3. บันทึกกลุ่มตัวอย่างจาก ผู้ใช้การแพทย์วิถีพุทธที่แนะนำและเก็บบันทึกโดยจิตอาสาแพทย์วิถีพุทธ เครือข่ายแพทย์วิถีพุทธ นักศึกษาแพทย์วิถีพุทธ และประชาชนผู้ที่ใช้การแพทย์วิถีพุทธ
ระหว่างปี พ.ศ. 2551 – 2558
(ประเภทข้อมูลที่ 8 แบบบันทึกกรณีศึกษาของจิตอาสาและนักศึกษาแพทย์วิถีพุทธ))
กรณีศึกษาที่ | 3.54 |
ชื่อ | นายชูชาติ สุทธิโอสถ |
เพศ | ชาย |
อายุ | 61 ปี |
จังหวัด | ภูเก็ต |
โรคหรืออาการ : มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (Non-Hodgkin’s lymphoma)
ต้นเดือนมิถุนายน 2550 มีตุ่มบวมบริเวณลำคอทั้ง 2 ข้าง และโตขึ้นเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็ว จึงไปให้หมอตรวจที่โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต หมอจะขอผ่าเอาชิ้นเนื้อไปตรวจ แต่กว่าจะทราบผลอาจใช้เวลาเกือบ 2 อาทิตย์ ประเมินดูแล้วอาจเป็นอันตรายจากการบวมผิดปกติที่คอ เลยขอให้หมอส่งเคสต่อไปที่โรงพยาบาลจุฬาฯ กรุงเทพฯ
วันที่ 18 มิถุนายน 2550 ผลการตรวจพบว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองขั้นที่ 3 (Non-Hodgkin’s Lymphoma) ขนาด 0.5-2.2 เซ็นติเมตร คุณหมอแนะนำให้รักษาโดยวิธีเคมีบำบัด และยังได้เสนอให้ใช้คู่กับยา Mabcampth ซึ่งต้องสั่งซื้อจากสิงคโปร์ และเป็นยาที่แพงมาก ชุดหนึ่งมี 8 เข็ม ราคาประมาณ 6 แสนบาท เป็นยาที่สามารถป้องกันการกลับมาของมะเร็งค่อนข้างจะได้ผล (จากผลการทดลองกับคนไข้อื่น ๆ) จึงตกลงทำตามที่คุณหมอแนะนำ และนัดทำเคมีบำบัดวันรุ่งขึ้น พอดีก่อนจะให้เริ่มให้เคมีบำบัด มีคนแนะนำยาชนิดหนึ่งที่ซื้อมาจากญี่ปุ่น ชื่อ Lentin Plus 1000 สกัดจากเห็ดชนิดหนึ่งของญี่ปุ่น ช่วยสร้างเม็ดเลือดขาว ทำให้ร่างกายแข็งแรงก่อนให้เคมีบำบัด ซึ่งก็ช่วยได้ในระดับหนึ่ง เพราะหลังการให้เคมีบำบัด คนป่วยไม่มีอาการแพ้ยามากนัก และสามารถรับเคมีบำบัดตามกำหนด โดยไม่มีปัญหาเรื่องจำนวนเม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดต่ำ
เมื่อการให้เคมีบำบัดผ่านไปจนครบคอร์ส และทำ CT-Scan อีกครั้ง ในเดือนตุลาคม 2540 ผลออกมาเป็นที่น่าพอใจ คือ ก้อนมะเร็งหายไปเกือบหมด ยังมีเหลืออยู่บ้างแต่ไม่ได้โตขึ้น เมื่อเสร็จการให้เคมีบำบัด ก็เริ่มให้ตัวยา Mabcampth แต่ให้ไปได้เพียง 3 เข็ม ผู้ป่วยรู้สึกค่อนข้างทรมาน
จึงขอคุณหมอหยุดยา และจากนั้นก็กลับมาคอย Check up ตามที่คุณหมอนัด ช่วงแรก ๆ เดือนละครั้ง ต่อมาก็ห่างเป็น 3 เดือนครั้ง และทุก 6 เดือนครั้ง ใช้เวลาไปทั้งสิ้น ประมาณ 5 ปี รวมเวลาที่ทำ CT-Scan 2 ครั้งด้วย เสียเงินไปเกือบล้านบาท (ไม่รวมบางรายการที่เบิกผ่านประกันสังคม)
