู่ที่อเมริกาค่ะ
จิตอาสา: ค่ะ
คุณมด: เพิ่งเข้ามหาวิทยาลัยปี 1 ได้เทอม 1
จิตอาสา: แล้วอยู่มาได้ยังไงล่ะ แล้วมาพบหมอเขียวอย่างไร ทำไมถึงรักษาที่โน่นอยู่ได้ตั้งหลายปี หรือว่าเจอหมอเขียวหลายปีแล้วนี่
คุณมด: คือคุณหมอเขียวนี่ มีตั้งแต่ปี 48 มีเพื่อนมาพันธมิตรนะคะ แล้วเขาก็กลับไป ก็เอาวีซีดีของหมอเขียวนี่ มาก๊อปปี้แจกกัน แต่เนื่องจากเราอยู่ที่อเมริกา เราไม่รู้จักว่าใคร แล้วเราก็มีวิธีที่เราทำของเราอยู่แล้ว คือจี้กง ไทเก็ก ก็ว่าไป ก็ไม่ได้สนใจ ก็เลยเอาวีซีดีเก็บไว้ที่ใดที่หนึ่งนี่ล่ะคะ ไม่ได้สนใจ จนกระทั่งเมื่อเดือนพฤษภาของปีที่แล้ว มีเพื่อนมาเข้าค่ายหมอเขียว ซึ่งเป็นโรคไต มีปัญหาเรื่องไตอย่างมาก เสียค่ารักษาหมดไปไม่รู้ตั้งเท่าไร แล้วตัดสินใจมาเข้าค่ายหมอเขียว พอเขากลับไปอเมริกานี่เราตกใจเลยเพราะว่าหน้าตาสดใส หุ่นดีมาก ก็เลยถามเขาว่าเป็นยังไง รักษายังไงเนื่องจากเราเป็นเพื่อนที่คบกันมานาน เขาจะรู้จักดี เขาก็จะรีบบอกเลยว่า อยากให้พี่มดไปนะอยากให้พี่มดไป เพราะว่าเพื่อน ๆ จะกลัวว่ามดจะตายเร็วนะคะ เพราะฉะนั้นก็มีอะไรของดี ๆ ก็จะเอามาบอกกัน ก็บอกให้พี่มดมา แล้วน้องคนนั้นก็จะจัดการทุกอย่างหมด จะเป็นคนโทรประสานงานเพราะว่าเขามาครั้งแรก เขาจะรู้จักคน แต่เราไม่รู้ เขาก็จะประสานงานหมดค่ะ
จิตอาสา: แล้วทีนี้น้องมดได้มาที่เมืองไทย ก่อนจะมานี่ อาการที่มันมาก ๆ อยู่ หรือว่าที่มันลำบากนักกับร่างกายเรานี่คืออะไร
คุณมด: มะเร็งที่มดเป็นนี่นะคะ ต่อมน้ำเหลืองเมื่อ 30 ปีที่แล้วนี่ มันมีเหตุคือต้องตัดกระเพาะ
จิตอาสา: กระเพาะอาหาร
คุณมด: กระเพาะอาหารทั้งหมดนะคะ
จิตอาสา: ไม่เหลือแม้แต่นิดเดียว
คุณมด: ไม่เหลือแม้แต่นิดเดียว บางคนเขาถามเขาไม่มั่นใจ เลยเอารูปไปให้หมอเลย หมอเขาเลยบอก แหม ถามหลายหนแล้ว เขาก็เลยขีดให้ดูว่าตรงไหนถึงตรงไหน ก็ไม่เหลือเลย แล้วเนื่องจากเป็นคนรัก เพื่อนเวลาไปนี่ ไปชิ้นเดียวไม่ได้ก็ต้องมีคู่ไปด้วย ก็เลยม้ามก็ต้องไปเป็นเพื่อนกระเพาะนะคะ เพราะฉะนั้นตอนนี้เป็นคนที่ไม่มีทั้งกระเพาะ แล้วก็ไม่มีม้าม
จิตอาสา: แล้วต่อมา ต่อไปเป็นยังไงอีก
คุณมด: ต่อมา เกี่ยวกับตรงนี้ ตรงมะเร็งนี่ก่อนนะคะ
จิตอาสา: ใช่ ใช่คะ
