1. บันทึกการสัมภาษณ์กรณีศึกษากลุ่มตัวอย่างจาก ผู้ใช้การแพทย์วิถีพุทธสำหรับผู้ที่มาเข้าอบรมค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีพุทธ 5-7 วัน
ณ ศูนย์เรียนรู้สุขภาพพึ่งตนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง สวนป่านาบุญ 1 อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร และเครือข่ายแพทย์วิถีพุทธทั่วโลก
ระหว่างปี พ.ศ. 2552 – 2558
(ประเภทข้อมูลที่ 7 การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ ผ่านสื่อออนไลน์ – ยูทูบประเภทข้อมูลที่ 9 แบบบันทึกสัมภาษณ์แลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ และ ประเภทข้อมูลที่ 12 แบบสอบถามประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ เทคนิค 9 ข้อ)
กรณีศึกษาที่ | 1.28 |
ชื่อ | พ่อแดง |
เพศ | ชาย |
โรค | โรคเส้นเลือดในสมองแตก |
วันสัมภาษณ์ | 8 กุมภาพันธ์ 2558 |
จิตอาสา: อาจารย์แดงและอาจารย์อุ๊ หรือพ่อแดงกับแม่อุ๊นะคะ ซึ่งเป็นผู้ที่เรียกว่าเข้ามาในเรื่องของแพทย์วิถีธรรมเป็นเวลานานตั้งแต่ สิงหาคม 2550 จนกระทั่งปัจจุบันนี้อยากให้อาจารย์อุ๊นี่นะคะเป็นคนได้นำกล่าวว่าพ่อแดงเป็นอย่างไร สั้น ๆ เลยนะคะ ถึงได้มาหาคุณหมอเขียว โดยครั้งแรกที่เจอกันเอารูปถ่ายมาให้ดิฉันดูว่าสามีดิฉันเป็นอย่างนี้ เกิดอะไรขึ้นกับพ่อแดงคะ
อาจารย์อุ๊: สาเหตุที่ว่ามาแพทย์ทางเลือกเพราะว่าไม่แน่ใจว่าพ่อแดงเขาจะมีชีวิตอยู่นานไหม โดยตัวดิฉันเองก็ขวนขวายที่จะหาความรู้ตรงนี้ที่จะมาดูแลพ่อแดง แต่จุดที่สำคัญที่สุดก็คือเศรษฐกิจเพราะว่าค่ารักษาโดยใช้แพทย์แผนปัจจุบันค่าใช้จ่ายมันสูงมากอาทิตย์หนึ่งอย่างน้อยก็ 3,500
จิตอาสา: คุณพ่อแดงป่วยเป็นโรคอะไรคะ
อาจารย์อุ๊: เป็นเส้นเลือดในสมองแตกค่ะ ทีนี้เมื่อมาศึกษาเรื่องเกี่ยวกับแพทย์ทางเลือกแล้วก็รู้ว่าสิ่งที่พ่อแดงเป็นจริง ๆ นั้นก็คือ การใช้ร่างกายที่ว่าทำงานมากเกินไปจนลืมดูแลตัวเอง แล้วตัวดิฉันเองก็คิดว่าแพทย์ทางเลือกก็เป็นทางออกทางหนึ่ง เมื่อมาศึกษาจริง ๆ ก็พบว่าพ่อแดงก็เป็นอย่างที่ว่านั้นคือเรื่องการบริโภคอาหารซึ่งเมื่อเราศึกษาในแพทย์แผนปัจจุบัน จะพบว่าเขาจะให้กินเนื้อนมไข่ แต่ว่าแพทย์ทางเลือกไม่ใช่ ให้กินอาหารที่ร่างกายต้องการเพียงพอแล้วก็ไม่สั่งสม
