1. บันทึกการสัมภาษณ์กรณีศึกษากลุ่มตัวอย่างจาก ผู้ใช้การแพทย์วิถีพุทธสำหรับผู้ที่มาเข้าอบรมค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีพุทธ 5-7 วัน
ณ ศูนย์เรียนรู้สุขภาพพึ่งตนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง สวนป่านาบุญ 1 อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร และเครือข่ายแพทย์วิถีพุทธทั่วโลก
ระหว่างปี พ.ศ. 2552 – 2558
(ประเภทข้อมูลที่ 7 การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ ผ่านสื่อออนไลน์ – ยูทูบประเภทข้อมูลที่ 9 แบบบันทึกสัมภาษณ์แลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ และ ประเภทข้อมูลที่ 12 แบบสอบถามประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ เทคนิค 9 ข้อ)
กรณีศึกษาที่ | 1.8 |
ชื่อ | คฑาวุฒิ เอกตาแสง |
เพศ | ชาย |
จังหวัด | กาฬสินธุ์ |
อาชีพ | ทำธุรกิจส่วนตัว |
โรค | โรคมะเร็งลำไส้ระยะที่ 4 กระจายเข้าต่อมน้ำเหลือง |
วันสัมภาษณ์ | 19 กันยายน 2555 |
คฑาวุฒิ เอกตาแสงครับมาจากอำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ สาเหตุที่มา คือ มะเร็งลำไส้ระยะที่ 4 ระยะสุดท้าย ก่อนที่ผมจะเข้าผ่าตัดมะเร็งลำไส้ระยะที่ 4 นี้ ผมคิดในใจเสมอว่าคนที่เป็นมะเร็งนี่ ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งอะไรก็ตาม คือรอวันตายสถานเดียว พอผมเข้าผ่าตัด หมอวินิจฉัยตอนแรกว่าผมเป็นไส้ติ่งอักเสบ แต่ผ่าเข้าไปแล้วไส้ติ่งไม่เป็นอะไรเลยปกติดีทุกอย่าง แต่บังเอิญคุณหมอไปพบลำไส้ผมนั้นแตกกระจายในท้องครับไส้แตกอุจจาระเต็มท้อง คุณหมอเลยทำการตัดทิ้งแล้วส่งชิ้นเนื้อไปวินิจฉัยที่ศูนย์มะเร็งจังหวัดขอนแก่น พบว่าเป็นมะเร็งลำไส้ระยะที่ 4 กระจายเข้าต่อมน้ำเหลืองหมดแล้ว
มีพยาบาลท่านหนึ่งจากอำเภอโพธิ์ชัย จังหวัดร้อยเอ็ด ที่รู้จักกันนำหนังสือเล่มหนึ่งมาให้ผมบอกว่าหนังสือเล่มนี้ เขาได้จากไปเข้าค่ายสุขภาพของคุณหมอเขียวมา แต่ตอนนั้นผมยังไม่รู้ครับว่าหมอเขียวนี่เป็นใคร ทำอะไร และมีจุดประสงค์อะไร ผมก็เลยรับหนังสือเล่มนั้นมาศึกษาแล้วปฏิบัติตามหนังสือเล่มนั้น หนังสือเล่มนั้นก็คือ “มาเป็นหมอดูแลตัวเองกันเถอะ” หน้าปกหนังสือจะมีรูปหม้อต้มยา แล้วก็มีรูปลูกประคบอยู่ข้าง ๆ หนังสือเล่มนั้นเล่มละ 