คุณมด: พอหลังจากมนุษย์เราปกตินะคะ มันต้องมีอวัยวะนะ พอมันขาดหลวมหมดแล้วค่ะพอมันขาดไป 2 ส่วนนี่ร่างกายมันไม่ปกติค่ะ ก็เนื่องจากกระเพาะอาหารตามที่หมอบอกนี่ หนังกระเพาะอาหารมันจะเป็นตัวผลิตไวตามิน บี 12 ในเมื่อมันไม่ผลิต เราก็ต้องฉีดเองเพราะฉะนั้นก็จะต้องฉีดไวตามินเข้าตัว ครั้งแรกทุก ๆ วัน แต่ที่ทรมานที่สุดคือต้องฉีดเข้าไขมัน แล้วเราก็มองหาไขมันในตัวเราว่าจะไปเอาพุงตรงไหนนี่นะคะ หาไขมันก็ไม่เจอ แต่ก็ฉีดตรงพุงนี่ค่ะ ฉีดครั้งแรกเราต้องฉีดทุกวันจนแบบพุงเขียวหมดเลย สามีเวลาเดินมาดูเราฉีดจริง ๆ เขาจะไม่กล้ามอง เพราะว่ามันเขียวทุกจุด
จิตอาสา: ฉีดด้วยตัวเอง
คุณมด: ต้องฉีดด้วยตัวเองค่ะ เพราะหมอเขาจะสอนครั้งแรก แล้วก็ฉีดทุกวันจนร่างกายดีขึ้น ก็จะเปลี่ยนเป็นอาทิตย์ละหน แล้วก็ตอนนี้ 2 อาทิตย์หน 3 อาทิตย์หน แต่พอดีร่างกายมันกลับมาแย่ เขาก็เลยให้มาฉีดใหม่ทุก 2 อาทิตย์ค่ะแล้วหลังจากนั้นมันก็จะมีอาการสารพัด เป็นทุกอย่างที่ใครเป็น ในนี้มดจะยกมือได้เกือบหมดเลย ก็คือจะเป็นเลือดจาง จะเป็นไมเกรน จะเป็นอะไรที่เป็นหลาย ๆ นี่ค่ะ แล้วปี 2004 เขาก็เจอว่ามีเนื้องอกก้อนใหญ่อยู่ในมดลูก เนื่องจากเขาบอกว่าประวัติเราไม่ค่อยดี เพราะฉะนั้นก็ขออย่ารอเลยนะ ตัดทิ้งเถอะนะ ก็บอกโอเค ถ้ายังไงก็ทำตามที่เห็นควร เขาก็เลยบอกว่าไปทั้งยวงนะ ทั้งยวงก็โอเค ก็คือทั้งมดลูกทั้งรังไข่ แล้วก็ปีกมดลูก ก็เป็นคนรักเพื่อนค่ะ
จิตอาสา: ยกไปหมดแล้ว
คุณมด: ต้องไปเป็นทีมค่ะ
จิตอาสา: อันที่ 1 กระเพาะอาหารบวกม้าม
คุณมด: กระเพาะอาหาร บวกม้าม
จิตอาสา: อันที่ 2 มดลูก บวก
คุณมด: มดลูก ปีกมดลูก รังไข่ค่ะ
จิตอาสา: มดลูก ปีกมดลูก รังไข่ไปหมดเลย
คุณมด: ไปหมดเลยค่ะ
จิตอาสา: แล้วทีนี้ ไม่มีผิดปกติอะไรเลยเหรอ ไปอย่างนี้แล้ว
คุณมด: ก็มีตลอด เพราะว่ามดลูกพอออกไปแล้วนี่ ทำให้มดกลายเป็นคนกระดูกผุ แล้วก็หมอฉีดยาตอนก่อนมานี่นะคะ เขามียาชนิดหนึ่งเรียกว่า รีครัส คือฉีดเข้าไปใช้ไอวีแบบริ้บบิ้นค่อย ๆ หยดน่ะค่ะ ต้องนอนให้หยดอยู่นาน แล้วมันร้อนมากเลย ยังบอกเขาว่าเหมือนกับมังกรพ่นไฟได้เลยนะ เพราะมันร้อนเหมือนกับตอนเราไปทำคีโมเหมือนกัน แล้วในนั้นนี่เราเพิ่งเห็นเขาบอกเลยว่า ก่อนจะมาให้ยานี้นี่ควรจะกินน้ำให้มาก ๆ แต่เนื่องจากของเราไม่มีใครมาบอก เพิ่งมายื่นใบให้ตอนที่เรากำลังจะฉีดค่ะ ก็ยังไม่ได้ทานน้ำมา ก็ไหน ๆ ก็ฉีดแล้ว เราก็นั่งซัดน้ำหมดขวดเหมือนกันนะคะ แล้วเขาบอกว่าตัวรีครัสตัวนี้ปีหนึ่งไปฉีดหนหนึ่ง คุณสมบัติคือจะดึงแคลเซียมจากเลือดเอามาแปะที่กระดูก เพราะฉะนั้นต้องให้มั่นใจว่า คุณมีแคลเซียมเพียงพอ ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะดูดออกมาแล้ว รีครัสตัวนี้จะมีไซด์เอฟเฟค (ผลข้างเคียง) มากมายเหลือเกิน แต่เขาบอกว่าอาจจะเป็นหรืออาจจะไม่เป็นก็ได้ แต่ลิสต์ที่เขาลิสต์ออกมานี่ ประมาณสัก 20-30 อย่างนี่ มดเป็นไปสัก 25 อย่าง คือเป็นเกือบหมดเลยค่ะวันแรกที่เป็นนี่ดีไฮเดรต (Dehydration) คือจะเกิดอาการแห้งทั้งตัว แล้วมันสแปซซึ่ม (Spasm) คือมันเหมือนกับตะคริวใครที่เคยเป็นตะคริวที่ขาค่ะ แล้วเวลาเราว่ายน้ำแล้วตะคริวนี่ เราจะไม่มีแรง นี่เป็นตะคริวทั้งตัว เดี๋ยวก็เป็นตะคริวที่หน้าอก เดิน ๆ อยู่นี่ทำอะไรไม่ได้เลย มันเป็นตะคริวก็จะหาที่นั่งหรืออะไรสักอย่างค่ะก็ค่อนข้างจะทรมาน แล้วที่สำคัญคือช่วงนี้จะมีอาการปวดหัว เป็นไมเกรนมาหลายปีแล้ว แล้วก็ปวดหัวจนหมอเองเขากลัวเพราะว่าอาการมันเหมือนกับมะเร็งในเนื้องอกมาก
จิตอาสา: ขณะนี้ใช่ไหมคะ
คุณมด: ค่ะ
จิตอาสา: ตอนที่ไปดอนตาลรอบที่แล้วนี่ มีอาการนี้มากไหมคะ อาการแบบนี้
คุณมด: มีอยู่หนนึงค่ะ แต่ที่นี่นี่ ตั้งแต่มานี่เป็นทุกวัน สงสัยเขาอยากจะให้รีบรักษาเขาค่ะ รีบมาแสดงให้เห็นเสียก่อน ก็จะได้จัดการเขานะ
จิตอาสา: แล้วเป็นอาการที่ขนาดหนัก หรือขนาดกลาง ๆ หรือ พอได้เล่าให้
คุณมด: งานนี้ถือว่าไม่น้อยค่ะ กลาง กลางพอสมควรทีเดียว ก็คือช่วงเช้านี่ ตอนที่กายบริหารของหมอนี่ บางครั้งมดทำไปได้ครึ่งหนึ่ง มดนอน แต่ว่าพี่สาวจะห่วง ก็เลยบอกพี่สาวว่าง่วง เพราะมันก็ง่วงนะ
จิตอาสา: แล้วที่กลับไปที่ดอนตาลนี่ คือตอนที่ไปที่นั่น รู้สึกอาการเป็นยังไงบ้างคะ ที่อยู่ตรงนั้น 5 วัน 7 วัน น่ะค่ะ
คุณมด: เดี๋ยวขอต้องเรียนนะคะว่า เนื่องจากม้ามนี่ไม่มี เพราะฉะนั้นจะกลายเป็นคนที่ติดเชื้ออะไรนี่ง่ายมาก เพราะม้ามนี่มันเป็นอิมมูนซิสเต็ม (Immune system) ตัวหนึ่งใช่ไหมคะ จะติดเชื้อง่ายมาก มือตัวเองนี่ เวลาจับโทรศัพท์หรือจับอะไรก็แล้วแต่นี่ ถ้าเกิดเอื้อมไปหยิบชิ้นของแอปเปิ้ลใส่ปากนี่นะคะ 99.99% จะท้องเสียท้องร่วง หรือถ้าใครจามคุย ๆ กับเราแล้ว เขาจามนี่ เขาอาจจะแค่จาม แต่เราเข้าโรงพยาบาล 3 วัน หรือเคยมีครั้งหนึ่ง มีคนเอาอาหารของพระมาให้ บอกว่านี่อาหารของครูบาอาจารย์ เรากินไปเราก็ไปนอนโรงพยาบาล 3 วัน เพราะฉะนั้นจะเป็นคนที่ติดเชื้อง่ายมาก พอจะมาค่ายหมอเขียวครั้งแรก สิ่งที่กลุ้มใจที่สุด ปัญหาที่คิดหนักที่สุดเลย ก็คือว่าสมุนไพรฤทธิ์เย็นสด เขาไม่ได้ต้มเดือดก่อนนะคะ เขาขยี้สด ๆ แล้วให้กินเลย ก็เลยคิดว่า เขาก็คงขยี้แบบล้างมือพาสเจอรไรซ์เรียบร้อยนะ แล้วก็ไปขยี้ ปรากฏว่าเราเข้าไปช่วยในครัว เราก็เห็นเขาขยี้ ก็คนนั้นหยิบหม้อ วางหม้อเสร็จ ก็มาขยี้ ขยี้ไปก็คันนะ ก็เกา เกาเสร็จก็ขยี้ เราก็เอาละหว่า เราจะกินดีไหมนี่หว่า คือ ตอนนั้นบอกจริง ๆ ว่ามันสู้กับตัวเองมากว่าควรหรือไม่ควรเสี่ยงนะ เพราะส่วนใหญ่เรารู้ตัวว่าเราเข้าโรงพยาบาลแน่นอนไงคะ แต่นึกในใจว่า เอ้า ไหน ๆ ก็มาแล้ว
จิตอาสา: อุตส่าห์บินข้ามน้ำข้ามท่ามาแล้ว
คุณมด: ไม่ได้บินธรรมดาด้วยนะคะ คือบินตรงมาเลยนะ มาถึงเมืองไทยตีหนึ่ง รอเช้าแลกตังค์ 3 โมงไปหมอชิต นั่งรถหมอชิตมาลงมุกดาหาร ต่อรถมุกดาหารไปดอนตาล คือตรงไปเลยนะคะ
จิตอาสา: อย่างนั้นเลยบินตรงเลย
คุณมด: บินตรงไปเลย
จิตอาสา: ค่ะ
คุณมด: คราวนี้ก็เลยลำบากใจมาก ๆ ค่ะ ว่าควรหรือไม่ควรทาน แต่คิดว่าไหน ๆ
จิตอาสา: ในที่สุดเป็นยังไงคะ
คุณมด: คือไหน ๆ เราก็มาแล้ว แล้วถ้าจะเป็นอะไรก็เป็นกัน หมอก็อยู่ตรงนี้กลัวอะไร ก็เลยเอาค่ะ ก็ดื่มใครเขาดื่ม ยังไงก็ทำตามเขา แต่เพื่อนจะชอบถามว่า คุณมาคุณเป็นอะไรเหรอ เราก็ไม่รู้จะบรรยายยังไง ว่าเราเป็นอะไร ก็บอกว่า ก็เป็น เป็นน่ะค่ะ ก็จะตอบว่าเป็นน่ะค่ะ ไม่รู้จะเล่ายังไง เพราะว่ามันหลายอย่าง แต่ตอนกินน้ำเขียวไปนี่ วันที่ 2 ค่อนข้างจะประหลาดใจนะ
จิตอาสา: ประหลาดใจ เพราะอะไร
คุณมด: เพราะมันไม่มีอาการที่มันเคยเป็น มันไม่มีอาการของการท้องร่วง มันไม่มีอาการของท้องบิดที่เราเคยทานอาหาร ที่แม้กระทั่งมือเรานี่ ถ้าลืมล้างก่อนนี่นะคะ หยิบอะไรใส่ปากนี่ ไม่เคยรอดสักที ถ้ามือคนอื่นนี่ ไม่ต้องพูดถึงเลยนะคะ บางคนใจดีนะ คุณมดเอาอันนี้มาให้
จิตอาสา: ไม่รับก็เกรงใจ รับก็อึดอัด
คุณมด: ค่ะ แล้วจะอธิบายคนยากค่ะ เพราะเขาไม่เป็นอย่างเรา เขาจะเข้าใจยาก บางทีก็จะต้องขอบอกว่าได้ค่ะ อิ่มแล้วขอไว้ที่มือได้ไหม แล้วก็เอาเก็บไปล้าง แล้วค่อยกินหรือไม่ก็ต้องทิ้ง เพราะว่าไม่อย่างนั้นไม่คุ้มค่ะ ไม่คุ้มจริง ๆ แต่พอทานน้ำเขียวแล้วไม่มีอาการ แล้วนอกจากไม่มีอาการของการปวดท้องอย่างรุนแรงแล้ว ก็ท้องร่วงแล้ว นี่ธรรมดาของมด เนื่องจากไม่มีกระเพาะอาหาร