จิตอาสา: ค่ะ ทีนี้ในเรื่องของพ่อแดงที่อาการที่หนักที่คุณหมอบอกว่าจะมีอายุอยู่ได้แค่
อาจารย์อุ๊: 3 วันค่ะ
จิตอาสา: 3 วันนะคะ อาการเป็นยังไงคะตอนนั้น
อาจารย์อุ๊: อาการก็คือเส้นเลือดแตกที่ก้านสมอง
จิตอาสา: ที่ก้านสมอง
อาจารย์อุ๊: ที่ก้านสมอง เท่ากับไข่ไก่ 2 ฟองแล้วก็ถ้าไม่ผ่าตัดก็คนไข้ก็จะเสียชีวิตแล้วดิฉันก็กำลังลังเลใจอยู่ หมอเขาบอกว่าลองยานี้ไหมที่จะละลายลิ่มเลือด แต่ว่าก็ไม่แน่ใจเพราะว่าเป็นยาตัวใหม่ (เมื่อปี 2549) แต่ว่าดิฉันก็เลือกอย่างหลัง
จิตอาสา: คือไม่ผ่า
อาจารย์อุ๊: ไม่ผ่า แต่ว่าใช้วิธีว่ากระตุ้นความรู้สึกของพ่อแดงโดยใช้ดนตรีบำบัด
จิตอาสา: ใช้ดนตรีบำบัดก่อนที่จะเจอคุณหมอเขียว
อาจารย์อุ๊: ค่ะ
จิตอาสา: ทำให้ชีวิตที่ว่า 3 วันนั้นน่ะก็ยืดมาได้ตั้งแต่ 2549 ถึง 2550
อาจารย์อุ๊: ค่ะ
จิตอาสา: แล้วอาจารย์อุ๊ได้ไปเข้าค่ายที่ดอนตาลเมื่อตุลา 2550 แล้วนำอะไรมาช่วยพ่อแดง
อาจารย์อุ๊: สิ่งที่นำมาก็คือเกี่ยวกับเรื่องอาหารค่ะอันดับแรกก็คือปรับเรื่องอาหารก่อนเพราะว่าอาหารของคุณหมอนั้นเป็นอาหารธรรมชาติที่อยู่ใกล้ที่สุด มีประโยชน์สูงสุดแล้วก็ประหยัดสุด
เอามาใช้ก็ปรับอาหารของพ่อแดงแล้วก็ใช้น้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสด แล้วก็ใช้การโยคะ แล้วก็ใช้การ
ดีท็อกซ์
จิตอาสา: ดีท็อกซ์
อาจารย์อุ๊: การดีท็อกซ์ การกดจุด การแช่ การพอก ระยะแรกนี้การประคบนั้นเราใช้เยอะ
จิตอาสา: แล้วใช้การประคบ
อาจารย์อุ๊: การประคบด้วยลูกประคบนี่เราจะใช้เยอะเลยค่ะ แล้วก็ที่สำคัญคือใช้ธรรมะ ธรรมะนี่ไม่ใช่ใช้เกี่ยวกับตัวพ่อแดงเพราะว่าใช้กับตัวดิฉันเองที่ทำใจไม่ได้ ที่ทำใจไม่ได้ เพราะว่าจะต้องดูแลพ่อแดงแล้วก็จะต้องใช้เงินมากจนกระทั่งดิฉันท้อแท้มาก แล้วก็โทรไปบอกลูกสาวว่าคุณแม่นี่ตัดสินใจว่าจะไม่มีชีวิตอยู่แล้วนะ ลูกสาวดิฉันจึงบอกดิฉันว่าอนาคตของลูกอยู่ที่คุณแม่คนเดียวประโยคนี้เองทำให้ดิฉันนั้นสู้ค่ะ ก่อนที่จะพบค่ายหมอเขียวนี่ ดิฉันท้อแท้มากค่ะ พอไปพบคุณหมอ คุณหมอพูดประโยคหนึ่งที่ดิฉันถือว่าเป็นประโยคทองของดิฉันตอนนี้คือ อย่าหวังเกินกว่าฤทธิ์แรงที่เราทำได้ เวลาดิฉันจะทำอะไรดิฉันคิดถึงตรงนี้ แล้วก็คิดถึงที่คุณหมอว่าโรคจะหายหรือไม่หายนั้นอยู่ที่วิบากกรรมค่ะ ดิฉันเอามาปรับ ปรับใจตัวเองไม่ได้ปรับใจคนไข้เลย เพราะว่าไม่อย่างนั้นคือตัวเองจะไม่มีแรงสู้ตรงนี้ แล้วก็เริ่มใช้ธรรมะมาปฏิบัติแล้วก็มาบอก แต่ของพ่อแดงนี่เขาวางแล้วแต่ว่าคนที่ไม่วางนี่คือตัวดิฉัน
จิตอาสา: คนดูแล
อาจารย์อุ๊: ค่ะ แล้วพอดิฉันมาตรงนี้เสร็จแล้วก็พยายามทำให้ดีที่สุดแต่ว่าในข้อรู้พักรู้เพียรเรา ก็เมื่อก่อนคือดิฉันจะทำงานตลอดเลยคือหวังว่าทุกสิ่งจะต้องหาย จะต้องหายแต่ว่าจริง ๆ มันไม่ใช่ แล้วก็ศึกษาข้อมูลนี้เจาะลึกเลยค่ะ แต่ว่าสิ่งที่ได้ประโยชน์ของหมอเขียวก็คือการโยคะ กดจุด กายบริหาร ตรงนี้จะช่วยตัวดิฉันเองกับพ่อแดงได้เยอะ
จิตอาสา: ช่วงนั้นได้ข่าวว่าอาจารย์นี่กดจุดให้สามีวันละ1 ชั่วโมงทุกวัน เดี๋ยวนี้ยังทำหรือว่า ห่างไปแล้วคะ
อาจารย์อุ๊: ค่ะ ตอนนี้ยังทำค่ะยังทำ เพราะว่าทำตอนเวลากลางคืนก็คือเราจะกดจุดแล้วก็นวดนะคะ นวดให้แล้วก็ใช้กายภาพบำบัดด้วยค่ะ ตอนนี้เรายังใช้แต่ว่าตอนเช้า ตอนเช้าจะเป็นการฝึกให้พ่อแดงได้เดินค่ะ แล้วก็ที่สำคัญก็คือลูกสาวส่งเทปธรรมะมาให้ทุกครั้งที่ว่าเข้าอยู่ด้วยกัน เราก็จะเปิดเทปธรรมะแล้วก็ทำให้รู้สึกว่าที่เราโลภมาก ๆ นั้นเราวางเรื่อย ๆ วางเรื่อย ๆ วางเรื่อย ๆ ค่ะ แล้วทำให้เห็นสัจธรรมที่ว่าชีวิตเราแค่นี้เองเราไม่ต้องการอะไรมาก แต่ในบั้นปลายของตัวดิฉันคิดว่าก่อนที่จะตาย ก่อนที่จะวางร่าง จะทำประโยชน์ให้แผ่นดินเหมือนกับที่พ่อหลวงให้ค่ะ
จิตอาสา: ตั้งใจว่าอย่างนั้น
อาจารย์อุ๊: ค่ะ
จิตอาสา: ทีนี้ตอนนี้ กลับมาถามถึงเรื่องของข้อที่นอกจากข้อ 6 แล้วนี่ข้อ 1 ใช่ไหมคะที่ว่าเมื่อกี้ ข้อ 8 คือธรรมะ
อาจารย์อุ๊: ค่ะ ธรรมะ
จิตอาสา: แล้วข้อ 1 อาหารเป็น 1 ในโลก แล้วก็มาเรื่องโยคะ กายบริหาร
อาจารย์อุ๊: ค่ะ แล้วก็สงบทุกข์
จิตอาสา: แล้วทุกข้อนี่ใช้หมดไหมคะ
อาจารย์อุ๊: ใช้หมดค่ะอาจารย์
