1. บันทึกการสัมภาษณ์กรณีศึกษากลุ่มตัวอย่างจาก ผู้ใช้การแพทย์วิถีพุทธสำหรับผู้ที่มาเข้าอบรมค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีพุทธ 5-7 วัน
ณ ศูนย์เรียนรู้สุขภาพพึ่งตนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง สวนป่านาบุญ 1 อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร และเครือข่ายแพทย์วิถีพุทธทั่วโลก
ระหว่างปี พ.ศ. 2552 – 2558
(ประเภทข้อมูลที่ 7 การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ ผ่านสื่อออนไลน์ – ยูทูบประเภทข้อมูลที่ 9 แบบบันทึกสัมภาษณ์แลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ และ ประเภทข้อมูลที่ 12 แบบสอบถามประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ เทคนิค 9 ข้อ)
กรณีศึกษาที่ | 1.9 |
ชื่อ | ธนพร นพภาลี |
เพศ | หญิง |
จังหวัด | นครราชสีมา |
อาชีพ | ทำธุรกิจส่วนตัว |
โรค | โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะ 4 |
วันสัมภาษณ์ | 8 มิถุนายน 2557 |
ธนพร นพภาลี อายุ 26 ปี อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา จบการศึกษา ปริญญาตรี วิศวกรรมเคมี จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ปัจจุบันเป็นติวเตอร์คณิตศาสตร์
เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองระยะ 4 รับทราบเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2554 รักษามาประมาณหนึ่งปีแล้วค่ะ ก่อนได้ไปเข้าอบรมค่ายสุขภาพของคุณหมอเขียวครั้งแรกที่สีมาอโศก เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.2556 ตอนนั้นให้ยาเคมีบำบัดแล้วผมร่วงมีอาการ คือเหนื่อยง่าย ก่อนหน้าที่จะเจอว่าเป็นมะเร็ง ปกติจะวิ่งออกกำลังกายได้ ประมาณ 3-4 กิโลเมตร แต่มีช่วงหนึ่งเราก็เดิน เดินออกกำลังกาย แล้วก็วิ่งด้วยประมาณแค่ไม่กี่เมตร 100 -150 เมตร ก็เหนื่อย เราก็สงสัยว่า เอ๊ะ ทำไมเราเป็น แต่ตอนนั้นก็คือคิดว่า เอ๊ะ สงสัยเราอาจจะไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย อาจจะหยุดวิ่งไประยะช่วงเวลาหนึ่งในช่วงที่เราเรียน แล้วก่อนหน้าที่จะตรวจพบโรค เราก็ไปงานสัมมนากับอาจารย์เดินทางไกลไปภาคใต้ ไปอยู่ 7 วันพอกลับมาก็เกิดอาการไอ ไอแห้ง ๆ ไอตลอดระหว่างทางก็ไปหาหมอไปตรวจหลายโรงพยาบาลมากเลยค่ะ ก็คิดว่าเราเป็นโรคหัวใจเพราะว่าพอเวลาหมอฟังเสียงนี่ มันจะได้ยินเสียงฟู่ ๆ คิดว่าเป็นโรคหัวใจรั่ว แต่ทีนี้ไปอีกโรงพยาบาลหนึ่งเขาจับเอ็กซเรย์ ก็ปรากฏว่าพบก้อนตอนแรก 8×13 เซ็นติเมตร ตอนหลังขยายมา ก่อนที่จะรักษาเป็น 9×14 เซ็นติเมตรค่ะ มันเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ภายในประมาณ 3 เดือนค่ะ แล้วก็มีเป็นก้อนใหญ่อยู่ในช่องอก ระหว่างหัวใจกับปอด แล้วก็กระจายไปที่ไต แล้วก็ปอดค่ะ ตอนต้นปี 2555 กระจายไปแล้ว หมอก็ให้รักษาโดยแผนปัจจุบันทำ
คีโม 8 ครั้งครบค่ะ
ตอนเจออาจารย์หมอเขียว คือ หมอจะส่งไปรักษารอบสองที่เป็นรอบใหญ่ คือ ฉายแสงอีก 24 ครั้ง อาการความรู้สึกที่ได้รับคีโม ก็มีอาเจียน ผมร่วง เม็ดเลือดขาวต่ำ ประมาณนี้ ก็เหมือนทั่ว ๆ ไป ความทรมานมี แต่เราก็ทนไหว ก็คือ ณ ก่อนหน้านี้ เราเป็นคนที่ศึกษาธรรมะมา ก่อนที่จะป่วยก็คือสรรหาแนว ๆ นี้ แล้วก็ศึกษามาหลายอัน แล้วก็ฟังอะไรอย่างนี้ เริ่มสนใจศึกษาธรรมะ ประมาณ ม. 6 นี่ ก็เริ่มสนใจ ความทุกข์เลยน้อย เพราะว่าเราศึกษาธรรมะ
แต่ตอนนั้น เราก็คือตอนแรกเราทุกข์ไหม ถามว่า ทุกข์ เราก็ยังไม่รู้คือช่วงนั้นเราเหมือนจะดร็อป ๆ ด้านธรรมะเหมือนกันนะ เราระแวงกังวลอะไรอย่างนี้ เพราะว่าเราแบบเจอปุ๊บเราก็เริ่มตกใจ ในช่วงก่อนหน้านั้นเราก็ เอ๊ะ สงสัยเราเป็นมะเร็งแน่ ๆ เลย ดูจากการประเมินแล้วก็อ่านในอินเตอร์เน็ตบ้างอะไรอย่างนี้ แต่หมอก็บอก เอ๊ะ ตอนนั้นยังมีวิบากเยอะมั๊ง หมอก็ เอ๊ะ ไม่รู้จะเป็นอะไร ใช่มะเร็งหรือเปล่าหรือเป็นเนื้องอก เป็นอะไรอย่างนี้อ่ะค่ะ คือบางครั้ง คือไปหลายโรงพยาบาลมาก ไปโรงพยาบาลหนึ่งคือเสียเวลาประมาณ 2-3 เดือน ก็ไม่ได้อะไร แล้วเสร็จแล้วคือ หมอก็ตรวจ แต่หมอก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรคือไม่รู้ว่าเป็นอะไร ใช่เป็นมะเร็งหรือเปล่าหรือเป็นเนื้องอกเฉย ๆ หมอแค่เจาะไปดู แต่ก็ไม่ทราบผล ก็งงมากก็ไม่ทราบแล้วก็จะขอเจาะอีก เจาะเนื้อไปตรวจ (จับตรงกลางหน้าอก) ตรงช่องอก
ตอนนั้นก็ไม่รู้ผล แต่ทีนี้พอดีรู้จักกับหมออีกโรงพยาบาลหนึ่ง ซึ่งเป็นญาติกัน แล้วพอดีเป็นหมอพวกช่องอกหัวใจ ก้อนมันบวมขึ้นมาค่ะ มันดันกระดูกขึ้นมา เพราะว่ามันไม่ได้อยู่ข้างนอกใช่ไหมคะ มันอยู่ข้างใน มันก็ดันขึ้นมา แล้วมันก็โป่ง ๆ แล้วก็เราก็เหนื่อยง่ายมาก คือแบบเหนื่อยไม่ไหวแล้ว หมอก็เลยตัดสินใจผ่าผ่าแค่ชิ้นเนื้อเล็ก ๆ ไปดูเพราะว่าหมอบอกว่าไม่สามารถผ่าหมดได้ เพราะว่ามันความเสี่ยงสูงเพราะว่าแค่หมอผ่าเล็ก ๆ ไปดูหมอก็แบบตกใจคือหมอออกมาจากห้องผ่าตัด หมอก็นักศึกษาแพทย์มาเล่าให้ฟังว่านี่อยู่ในห้องผ่าตัดนะ หมอตกใจมากเลยเพราะว่าพอเวลาให้ยาสลบนี่ ก้อนนี้มันก็จะทับหลอดลม ทำให้คนไข้อาจจะเสียชีวิตได้ หมอก็จะออกมาเล่ากันหลายคน ให้เราฟังหมอ ก็เลยได้แค่ไปประมาณหนึ่ง ได้ไปตรวจรักษามา ตั้งแต่ตรวจมาเลย 4 โรงพยาบาล
หมดค่าใช้จ่ายไปประมาณเป็นล้านกว่าหมดเงินไปล้านกว่า เพราะว่าทั้งยาด้วย แล้วก็ค่าห้อง การได้มาเข้าค่ายที่สีมาอโศก ก็แม่เป็นคนที่สนใจเรื่องอาหารสุขภาพ คุณแม่พิสมัยชอบแพทย์ทางเลือกมากกว่า อย่างอาหารอันไหนบำรุงเรา กินแล้วมันดีไม่เป็นอันตราย ตอนนั้นแม่ก็ดูแลตลอด แม่ก็ชอบอ่านหนังสือแนวนี้ด้วย คุณแม่ก็ถูกแนะนำกันมาค่ะคือเวลาเราไปเข้ากลุ่มมะเร็งด้วยกัน จะไปฉายแสง ก็จะเจอกลุ่มกันหลาย ๆ คน เขาก็แนะนำ ยานี้ดี คนนี้ดี คนนั้นดี เขาก็แนะนำว่าหมอเขียวนี่ คนแนะนำเขาก็ไม่รู้ว่าเขาเคยไปหรือเปล่า เพราะว่าพวกคนกลุ่มที่เป็นมะเร็งที่รู้จักกันไม่ว่าจะเป็นรักษาโรคเดียวกันหรือว่าคนละโรค เขาก็ส่วนใหญ่ก็เสียชีวิตไปแล้ว แม่จะโทรถาม แม่เป็นคนอัธยาศัยดีคุยกับคนนู้นคุยกับคนนี้ ถามไปเรื่อย แล้วก็อ้าว ป้าคนนี้เสียชีวิตไปแล้ว พี่คนนี้เสียชีวิตไปแล้ว ก็เหลือกันจริง ๆ ก็ไม่กี่คน แต่ถึงที่สุดแล้วหนูก็มาเมื่อเดือนมกรา 2556 ที่สีมาอโศก ตอนนั้นเข้าค่าย 5 วันค่ะ
ก่อนหน้านี้ก็ใช้ชีวิตแบบนักศึกษาทั่วไป คือ นอนดึก เพราะว่าทำงาน การบ้าน ก็นอนดึก แล้วก็กินกาแฟเยอะมาก เพราะเราต้องแบบเราต้องทำงานให้ได้ เนื้อสัตว์ก็คือเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบทานเนื้อสัตว์ กินก็จะแบบเขี่ย ๆ ทิ้งอะไรอย่างนี้ แต่ว่านอนดึก ดื่มกาแฟมาก เครียด เครียดแล้วอาจด้วยความก่อนหน้านี้เราไปทำงานไปฝึกงาน แล้ววิศวะเคมีก็ต้องเจอสารเคมี แล้วมันไม่ใช่เหมือนกับวิทยาศาสตร์เคมีที่เป็นปริมาณน้อย ๆ แต่วิศวะคืออยู่กับปริมาณเยอะ ๆ หลายร้อยลิตรอย่าง แล้วเราก็อยู่กับมัน เราก็รู้นะพอเวลาทำแล็ป รู้ว่าสารตัวนี้ก่อมะเร็ง แต่เราก็ด้วยความที่แบบประมาท เราก็แบบชิว ๆ ก็แค่สารเคมีแล้วไง เราก็รู้ โอ้โห เต็มเลยอันนี้ แต่เราก็แบบไม่กลัวอะไรอย่างนี้ แต่ขนาดว่าตอนที่ฝึกงานนี่พี่ ๆ ในกลุ่มที่ทำงานเขาก็ยังคุยกันเล่น ๆ คือเวลาพักกินข้าว นี่นะเราฝึกงานที่นี่เสร็จนะเดี๋ยวเราไปรักษาต่อข้างหลัง คือข้างหลังที่ทำงานที่ไปฝึกงานเป็นศูนย์มะเร็งคือเรายังคุยเล่นกันอยู่ขำ ๆ ก็ไม่มีใครกลัวอะไร
หลังจากที่ได้เข้าค่ายแล้ว ก็ได้ทำตามแนวทางของคุณหมอเขียวคือยา 9 เม็ดอย่างเคร่งครัด เลยประมาณ 4-5 เดือน แล้วก็ไปตรวจด้วยวิธีเพทสแกน คือเอาน้ำตาลแล้วผสมใส่กับสารกัมมันตภาพ รังสี แล้วฉีดเข้าไปในกระแสเลือด แล้วก็ถ้าสมมติว่าเซลล์ไหนในร่างกายนี่มันกินน้ำตาล ก็จะเป็นมะเร็งค่ะ มันก็จะปรากฏสีที่แตกต่างกันค่ะ คือตอนนั้นเราก็ เอ๊ะจะเป็นอีกไหมหนอ จริง ๆ แล้วที่ไปตรวจรอบนั้นคือจริง ๆ ตัวเองไม่อยากตรวจแบบร้องไห้เลยนะ ร้องไห้คือไม่ใช่ว่าเรากลัวเป็นอีกรอบ แต่เราไม่อยากรักษา คือบอกพ่อแม่ว่าขอรักษาทางแพทย์วิถีธรรมเถอะ เป็นก็เป็น ขอตายอย่างนี้ดีกว่า แบบไม่อยากรักษาด้วยคีโมมันทรมานมาก เราไม่อยากเอา ไม่อยากไปคีโมอีก มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกัน มันทรมานเฉย ๆ แต่ทีนี้พ่อแม่ก็ดุ ก็ไปตรวจ แล้วก็ผลก็ออกมาก็โอเค ไม่ได้เป็นซ้ำอีกรอบเพราะว่ารอบนั้นหมอส่งไปเพื่อจะไปรักษาอีกรอบหนึ่ง เพราะว่าหมอมีแนวโน้มว่า คือ ด้วยความที่ว่าผลเลือดนี่โรคก็ยังไม่สงบ ยังมีเชื้ออยู่ หมอก็เลยจะส่งไปอีกโรงพยาบาลหนึ่งเพื่อจะไปรักษาอีกครั้งค่ะ
สุขภาพจิตก็ปกติ คือไม่มีความกังวลอะไรมาก แต่สมัยก่อน เป็นคนขี้กังวล แล้วเป็นคนที่เครียด ทีนี้โชคดีที่เราป่วยมากกว่า เราก็จะได้ไม่ต้องไปทำในสิ่งที่อะไรก็ไม่รู้ ต้องหมกมุ่นกับงานที่ทำ หมกมุ่นกับสิ่งที่เรียนอะไรอย่างนี้ แล้วก็ได้มีเวลาศึกษาธรรมะเต็มที่ การศึกษาธรรมะเต็มที่ก็เลยทำให้พอประทังชีวิตให้โอเค ก็คือไม่ได้ทุกข์ ไม่ได้เครียด ไม่ได้กังวลอะไรมากคือแบบว่าอย่างตอนแรก เราก็มาก็มีช่วงดร็อปไปช่วงหนึ่งใช่ไหมคะ ที่เล่าให้ฟังตอนแรกแล้วก็กลับมาฟื้นใหม่คือตอนที่ให้ยาเคมี เราก็ชีวิตนี้ ก็คือ ไม่ แบบว่าสงสัยตายแน่ ๆ ตั้งใจว่ายังไงเราก็ตาย ไอ้สิ่งที่มันมีประโยชน์ที่สุดสำหรับชีวิตเรา ที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะว่าพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า การได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นแสนยากเปรียบเหมือนเต่าตาบอดที่นอนอยู่ในมหาสมุทร แล้วก็ 100 ปีก็จะโผล่ขึ้นมาทีหนึ่ง แล้วมันมีโอกาสมากน้อยเท่าไหนที่เต่าจะเอาหัวสอดเข้าไปในแอ่งไม้ไผ่ มันก็ยากมาก การเกิดเป็นมนุษย์นี่ก็ยาก การเจอพระพุทธเจ้าก็ยาก แล้วก็การที่ได้รู้จักกับคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ยาก มันก็เป็นสิ่งที่ยากมาก ๆ เราก็ดีใจนะ เออ เราก็ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วแล้วก็สิ่งที่เราต้องทำก็คือต้องศึกษาธรรมะ แล้วก็ทำตัวเองให้รอดพ้นได้ รอดพ้นก็คือแบบ อาจจะไม่รู้ว่าจะได้ไปอบายหรือเปล่าอะไรอย่างนี้ก็ถือศีล 5 ค่ะ เนื้อสัตว์ ณ ปัจจุบันนี้ก็ไม่ทานค่ะ ไม่ทานมานี่ ก็ตั้งแต่เข้าคอร์สหมอเขียวก็เด็ดขาด เพราะว่าเราก็ไม่ค่อยชอบอยู่แล้ว
ยาเม็ด 9 ข้อ ว่าแต่ละข้อ ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ถ้าเป็นช่วง 4 เดือนแรกใช่ไหมคะ ที่บอกว่าเคร่งครัดนี่ เราก็คือทานผักผลไม้ น้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสด ดื่มตามลำดับ น้ำปั่นผักผลไม้ค่ะ จะเน้นพวกนี้โปรตีนงด งดเลย คือถั่วก็แทบไม่ทาน เห็ดก็แทบจะไม่ทาน คือในช่วงนั้นค่ะ ทานข้าวซ้อมมือ
อาการก็คือเรารู้สึกสบายตัวขึ้น ก็เคยแต่แบบว่าถ้าช่วงตอนถอนพิษค่อย ๆ คือเราบางครั้งเราถอนเราอาจจะส่วนใหญ่ก็จะใช้น้ำปัสสาวะด้วย ก็เป็นหลักเหมือนกันค่ะ ดื่มค่ะเป็นบางช่วงก็จะดื่ม แล้วแต่วันค่ะ แล้วแต่ช่วง บางช่วงก็จะดื่มทั้งวัน บางช่วงก็จะแล้วแต่สะดวก คือแล้วแต่วันว่าวันไหนเราตั้งใจจะล้างพิษนะ แล้วก็อันนี้เราก็จะดื่มทั้งวัน แต่ว่าโดยปกติที่ขาดไม่ได้ก็คือเช้าเย็น อาจจะวันไหนพิเศษอาจจะดื่มทั้งวัน แต่ว่าเคยทำนาโน พอดีว่าทำนาโนแล้วมันรู้สึกมันแรงไป คือเรา เราก็นั่งทำ ทำ ๆ เสร็จปุ๊บ แล้วก็เราแบบชอบของแรง ผสมกับน้ำปัสสาวะอีก แล้วก็ดื่มทีเดียวไม่หมดค่ะ คือแบ่งมาตามที่อาจารย์บอกว่าใส่เท่านี้ แล้วก็กับน้ำปัสสาวะของเรา ที่เราดื่มเป็นปกติอยู่แล้ว แล้วทำดื่มปุ๊บมันแบบ มึน ๆ ร้อนวูบวาบ ๆ มันไม่ไหวแล้ว ก็เลยไม่ได้ทำ เลยไม่กล้าเพราะว่าถ้าเกิดว่าเรา จูนเคยได้ยินว่าถ้าเราถอนหรือระบายพิษไม่ทันนี่ มันจะทรมาน เราค่อย ๆ ทำไป อย่างที่ฉายแสงเราก็เอามาพอกค่ะ ก็เอามาพอกบริเวณที่ฉายแสงถ่าน ดินสอพอง ที่พอกค่ะ แล้วก็สมุนไพรฤทธิ์เย็น แล้วก็พอกด้านหลัง ด้านหลังก็จะเป็นกัวซาด้วยค่ะ ก็ประมาณ ถ้าตอนนั้นก็อาทิตย์ละครั้ง หรือ 2 อาทิตย์ครั้ง ก็แล้วแต่มันไม่ม่วงค่ะ ตอนนั้นมันไม่มีแล้วเพราะเราฉายแสง คือว่าจริง ๆ แล้วคนที่ฉายแสงคือเจอหลาย ๆ คน เขาก็จะมีเอฟเฟคกันเยอะมาก บางคนแบบเป็นปี แล้วเขายังรู้สึกทรมานมากเลย เพราะว่าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าโชคดีที่เราแบบยังได้ถอนพิษตลอดเราก็ไม่ค่อยได้อะไรมาก เราก็สดชื่นมีพลังกลับมาด้วยความรวดเร็ว