ในระหว่างนั้น ตอนต้นปีของ 2553 ผู้ป่วยได้เป็นโรคงูสวัดอย่างรุนแรงที่บริเวณใบหน้าด้านขวา จึงไปหาหมอรับยามาทาน ก็ไม่ค่อยหาย รักษาอยู่หลายวิธีเป็นเวลาเกือบเดือน จึงทุเลาลง และใช้เวลาในการทำกายภาพบำบัดอยู่ประมาณ 2 เดือน ถึงกระนั้นใบหน้าบริเวณปากก็ยังเบี้ยวอยู่เล็กน้อย
การดูแลและแก้ไขอาการ :
เริ่มมารู้จักแพทย์วิถีธรรมในราวกลางปี 2553 ที่ จังหวัดภูเก็ตได้เข้าค่ายสุขภาพพึ่งตนที่จังหวัดภูเก็ตเป็นครั้งแรก โดยเพื่อนขอให้ช่วยไปส่งเข้าค่ายสุขภาพที่นอกเมือง และบังเอิญได้ยินประโยคทองจากอาจารย์หมอเขียวว่า “ผู้ป่วยโรคที่เป็นมะเร็งแล้วไปรับเคมีบำบัดมา และคิดว่าตัวเองหายดีแล้ว อย่าเพิ่งวางใจเพราะถ้าไม่รู้จักอาหารฤทธิ์ร้อนฤทธิ์เย็น ก็อาจเป็นมะเร็งอีกครั้ง หรือเป็นโรคอื่น ๆ เช่น งูสวัดได้”
และนี่คือจุดเริ่มต้นของการใช้ชีวิตในแนวแพทย์วิถีธรรม โดยเริ่มปั่นน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสดไว้ดื่มแทนน้ำ (ตอนนั้นทำค่อนข้างเข้มข้นเพราะเข้าใจว่าสามารถฟื้นฟูเซลล์และซ่อมสร้างเซลล์จากการให้เคมีบำบัดได้) ปรากฎว่าค่าผลเลือดต่าง ๆ โดยเฉพาะเม็ดเลือดขาวดีขึ้นมาก (โดยเปรียบเทียบกับค่าผลเลือดก่อนดื่มน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสด เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2554 กับผลหลังจากดื่มไประยะหนึ่ง วันที่ 29 มกราคม 2554 และค่าผลเลือดในช่วง 6 เดือนที่ไม่ค่อยได้ดื่ม ตามที่แนบมาด้วย) จึงเป็นหลักฐานยืนยันว่า การดื่มน้ำสมุนไพรเพื่อปรับสมดุลในร่างกายมีผลต่อค่าผลเลือดจริง ๆ
นอกจากดื่มน้ำสมุนไพรแล้ว ผู้ป่วยยังทำดีท็อกซ์ในบางวันด้วย แต่เนื่องจากระยะหลังภรรยาไม่ค่อยอยู่บ้าน เพราะไปเป็นจิตอาสาแพย์วิถีพุทธเต็มตัวเพื่อนำความรู้ที่ได้ศึกษาไปช่วยผู้อื่น อีกทั้งผู้ป่วยเห็นว่าตัวเองหายดีแล้ว ก็กลับไปทำงานหนักเหมือนเดิม
ใช้ชีวิตแบบเดิมเหมือนเมื่อก่อนเป็นมะเร็ง ดังนั้นจึงไม่ได้รับสิ่งที่เป็นประโยชน์เข้า และระบายพิษออกจากร่างกาย หลังจากที่เป็นมะเร็งครั้งแรกเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ผู้ป่วยก็เป็นโรคมะเร็งอีกครั้ง
การรักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองครั้งที่ 2 ตามแนวทางทางแพทย์วิถีธรรม
ในราวกลางเดือนมกราคม 2558 ผู้ป่วยมีต่อมขึ้นบริเวณลำคอทั้ง2 ข้างใกล้ๆต่อมทอนซิล