จิตอาสา: น้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสด กัวซาแน่นอน ดีท็อกซ์ก็ใช้มากอยู่ แช่มือเท้าก็ใช้ หยอดประคบอบอาบใช้ทุกข้อเลย รู้พักรู้เพียร
อาจารย์อุ๊: ค่ะ
จิตอาสา: จากเดิมที่อาจารย์ทุกข์มากขณะนี้ความทุกข์จากการรู้ว่าคนผู้ที่เป็นที่รักป่วยหนัก อย่างนี้เปอร์เซ็นต์ของความทุกข์มันลดลงไปสักกี่เปอร์เซ็นต์ค่ะ
อาจารย์อุ๊: ถ้าถามดิฉันก็คือ ลดลงนี่ประมาณสัก 80% อีก 20% ก็ยังหวังว่าจะพยายาม แล้วก็ที่ สำคัญก็คือ นำส่วนที่ของพ่อแดงเป็นนี้เอาไปเผยแพร่ค่ะ แล้วก็แต่ตัวดิฉันเองก็ไม่ได้โฆษณาว่าตัวเองเก่ง แต่คนที่เขาเป็นเขาก็จะมาหาเราก็เพียงแต่ชี้แนะว่าทำแบบนี้ทำแบบนี้เหมือนกับที่หมอบอกว่าโยนหินถามทางค่ะ แล้วก็บอกบอกเขาแล้วก็ที่สำคัญคือทำตัวอย่างให้เห็นแต่บางคนเขาก็มองว่าเรานี่เพี้ยนค่ะ เขาก็มองว่าเพี้ยนเขาว่าอะไรบ้างที่กินแต่ผักอย่างเดียว
จิตอาสา: เดี๋ยวนี้ไม่ทานเนื้อสัตว์กันเลยทั้ง 2 คน
อาจารย์อุ๊: อย่างดีก็มีปลา พวกหมูไก่พวกนี้ไม่ได้ทานค่ะ
จิตอาสา: แล้วในชีวิตประจำวันนี่อย่างนี้ตลอดมาตั้งแต่ปี 2550 เลยใช่ไหมคะ
อาจารย์อุ๊: ค่ะ
จิตอาสา: แล้วเห็นพัฒนาการของพ่อแดงจากเดิม เดินได้แค่ไหนคะช่วงแรก ๆ
อาจารย์อุ๊: คือจากที่นอนที่ ที่นอนที่แล้วก็ลุกนั่งไม่ได้
จิตอาสา: นอนที่คือเดินไม่ได้เลย แล้วฝึกนั่งให้ได้
อาจารย์อุ๊: นั่งให้ได้ แล้วก็ฝึกยืนให้ได้
จิตอาสา: ฝึกยืนได้
อาจารย์อุ๊: แล้วก็ฝึกเดินอาศัยการพยุง ต้องอาศัยการจับด้านหลังค่ะ เพราะว่าในลักษณะของ คนไข้ที่เป็นเส้นเลือดในสมองแตกแล้วมันจะมีการซึม เมื่อก่อนพ่อแดงเดินได้ตลอด แต่ว่าพอช่วงระยะเวลาหนึ่งก็คือมันมีการซึมที่จุดเดิม ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง แต่ว่าดิฉันก็เริ่มต้นใหม่ไม่เคยท้อก็รู้ว่าสาเหตุโรคนี้เป็นแบบนี้แต่ว่าดีกว่าที่เราไม่พยายามเลยนะ พ่อแดงนะสิ่งที่พัฒนามากก็คือการพูด
จิตอาสา: พัฒนาขนาดไหน ไหนลองทดสอบให้ดูหน่อยสิคะ
อาจารย์แดง: ร้องเพลงนะร้องเพลงโอ้ละหนอ ดวงเดือนเอย พี่มาเว้ารักเจ้าสาวคำดวง โอ้ว่าดึกแล้วหนอพี่ขอลาล่วง อกพี่เป็นห่วง รักเจ้าดวงเดือนเอย