ดีท็อกซ์ ก็แล้วแต่ ก็บางวันก็น้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสด น้ำด่าง น้ำปัสสาวะ บางวันก็ผสมกันค่ะ ทำทุกวันค่ะมีช่วงแรกอาจจะทำเช้าเย็น ช่วงหลังเรารู้สึกเริ่มสบายขึ้น ก็เลยทำแค่ตอนเช้าทุกวัน
ออกกำลังกายก็ใช้อาศัยเดินเร็ว แบบที่คุณหมอแนะนำนะ เดินเร็ว กดจุด โยคะ ลมปราณ แล้วคือทำอยู่บ่อย ๆ ก็ทำ ก็ถือว่าร่างกายก็แข็งแรงขึ้นค่ะ สามารถอยู่ได้โดยไม่ทรมานอะไร ปกติ
ได้แง่คิดอะไรจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาบ้าง ก็ทำให้เราไม่ประมาทในชีวิตค่ะ ตอนนี้ก็เป็นว่าเราก็คือพยายามไม่อยู่ใกล้กับสารเคมี ก็คือเราจะไม่ไปหาในสิ่งที่เป็นสารเคมีด้วยค่ะ เราก็ระวังทุกอย่าง แต่จริง ๆ ถามว่าในชีวิตประจำวันเรามีไหม ก็มี แต่ว่าเราไม่ต้องเข้าไปแบบเหมือนเวลาเราทำแล็ปอย่างนี้ เราต้องวิ่งไปหาสารนี้อะไรอย่างนี้ คือตอนนี้เราไม่ เราก็ไม่เลือกทางนั้นแล้วค่ะ ตอนรู้ครั้งแรกนี่มีความกังวลมากมากนะคะ วางความกังวล คือตอนนั้นเราก็พยายามศึกษาธรรมะ ตอนแรกมีดร็อปไปแล้ว ทีนี้คือก็ได้แนวคิดที่ว่าคือเราคาดหวังที่จะหายได้ แต่เราคือคาดหวังที่จะหาย แต่เราอย่าไปยึดมั่นในสิ่งที่คาดหวังว่ามันจะต้องหายนะ คือจะหายก็ได้ไม่หายก็ได้ เหมือนกับว่าเรามุ่งทำตามเหตุ คืออันนี้เหตุทำให้เกิดผลนี้ ถ้าเราไม่ทำตามเหตุ ถ้าเราทำตามเหตุแล้วมันก็จะได้ผลอย่างนั้น แต่ว่าเราก็อย่าไปคาดหวังผลว่าจะได้หรือไม่ได้ เพราะว่ามันก็แล้วแต่วิบากของแต่ละคนคือวิบากก็เป็นเรื่องสำคัญค่ะ ก็คือเข้าใจในเรื่องของวิบากกรรม
ช่วงนั้นที่อ่านศึกษาคำพระพุทธเจ้า ก็คิดว่าเรื่องกรรมนี่ ถ้าเราเข้าใจระบบของกรรมนี่ มันก็ทำให้ใจเราสบายขึ้นมากค่ะ แล้วมันก็คิดว่าเรื่องกรรมนี่ถ้าสมมติว่าใครเข้าใจแล้ว เราจะไม่กังวลเลย เราจะไม่ไปโทษใครเลยว่า เอ๊ะ ทำไมเราต้องเป็น เอ๊ะ ทำไมเราเป็นอย่างนี้ ทำไมอะไรอย่างนี้เพราะใครอะไรอย่างนี้ เพราะจริง ๆ แล้วมันเป็นวิบากของเราที่เราเคยทำ เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าวิบากของกรรมนี่ ก็อาจจะได้ผลในปัจจุบัน หรือเวลาถัดมา