1อาทิตย์ต่อมาต่อมก็เริ่มโตอย่างรวดเร็วและนูนออกมาบริเวณคอด้านนอกบริเวณข้างหูทั้ง 2 ข้างบริเวณด้านหลังศีรษะบริเวณขาหนีบโดยจะเป็นมากตามร่างกายด้านขวามีอาการปวดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจึงตัดสินใจเข้าโรงพยาบาลประจำจังหวัดระหว่างรอหมอเชี่ยวชาญเฉพาะทางอยู่ 2 วันผู้ป่วยมีอาการปวดมากจนนอนไม่หลับต้องนั่งหลับทั้งกลางวันและกลางคืนผู้ช่วยจึงตัดสินใจเลือกรักษาตัวตามแนวแพทย์ทางเลือกเพราะทราบดีถึงความทรมานจากพิษร้อนต่อร่างกายจากการให้เคมีบำบัดเมื่อครั้งก่อนและก็ขอคุณหมอออกจากโรงพยาบาลกลับบ้านมาเริ่มรักษาตามแนวทางแพทย์วิถีธรรม
วันที่ 18 มกราคม 2558
- เริ่มทำน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสดให้คนไข้ (ใบย่านางรางจืดใบเตยอ่อมแซบหญ้าปักกิ่งเสลดพังพอนตัวเมียต้นอ่อนข้าวสาลีน้ำนมราชสีห์และหยวกกล้วย) โดยให้คนไข้ดื่มไปช้าๆประมาณ2แก้วเพื่อปรับสมดุลภายในร่างกายที่ร้อนจัดจากการอักเสบของต่อมน้ำเหลืองและจากพิษของมะเร็ง
- คนไข้ดีทอกซ์ด้วยน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสดผสมน้ำเปล่า
- กัวซาบริเวณหลังคนไข้เพื่อระบายพิษทางผิวหนังฟอกเลือดเสียออกจากร่างกายและรับออกซิเจนเข้าไปสร้างเลือดดี
- คนไข้ดื่มน้ำถ่านผสมน้ำหลังทำดีท็อกซ์
- คนไข้ทานอาหารปรับสมดุล (เน้นผักผลไม้ฤทธิ์เย็น) ทานข้าวกับเกลือและผักฤทธิ์เย็นลวก
- คนไข้พักผ่อนในคืนแรกเริ่มหลับได้บ้างมีตื่นลุกขึ้นมานั่งหลับสลับกันบ้าง
วันที่19 มกราคม2558
- ปลุกคนไข้ตื่นนอน06.00น. เนื่องจากคนไข้นอนไม่ค่อยหลับจึงไม่สามารถตื่นเร็วกว่านี้เปิดCDกดจุดลมปราณและกายบริหารโยคะให้คนไข้ทำตาม
- ทำน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสดให้คนไข้ดื่ม1แก้วตามด้วยผลไม้หลายๆชนิด
(เน้นผลไม้ฤทธิ์เย็น) - ปั่นผักผลไม้ให้คนไข้ทานทั้งกากแล้วก็ให้ทานข้าวต้มล้างพิษ (ใช้ผักฤทธิ์เย็น 90% ฤทธิ์ร้อน10%)ระหว่างนี้ก็เปิดคลิปกลไกการเกิดและการหายของโรค ยา9 เม็ดและน้ำปัสสาวะให้คนไข้ดูคนไข้ก็ดูไปหลับไปสังเกตว่าในช่วงเช้าอาการบวมลดลงความร้อนตามตัวคนไข้ลดลง
- คนไข้ทำดีท็อกซ์ด้วยน้ำปัสสาวะ
- คนไข้ดื่มน้ำสมุนไพรทานผลไม้ฤทธิ์เย็นส้มตำสุขภาพต่อด้วยอาหารเที่ยงเป็นข้าวคลุกเกลือและผักลวกเหมือนเดิมวันนี้มีน้ำซุปและถั่วเขียวต้มใม่ใส่น้ำตาลด้วยระหว่างนี้ก็เปิดคลิปแชร์ประสบการณ์ของคนไข้รายอื่นๆให้ฟังคนไข้ก็ฟังๆหลับๆตื่นๆตลอดโดยพยายามนั่งฟังและทำกัวซาด้วยตัวเองรอบๆก้อนมะเร็งไปด้วยดื่มน้ำถ่านสลับน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นปั่นสดๆคนไข้นอนหลับกลางวันบ่อยๆตลอดทั้งวัน
- ช่วงบ่ายคนไข้หยอดหูหยอดตาหยอดจมูกหยอดคอแล้วพอกทาบริเวณศีรษะคอขาพับด้วยกากสมุนไพรฤทธิ์เย็นผสมผงถ่านน้ำมันเขียวน้ำย่านางสกัดทิ้งไว้จนแห้งล้างออกแล้วกัวซาทั่วร่างกายคนไข้ทำพลางหลับไปพลาง