จิตอาสา: หอมกลิ่นเกสร เพราะพ่อแดงนี่เป็นคุณครูที่สอน
อาจารย์แดง: ดนตรีไทย
จิตอาสา: เพลงดนตรีไทย ก็เลยรู้สึกว่าตัวนี้จะเป็นตัวที่ทำให้เรามีความสดชื่นขึ้นใช่ไหมคะ
อาจารย์แดง: ครับ
จิตอาสา: แต่สมองความจำอะไรนั้น พ่อแดงไม่มีปัญหาใช่ไหมคะ
อาจารย์อุ๊: ตอนนี้เริ่ม เริ่มดีขึ้นค่ะ แล้วก็ที่สำคัญก็คือจากที่บอกอาจารย์ว่า เรามีการโยคะ การที่ว่าแช่มือแล้วก็แช่เท้า ขาที่ว่าเคยเกร็งนะขาก็กล้ามเนื้อเข้าสู่ภาวะปกติค่ะ มือที่เคยเกร็งก็ดีขึ้นที่บอกว่าโยคะมีส่วนช่วยได้เยอะ
จิตอาสา: กล้ามเนื้อที่มันเกร็ง ๆ ต่าง ๆ นี่โยคะจะช่วยได้เยอะเลย
อาจารย์อุ๊: ช่วยได้เยอะเพราะว่าไม่มี โดยมีความเชื่อนะคะดิฉันเชื่อว่าสมองของคนไข้นี่ไม่มีเครื่องอะไรที่จะสั่งได้นอกจากการกระทำ แล้วดิฉันก็จะให้เขาพยายามทำอะไรหลาย ๆ อย่างที่ทำได้ด้วยตัวเอง โดยที่ว่าตัวดิฉันไม่ต้องช่วยเขาค่ะ มันก็จะพัฒนา
จิตอาสา: แล้วตอนนี้เวลาอยู่ที่บ้านนี่พ่อแดงได้ช่วยตัวเองในเรื่องอะไรบ้างในการดูแลตัวเอง
อาจารย์อุ๊: แปรงฟัน โกนหนวด แล้วก็แต่งตัวเอง
จิตอาสา: โอ้ ดีขึ้นเยอะ
อาจารย์อุ๊: แล้วก็พับผ้า
อาจารย์แดง: พับผ้าด้วย
อาจารย์อุ๊: ช่วยพับผ้า ช่วยเช็ดโต๊ะ แล้วก็ช่วยไปเอาอาหารมา
จิตอาสา: โอ้เดี๋ยวนี่เอาอาหารมาตั้งโต๊ะได้ด้วย
อาจารย์อุ๊: ค่ะ แล้วก็ช่วยเอาอาหารมา แล้วก็ช่วยเปลี่ยนวาล์วถังแก๊สให้ค่ะ แล้วก็อย่างก๊อกน้ำ พวกก๊อกน้ำที่ใส่วงแหวนนี่ พ่อแดงจะช่วยทำให้เพราะว่าให้เขารู้ว่าเขามีศักยภาพ นะพ่อแดงนะ
อาจารย์แดง: ครับ
อาจารย์อุ๊: แล้วก็รับโทรศัพท์คอยเฝ้าบ้านบอกว่าใครมาหา
จิตอาสา: คือวันนั้นก็ถาม โทรไปถาม รับโทรศัพท์อาจารย์อุ๊อยู่ไหมคะไปสวน ไหนว่าไปสวนสิคะ
อาจารย์แดง: ไปสวน
จิตอาสา: ไปสวน โอ้โห ชัดกว่าวันก่อนนั้นอีกแสดงว่าพัฒนาการดีขึ้นมาก
อาจารย์อุ๊: แล้วก็ที่ที่สำคัญคือเราเป็นครูนะ
อาจารย์แดง: ครับ เป็นครู
อาจารย์อุ๊: การเจ็บป่วยครั้งนี้เป็นประสบการณ์ที่จะให้เราได้รู้ว่าพวกเราละเลย เรามัวทำแต่ งานเรา ไม่เพียงพอกับชีวิตค่ะ กิเลสทำให้เราถมเท่าไรก็ไม่รู้จักเต็ม ไม่รู้จักพอหลังจากที่ดิฉันพบหมอเขียวดิฉันรู้เลยว่าเรากินเท่านี้ก็พอค่ะ