ผู้ฟัง: เอ๊ะ แล้วทานอาหารยังไง
คุณมด: ทานอาหารอย่างไรนะคะ ฟันยังดีอยู่ค่ะ ก็คืออาหารเข้าปากก็เคี้ยว แล้วน้ำลายเราก็เป็นตัวย่อยอย่างหนึ่ง พอกลืนเข้าไปจากท่ออาหารก็จะไปเจอลำไส้ใหญ่ที่เขาล้าง ล้างอย่างดีแล้วก็เอาลำไส้ใหญ่ส่วนหนึ่งมาวางแทนที่กระเพาะคือนั่น 30 ปีมาแล้วนะคะ หมอเขาก็คิดเอาเองว่าคุณสมบัติพวกนี้ มันน่าจะยืดหยุ่นได้เพราะฉะนั้นพอกินไปเรื่อย ๆ มันคงจะทำให้ลำไส้ใหญ่ยืดหยุ่นเพียงพอที่จะเก็บอาหารได้บ้าง แต่ว่าเขาสำคัญผิด นอกจากว่ามันจะไม่ยืดหยุ่นแล้วนี่ เราเพิ่มแผลในร่างกายหลายจุด จุดหนึ่งตรงลำไส้ใหญ่ก็ต้องมีแผลเป็นที่หนึ่งแล้ว ตรงระหว่างข้อต่อแทนที่จะมีอันเดียว แต่เรามี 2 อัน ฉะนั้นแทนที่เรากินอาหารเข้าไปแล้วแทนที่จะไปพักที่กระเพาะใช่ไหมคะ แล้วกระเพาะจะทำหน้าที่ปั่นอาหารก่อนจะส่งไปลำไส้เล็กเพื่อดูดซึม ของเราจะลำบากเพราะว่ามันไม่ใช่ทูเวย์สตรีทแล้ว มันจะเป็นแค่วันเวย์คือถ้ากินอาหารเข้าไปเมื่อไร แล้วลมตีขึ้น 2 อย่างนี่ก็จะปะทะกันแล้วบิด พอเวลาบิดนี่ มดก็จะบิดตามเขาไปด้วยจังหวะเดียวกันนะคะ หัวใจเต้นจังหวะเดียวกันก็จะบิดตามเขาไปด้วย คือจะเป็นคนถ้าไม่สนิทจริง ๆ จะไม่ค่อยอยากไปกินข้าวด้วยเพราะเรารู้ว่าเราเป็นคนเรื่องมาก ก็จะปวดน่ะค่ะ ปวดมาก ถ้าอยู่บ้านนี่ก็คงนอนพื้นแล้ว ก็มันเวลามันปวดนี่ มันปวดร้าวไปถึงหลังทั้งแผ่นเลยนะคะ อธิบายให้คนไม่เป็นฟังยาก คิดถึงเวลาเราปวดฟันแรง ๆ ค่ะ เป็นอย่างนั้นน่ะค่ะ
จิตอาสา: ทุกครั้งที่ทานเป็นเช่นนั้น
คุณมด: 95% จะเป็นแล้วก็เลย นั่นคือเรื่อง 2 เรื่องแล้วนะ เรื่องหนึ่งคือเรื่องที่เรากินอะไรแล้วจะแพ้ พอมาปฏิบัติที่ค่ายนี้ ที่เคยจะมีอาการแพ้หรือมีอาการท้องเสียท้องร่วงนี่นะคะ ก็ไม่เป็น อีกอาการหนึ่งก็คือปวดท้องมาก ๆ ทุกครั้งที่กิน ไปที่ค่ายนี้ก็แทบไม่เป็นเลย แล้วกินนี่ 2 คำ 3 คำ ได้เป็นอย่างมาก อยู่ที่ค่ายนี้ซัด 2 ชามค่ะ คือแบบยังงงตัวเองมากเลยนะ โอ้โห ไม่เคยเลยในชีวิต ตั้งแต่เป็นมะเร็งมา 30 ปีนี่ ไม่เคยทานข้าวได้เป็นชาม ๆ ได้ 2 ชาม ก็ขอบคุณมาก ไม่ว่าจะบุญของใครหรืออะไรมารวมกันทำให้สิ่งนี้เกิด ก็ขอบคุณ คุณหมอและทุก ๆ ท่านด้วยค่ะ