150 บาท แต่ผมไม่ได้ซื้อสักบาทเดียว เพราะว่าเขาเอามาให้ผมก็ทำตามในหนังสือหมดแทบจะทุกอย่าง ถ้าอันไหนที่ทำไม่ได้จริง ๆ เราพยายามทำให้ได้เสียก่อน ถึงบอกว่าทำไม่ได้ “ถ้าไม่พยายามอย่าบอกว่าทำไม่ได้ ต้องพยายามทำเสียก่อน ถ้าทำไม่ได้จริง ๆ คุณถึงบอกว่าคุณทำไม่ได้”หลัง จากผ่าตัดเสร็จ คุณหมอก็ส่งผมไปเข้าคีโม ทั้งหมด 6 เดือน เดือนละ 5 วันรวมทั้งหมด 30 วัน 30 เข็ม แล้วก็มีคนแนะนำผมบอกว่าทำดีท็อกซ์ด้วยนะ กัวซาด้วยนะ อะไรด้วยนะ ผมก็พยายามทำทุกข้อ ยาทั้ง 9 เม็ดของคุณหมอเขียว แต่ตอนนั้นผมยังไม่กล้าทำอยู่ก็คือดีท็อกซ์ เพราะว่าแผลการผ่าตัดนี่ยังไม่หายดี แล้วผมไม่มั่นใจว่ามันจะติดเชื้อหรือไม่ จนกระทั่งผ่านไป 6 เดือน ผมก็ยังไม่กล้าทำ ก็เลยบอกว่าให้รออีกหน่อย ให้แผลมันหายอีกหน่อยให้มันมั่นใจกว่านี้ก่อน ถ้าเราทำไปด้วยเราทุกข์ไปด้วย เราเครียดไปด้วย มันยิ่งจะเป็นผลเสียต่อเรา ผมก็เลยรอมาจนครบ 1 ปี หมอก็ได้ส่งผมไปเอ็กซเรย์แป้งที่โรงพยาบาลจุรีเวช ร้อยเอ็ดปรากฏว่าโชคดีมากเชื้อในลำไส้ไม่มีแล้ว นี่คือมะเร็งระยะสุดท้ายนะครับ มะเร็งลำไส้ระยะที่ 4 ไม่มีแล้ว แต่ผมก็ไม่มั่นใจว่า ต่อมน้ำเหลืองผมที่มันไปหมดแล้ว ผมจะทำยังไง อันนี้ผมคิดในใจ ผมก็ปฏิบัติตัวมาตลอดอาหารกับข้าวแบบนี้ บางคนบอกว่ามาวันแรกกลืนแทบไม่ลงเลย ผมบอกว่า “ผมสบายมากเพราะผมกินมาแล้ว 1 ปี กับ 4 เดือน กินตั้งแต่วันที่ผมออกจากโรงพยาบาล ที่ผมกินข้าวได้ กินอาหารถึงจะไม่ได้ถึงขนาดเหมือนในค่ายนี้ 100% แต่ขอให้ใกล้เคียงให้มากที่สุดทำให้ดีที่สุด แล้วเราจะได้ผลดีที่สุดเข้าสู่ชีวิตเรา”
ตอนที่ผมออกจากห้องผ่าตัดมาสะลึมสะลือยาสลบยังไม่ฟื้นอะไรมาก ผมมองหน้าไปเจอลูกชายผมคนเดียวนั่งอยู่ข้างเตียง คนอื่นยังมาไม่ถึง หมอให้เซ็นใบรับรองการผ่าตัด ผมจัดการเองหมด คุณหมอเดินมาตบบ่าลูกชายผม บอกเธอเป็นลูกชายของเขาใช่ไหม ลูกชายผมบอกใช่ครับ หมอก็เลยบอกลูกชายผมว่า พ่อเธอไม่ได้เป็นไส้ติ่งอักเสบนะ พ่อเธอเป็นมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้ายลูกชายผมร้องไห้ทันที แต่ผมนึกในใจว่า “จะร้องไห้ทำไม พ่อคุณยังไม่ตาย ก็แค่มะเร็งระยะสุดท้าย คุณจะไปกลัวทำไม กระจอก” ผมว่าอย่างนี้