จิตอาสา: อะไรให้พอนะคะ
อาจารย์อุ๊: ให้พอดีให้พอเพียง อย่างของในหลวง
จิตอาสา: ใช่เป็นคนพอเพียง
อาจารย์อุ๊: ค่ะ ดิฉันก็ใช้หลักตรงนี้แล้วก็จากที่ดิฉันพลิกผ่านชีวิตมาได้มาก ก็คือ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เราใช้จ่ายเยอะเราลดลงค่ะ ลดลงอย่างมากเลยค่ะ
จิตอาสา: เกินครึ่งไหมคะ
อาจารย์อุ๊: มากกว่าครึ่งนะอาจารย์
จิตอาสา: ก็เลยสบายใจในเรื่องงบประมาณ
อาจารย์อุ๊: ค่ะ แล้วก็ที่สำคัญก็คือ เราสามารถดูแลสุขภาพด้วยตัวเราเองแล้วก็อย่างยั่งยืนแล้วก็พึ่งตัวเองได้
จิตอาสา: ดูแลสุขภาพด้วยตัวเองได้อย่างยั่งยืนแล้วพึ่งตนได้ ใช้ของเรียบง่ายที่อยู่ใกล้แล้วใน บ้านปลูก
อาจารย์อุ๊: ค่ะ ทุกสิ่งค่ะ
จิตอาสา: ทุกสิ่งที่มาทำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสด ทำอาหาร
อาจารย์อุ๊: ค่ะ เพราะว่าแล้วก็ที่สำคัญก็เก็บแจกค่ะเก็บแจกเพื่อนไม่ได้ขาย
จิตอาสา: มีการแจกจ่ายแบ่งปัน
อาจารย์อุ๊: ค่ะ
จิตอาสา: ก็เลยมีมิตรข้าง ๆ บ้านเต็มไปหมด
อาจารย์อุ๊: ค่ะ ที่สำคัญคือให้จิตวิญญาณ จิตวิญญาณของการให้ไม่ใช่จิตวิญญาณของการ เป็นผู้รับ
จิตอาสา: อาจารย์อุ๊อยากจะบอกผู้อื่นผู้ชมผู้ฟังในเรื่องนี้อย่างไรบ้างคะ เรื่องจิตวิญญาณของ
การให้นี้ค่ะ
อาจารย์อุ๊: ถ้าเราให้นี้เราให้มากเราก็รับมากเราวางหลาย ๆ อย่างในชีวิตเราจะไม่ได้อะไรเลย นอกจากความดีความชั่ว แผ่นดินนี้เราก็เอาไปไม่ได้ไม่มีใครที่ว่าตายไปแล้วก็กำมือมีแต่แบทั้งสิ้นเราวาง เราวาง เราวางในที่สุดเราก็จะสงบ แต่ว่าอย่างที่บอกอาจารย์ค่ะถ้าเราไม่เพียรพยายามทำ เราก็จะไม่ได้อะไรเลยค่ะ แล้วก็ตัวดิฉันก็อยากจะบอกว่าเพราะว่าพบจิตอาสา พบหมอเขียว ถึงพลิกผันชีวิตของดิฉันเป็นแบบนี้ก่อนที่เราจะถูกความล่มจมของชีวิตทำให้อับปางค่ะตอนนี้ทำให้เรารู้สึกว่าเรามีความสุขนะ
จิตอาสา: พ่อแดงก็มีความสุขมากนะคะ
อาจารย์อุ๊: ค่ะ
อาจารย์แดง: มีความสุขครับ (ขยับปากแต่ไม่ค่อยมีเสียง)
จิตอาสา: ดีใจนะ
อาจารย์อุ๊: ดิฉันก็คิดว่าการไม่สบายของพ่อแดงนั้นไม่ใช่ว่าเป็นจุดวิกฤติเลย แต่ว่าเป็นจุดดีที่