- ทำน้ำนมธัญพืชให้คนไข้ทานเป็นอาหารเย็นเพื่อให้พักผ่อนนอนหลับกลางคืนได้เต็มที่ไม่ต้องลุกขึ้นมานั่งหลับบ่อยๆแต่คนไข้ปัสสาวะบ่อยได้แนะนำให้คนไข้ทดลองดื่มน้ำปัสสาวะ
วันที่ 20 มกราคม 2558
- ปลุกคนไข้ตื่นเวลา05.00น. ฝึกคนไข้ดื่มปัสสาวะฝึกลมหายใจกดจุดโยคะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงฝึกทำน้ำสมุนไพรดื่มเองให้ช่วยทำน้ำผลไม้ปั่นสอนให้ทำข้าวต้มล้างพิษและทานอาหารตามลำดับ
- คนไข้ทำดีทอกซ์เสร็จพอกด้วยสมุนไพรบริเวณที่ปูดออกมาสังเกตว่าส่วนที่นูนเริ่มยุบลงไม่ว่าบริเวณคอหัวข้างหูและขาพับลองเอามือคลำดูก็เป็นก้อนเล็กลงอยู่ข้างในอาการเจ็บหายไประหว่างนั้นคนไข้หลับ ๆ ตื่น ๆ
- เสร็จจากการพอกให้คนไข้ทำกัวซาด้วยตัวเองทั่วทั้งตัวคนไข้หลับ ๆ ตื่น ๆ เป็นระยะ ๆ
- สอนคนไข้ทำอาหารเที่ยงวันนี้เริ่มทำกับข้าวให้ทานบ้างคงรสชาติไว้ที่ 20% และเน้นอาหารฤทธิ์เย็นอธิบายให้คนไข้ถึงสาเหตุที่ให้เคี้ยวอาหารให้ละเอียดและสอนให้ทานอาหารตามลำดับเพื่อเซลล์ร่างกายจะนำไปใช้ได้ง่ายและรวดเร็วช่วยในการสร้างเซลล์ดีให้แข็งแรงและกำจัดเซลล์มะเร็งออกจากร่างกายได้ดีคนไข้ทานอาหารเสร็จก็ให้พักผ่อน
- ช่วงบ่ายให้คนไข้ช่วยเตรียมสมุนไพรสำหรับใช้ต้มแช่มือแช่เท้าเนื่องจากช่วงกลางวันอากาศร้อนมากจึงให้คนไข้แช่มือแช่เท้าในอุณหภูมิที่ไม่ร้อนมากนักระหว่างแช่ก็ให้เอาผ้าชุบน้ำสมุนไพรโพกไว้ที่ศีรษะกันไม่ให้ความร้อนตีขึ้นบนศีรษะ
- แช่มือเท้าเสร็จให้คนไข้เอาน้ำสมุนไพรที่เหลือไปอาบคนไข้รู้สึกสบายตัวขึ้นจึงขออนุญาตแต่งตัวไปทำงานโดยเอาน้ำสมุนไพรและน้ำถ่านไปดื่มด้วย
หลังจากที่ใช้หลักการทำความสมดุลให้ร่างกายด้วยการเอาสารอาหารที่ดีและเหมาะสมเข้าไปในร่างกายและเอาพิษออกด้วยเทคนิคยาทั้ง9เม็ดข้างต้นของแพทย์วิถีธรรมมาเป็นเวลาประมาณ 2 วันกว่าอย่างเต็มรูปแบบอาการโดยทั่วไปของคนไข้ดีขึ้นสดชื่นขึ้นอาการบวมของต่อมน้ำเหลืองหายไป (ดูได้จากรูปที่แนบมาด้วย) อาการเพลียน้อยลงทำให้คนไข้มีความมั่นใจในการนำศาสตร์นี้ไปใช้ต่อไป
จนถึงวันนี้คนไข้ก็ยังคงใช้ชีวิตได้ตามปกติไปทำงานทุกวันตั้งแต่เช้าถึงเย็นและได้พยายามค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำรงชีวิตเข้าสู่แนวทางของแพทย์วิถีธรรมมากขึ้นที่เห็นได้ชัดเจนคือการรับประทานอาหารคนไข้สามารถทานรสจืดได้งดเนื้อสัตว์เกือบ 100% ดื่มน้ำสมุนไพรทำดีท็อกซ์ทุกวันรับประทานอาหารปรับสมดุลทานอาหารรสจืดและทานอาหารตามลำดับได้นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของคนไข้ที่สามารถ “เป็นหมอดูแลตัวเอง” ได้