ผมคิดตลอดเวลาก่อนที่จะผ่าตัดว่า มะเร็งนี่ต้องตายอย่างเดียว แต่ตอนนั้นผมนึกขึ้นมาได้ยังไง ว่ามันกระจอกมาก สุดท้ายที่ผมนึกได้ก็คือว่าผมหายด้วยประการใด ทำไมผมถึงว่าผมหาย เพราะผลการตรวจเลือดออกมาค่าสัมพันธ์มะเร็งในลำไส้ใหญ่และกระแสเลือด วันที่โรงพยาบาลอำนาจเจริญมาตรวจให้นะ ผลปรากฏว่าไม่มีเชื้อมะเร็งแล้วค่าสัมพันธ์มะเร็งในเลือดอยู่ในขั้นปกติทุกอย่างไม่มีอะไรผิดปกติ ผมถึงอยากจะบอกว่า “การที่เราปฏิบัติ การที่เรากระทำอะไรนี่ให้เราทำจริง พยายามทำเสียก่อนอย่าเพิ่งบอกว่า โอ๊ย อันนี้ฉันทำไม่ได้ โอ๊ย อันนี้ฉันไม่กล้าทำ คุณลงมือทำหรือยัง คุณถึงบอกว่าคุณทำไม่ได้”กับข้าวก็เหมือนกันครับอย่างนี้จะกินได้เหรอ คุณลองกินดูหรือยังครับ คุณถึงจะบอกว่าคุณกินไม่ได้
ตอนที่ผมผ่าตัดออกมาแล้ว เพื่อน ๆ ญาติ ๆ พี่น้องหรือคนรู้จักไปเยี่ยมผมที่โรงพยาบาลที่บ้าน เขาบอกได้เลยว่าเตรียมตัวเผาได้เลย ไม่รอดสภาพร่างกายตอนนั้นแย่มาก ๆ จากน้ำหนักเกือบ 80 กิโลกรัม เป็นคนตัวใหญ่เหลือน้ำหนักแค่ 54 กิโลกรัม ลงมา 20 กว่ากิโลกรัม แล้วเขาไปดูคนตัวใหญ่ ๆ แต่ผอม ๆ เหลือแค่ 54 มันเหมือนกับซาก เขาเลยบอกว่าเตรียมตัวเผาได้เลย อย่าว่าแต่ 2 ปีเลยเขาบอก 2 เดือนให้มันผ่านเถอะ ไม่มีทาง ผมก็เลยนึกในใจ เดี๋ยวจะทำให้ดู เขาเลยเอาหนังสือเล่มนั้น มาให้ผมอ่านเล่มที่ผมเคยกล่าวไปข้างต้น แล้วผมก็ศึกษามาเรื่อย ๆ ทุกอย่าง ๆ เขาบอกว่ามันดีนะ แต่ตอนนั้นก็ยังไม่รู้มาก ว่าอาหารฤทธิ์เย็นฤทธิ์ร้อนมันเป็นอย่างไร ก็ศึกษาตามหนังสือคุณหมอไป
น้ำสมุนไพรน้ำย่านางผมกินมาได้เป็นปีแล้ว ไม่ใช่ว่าเพิ่งมากินที่นี่แต่ดีท็อกซ์เพิ่งมาทำที่นี่เพราะว่าให้มั่นใจเสียก่อนว่า แผลผ่าตัดของเรามันหายดี ประสบการณ์ชีวิตผมก็ไม่มีอะไรมาก ก็ขอฝากให้ทุกท่านนะครับ “สิ่งสำคัญที่สุดคือรักษาสุขภาพของตัวเอง ตัวเราเองทำ ตัวเราเองได้รับตัวเราเองไม่ทำ ตัวเราเองไม่ได้รับ โรคภัยไข้เจ็บทุกอย่างที่เกิดกับตัวเรา ตัวเราหาใส่ตัวเราทั้งนั้น ไม่มีใครมายัดเยียดให้เราได้”อย่างโรคมะเร็งที่ผมเป็นนี่ ไม่มีใครจาม แล้วโรคมะเร็งกระเด็นมาใส่ผม ไม่ใช่ครับ ผมยัดเข้าปากผมเองทั้งนั้นเพราะฉะนั้น “เราทำอะไรเราได้อย่างนั้นอย่างที่คุณหมอเขียวพูดนะครับ” ขอฝากสั้น ๆ นะครับ กับผู้รักสุขภาพทุกท่านครับ ทำจริงได้จริง ทำเล่นได้เล่นครับ สวัสดีครับ เจริญธรรมสำนึกดีครับผม