ทำให้เรารู้ว่า เราพบสัจธรรมในชีวิตค่ะชีวิตของคนเราไม่แน่ อย่าหลงทำงานจนลืมดูแลตัวเองค่ะ แล้วเราก็จะได้ใช้ชีวิตเราอย่างมีความสุขค่ะ
จิตอาสา: เห็นแผลที่คอของพ่อแดงนี่ แปลว่ามีการเจาะคอ ใช่ไหมคะ
อาจารย์อุ๊: ค่ะ
จิตอาสา: เจาะด้วยเรื่องอะไรคะ
อาจารย์อุ๊: เจาะเพราะว่าเขาต้องการที่จะดูดเสลดออกค่ะ
จิตอาสา: แล้วพอเจาะแล้วพูดได้ไหมคะ
อาจารย์อุ๊: พูดไม่ได้ค่ะ
จิตอาสา: พูดไม่ได้ ทีนี้ทำยังไง
อาจารย์อุ๊: หลังจากที่ไปอบรมของหมอเขียวมาแล้ว ก็หมอส่งเทคนิคไปถามไปถามหมอที่ หมอบอกว่ากดตรงนี้
จิตอาสา: กด
อาจารย์อุ๊: กดจุดตรงนี้ (ที่คาง)
จิตอาสา: ตรงนี้
อาจารย์อุ๊: ค่ะ แล้วก็ฝึกแลบลิ้นค่ะ ฝึกอ้าปากแล้วก็ตรงกดจุดจะช่วย ช่วยได้ค่ะ
จิตอาสา: แล้วนานไหมคะถึงจะพูดได้
อาจารย์อุ๊: กลับมาจากที่ค่ายหมอประมาณ 15 วัน
จิตอาสา: 15 วันก็ปฏิบัติการไปทั้ง 15 วันนั้นเลย
อาจารย์อุ๊: พอกลับมาถึงก็คือไฟแรงทำเลยค่ะ
จิตอาสา: พอ 15 วันก็ได้ผลเลย
อาจารย์อุ๊: ได้ผลค่ะ ยา 9 เม็ดก็คือ หมายความว่าพอกลับมาถึงก็ดิฉันก็
จิตอาสา: เต็มที่
อาจารย์อุ๊: ทำเต็มที่ค่ะ
จิตอาสา: ก็เลยยังไม่ต้องจากโลกนี้ไป
อาจารย์แดง: ครับ
จิตอาสา: ได้มาอยู่ดูโลกอีกอย่างสดชื่น เดินได้ด้วย
อาจารย์แดง: เดินได้
จิตอาสา: แล้วคำแรกที่พูด
อาจารย์แดง: ไม่กินเต้าหู้
จิตอาสา: ไม่กินเต้าหู้แสดงว่าก่อนนั้นเต้าหู้ต้องกินมาเยอะเลยอย่างนั้นหรือเปล่า
อาจารย์แดง: ครับ
จิตอาสา: ถ้าตอนนี้กินไหมคะเต้าหู้
อาจารย์แดง: กิน
จิตอาสา: เห็นถึงความผาสุกของผู้ป่วยแล้วก็ทำให้เห็นว่าวิธีการของคุณหมอเขียวนี่ ช่วยให้ คนมีความสดชื่นผาสุกด้วยตัวของผู้ป่วยเองและผู้ดูแลที่ไม่ต้องใช้เงินแม้บาทเดียว ก็ยังมียารักษาโรคที่หมอบอกว่า 3 วันตาย อยู่ได้มา 7 ปีแล้ว แล้วอยู่ได้อย่างคนมีความผาสุกแล้วก็ประหยัดเงินมากกว่าครึ่งของที่เคยจ่าย นี่คืออะไรคะท่านผู้ชมผู้ฟัง นี่คือสุขภาพพึ่งตนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง แล้วอาจารย์อุ๊เองซึ่งเป็นแม่บ้านก็มีความผาสุก ว่าได้นำศาสตร์ของพระราชามาใช้ ใช่ไหมคะอาจารย์ขอบพระคุณอาจารย์มากเลยนะคะ สาธุ