1. บันทึกการสัมภาษณ์กรณีศึกษากลุ่มตัวอย่างจาก ผู้ใช้การแพทย์วิถีพุทธสำหรับผู้ที่มาเข้าอบรมค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีพุทธ 5-7 วัน
ณ ศูนย์เรียนรู้สุขภาพพึ่งตนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง สวนป่านาบุญ 1 อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร และเครือข่ายแพทย์วิถีพุทธทั่วโลก
ระหว่างปี พ.ศ. 2552 – 2558
(ประเภทข้อมูลที่ 7 การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ ผ่านสื่อออนไลน์ – ยูทูบประเภทข้อมูลที่ 9 แบบบันทึกสัมภาษณ์แลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ และ ประเภทข้อมูลที่ 12 แบบสอบถามประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ เทคนิค 9 ข้อ)
กรณีศึกษาที่ | 1.51 |
ชื่อ | กิ่งกมล |
เพศ | หญิง |
โรค | โรคเนื้องอกสมอง |
อาการ | ปากเบี้ยวจากเนื้องอกสมอง |
วันสัมภาษณ์ | 15 มิถุนายน 2556 |
คุณกิ่งกมล: ก็เจริญธรรมแล้วก็สำนึกดีนะคะ ดิฉันก็มาค่ายนี้เป็นครั้งแรกก็พอดีตัวเองก็มีปัญหาสุขภาพนะคะ อย่างทางพี่ ๆ ทุกคน เห็นดิฉันก็จะรู้ว่าทำไมพี่คนนี้ปากเบี้ยวมันก็มีมูลเหตุนะคะว่ามันมาจากเนื้องอกสมองนะคะ เมื่อสิงหาคมปีที่แล้วนะคะ เกือบ 3 ปี ที่แล้วดิฉันก็ตรวจเจอว่าเป็นเนื้องอกก็โดยบังเอิญนะคะ ว่าเอ๊ะทำไมเราหน้าชานะคะ หน้าซีกซ้ายชาแต่มันก็ไม่ใช่ชาทั้งหน้า เช่น กดบางที่ก็ชาแล้วก็บางที่ก็ไม่เป็นนะคะ แล้วจริง ๆ อาการมันก็เตือนมาตั้งแต่เดือนเมษายน พอดีตอนนั้นต้องดูแลคุณพ่อเฝ้าอยู่ที่โรงพยาบาลนะคะแล้วก็เราก็ปล่อยมันไปเพราะว่าก็ขอแนะนำตัวก่อนด้วยว่าตัวเองทำงานที่โรงพยาบาลเป็นนักโภชนาการนะคะทีนี้เราก็คิดว่าไม่เป็นไร เราเห็นคนไข้เป็นอย่างนี้เยอะแล้วก็ไวรัสเกาะเส้น Nerve ที่ 7 อย่างนี้ค่ะ มันก็จะเป็น Bell’s palsy ก็คือเหมือนกับว่ามันจะเป็นเบี้ยว ๆ ที่ปากอย่างนี้นะคะ แต่ตอนนั้นอาการปากเบี้ยวยังไม่เกิดหรอกนะคะ มันเตือนคือชาค่ะชา แล้วก็ถัดมาก็วันหนึ่งนี่ค่ะอยู่ดี ๆ ทานข้าวขึ้นมาเอ๊ะ ทำไมลิ้นซีกซ้ายนี่ไม่รู้ความหวานแต่ซีกขวารู้นะคะนี่คืออาการที่บอกมาดิฉันก็ยังเฉย ๆ อีกนะคะก็ทำงานไปอะไรอย่างนี้ เป็นเมษายนใช่ไหมคะ พฤษภาคม มิถุนายน กรกฎาคม สิงหาคมค่ะ แล้ววันนั้นอยู่ดี ๆ นะคะริมฝีปากบนมันก็เป็นเริมขึ้นมานะคะปวดร้อนก็ไปหาคุณหมอ แล้วก็เล่าอาการให้คุณหมอฟังว่าคุณหมอคะ ก็มีหน้าชานะ แล้วก็มีลิ้นนี่ อาจารย์ก็ไม่ว่าอะไรส่งไป MRI เลยตรวจคลื่นแม่เหล็กสมองนะคะ
ผลก็ปรากฏออกมาว่าตรวจตอนเช้า พอ 6 โมงเย็นนี่หมอรีบโทรแจ้งด่วนเลยว่า เป็นเนื้องอกในสมองเกาะอยู่ที่เส้นประสาทที่ 8 นะคะ เนื้อก้อนนั้นก็ประมาณ 2.7 เซนติเมตร ที่คุณหมอบอกมานะคะ ซึ่งตอนนั้นส่วนใหญ่นี่ ถ้าเมื่อไรในทางแพทย์แผนปัจจุบันนี่ค่ะ ถ้าเป็นเนื้องอกนี่ก็คือต้องรีบ ๆ ตัดมันออกไป รีบ ๆ ผ่ามันออกไปค่ะ แล้วด้วยความที่ว่าตอนนั้นก็ตัดสินใจว่า เอ๊ะ ถ้าอย่างนั้นเราก็คงต้องเคลียร์ตัวเองแล้วตัดสินใจผ่าตอนนั้นน่ะภายในอาทิตย์หนึ่ง ผ่าหลังจากทราบผลนะคะค่ะผ่าเลยไม่คิดอะไร แล้วก็ด้วยความที่ทำงานทางด้านนี้นะคะดิฉันก็จะคลุกคลีกับคนไข้ค่ะ ก็จะเจอทั้งคนไข้เบาหวาน ความดัน โรคไต หัวใจ แล้วก็โรคมะเร็ง แล้วเผอิญตัวเองนี่จะต้องดูแลคนไข้มะเร็งด้วยนะคะ เพราะว่าเขาพยายามให้เข้าไปดูแลกลุ่มนี้ในเรื่องของอาหารการกินนะคะ ตอนนั้นก็ส่วนหนึ่งที่เราเจอคนไข้มะเร็งก็คือว่าทุกคนที่รู้ก็จะช็อค แล้วก็คือกลัวนะคะ ก็นึกถึงคุณหมอเขียวที่บอกว่ากลัวโรคมันก็ใช่เลยนะคะ เพราะว่าความที่กลัวนี่ทำให้ใจมันถดถอยแล้วเราก็เจอคนไข้ก็ต้องเจอทั้งมีทั้งผ่าตัด การให้เคมี การฉายรังสี เราก็เจอความทุกข์ทรมานที่เกิดจากอาการข้างเคียงนะคะซึ่งถามว่าจากคนไข้ที่เราดูมาแต่ละคนนี่ เราตามเขามา 1 ปี 2 ปี เจอกับเราไปแล้วเขาก็จากเราไปพอพบเขาอีกหน่อยเขาก็จากเราไปใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นสิ่งนี้เป็นมรณานุสติของตัวเองนะคะ เพราะฉะนั้นเราเข้าใจขบวนการนะคะ ว่าเราต้องเตรียมตัวเราเองนะไม่ประมาทนะคะอันนี้ค่ะ
จิตอาสา: แล้วพอประเมินได้ไหมครับ ว่าพฤติกรรมอะไรที่ทำให้ก่อให้เกิดโรคกับตัวเรา
คุณกิ่งกมล: ค่ะก็ตอนแรกเราก็ยังไม่เข้าใจนะคะว่า เอ๊ะ ทำไมเราเป็นเนื้องอกใช่ไหมคะ พอไปผ่าตัดออกมานะคะวันที่ผ่าตัดนี่ก็เจอว่า หมอก็บอกเรานะว่าคุณน่ะคุณใส่ท่อหายใจนะ คุณจะกลืนอาหารไม่ได้ แล้ววันนั้นก็ใช่ค่ะ กลืนไม่ได้แล้วก็ปากก็จะเบี้ยวตกลงมาเหมือนกับคนที่เป็นอัมพฤกษ์ที่หน้าใช่ไหมคะถัดมาอีก 3 เดือนที่มานี่ ความจริงแผลผ่าตัดนี่มันหายภายในอาทิตย์หนึ่งแล้วล่ะค่ะ แต่อาการพวกนี้กว่าจะเยียวยาขึ้นมานะคะมันก็มันก็ไม่หายค่ะ แล้วยิ่งกว่านั้นนะคะเนื้องอกก้อนนั้นมันกดเข้าไปตั้ง 7 เส้นนะคะถ้าท่านศึกษาวงการแพทย์ท่านจะรู้ว่าหลังกกหูเรานี่มี 12 คู่
นะคะแล้วทีนี้ตะกี้ทางพี่ที่ถามว่า เอ๊ะ เรามาย้อนนึกว่าเหตุอะไรทำให้เราเป็นอย่างนี้นะคะ ก็มานั่งนึกวัยเด็กนี่ด้วยความที่เราซนเราไม่รู้เรื่องนะคะ ตอนนั้นประมาณสัก 7 ขวบมั้งคะ ดิฉันนี่โยนแมวขึ้นไปค่ะโยนมันขึ้นสูงกว่าหัวเรา หัวเด็กค่ะโยนขึ้นไป แล้วพอมันตกลงมานี่นะคะมันกางขาได้ 4 ขาไง เราจำได้ เอ๊ะ ทำไมโยนครั้งแรกแมวไม่เป็นอะไรเอ้าโยนครั้งที่ 2 ใหม่ สูงกว่าเดิมหน่อยหนึ่งค่ะคราวนี้ก็ตกลงมานี่เราก็สังเกตว่า เอ๊ะ เจ้าแมวเหมียวนี่เหมือนกับว่าตัวมันจะเซ ๆ เอียง ๆ อะไรอย่างนี้นะคะทีนี้พอครั้งที่ 3 เท่านั้นน่ะ เอาสูงปุ๊บ เจ้าแมวเหมียวมันตายเลยค่ะแล้วตอนตายดิฉันก็เจอเอ๊ะแมวเหมียว มันหน้าเบี้ยวนะแล้วมันก็อึแตกด้วยนะคเพราะฉะนั้นเป็นภาพที่ติดตาเราไง แล้วเราก็ตกใจว่าเราไม่ได้เจตนาที่อยากจะให้มันตายเลย เราต้องการแค่โยนมันด้วยความคะนองว่า เราไม่รู้ว่าโยนแมวขึ้นไปทำไมมันตกลงมาเกาะได้ ทำไมตุ๊กแกมันคงจะเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ถ้าตุ๊กแกเรารู้มันเกาะติดผนัง แต่เจ้าแมวเหมียวมันเกาะได้แล้วมันก็ไม่เป็นอะไรอย่างนี้ค่ะ
อันนั้นก็ผ่านไป แล้วก็มานั่งย้อนนึกว่า เออ พอเราผ่าตัดมานี่เราก็มีอาการอย่างนี้ คือหมอบอกเราจะปากเบี้ยวใช่ไหมคะอันนี้ก็ส่วนหนึ่งแล้วแล้วก็พอถัดมา เอ๊ะทำไม พอผ่าน ๆ ไปสัก 6 เดือนได้มั้งคะอาการมันก็ยังไม่หายอย่างนี้ล่ะนะคะ เราเริ่มปวดข้อค่ะ ตอนแรกก็คือเรื่องของไล่จากสะบักก่อนสะบักเรามันเคลื่อนน่ะไหล่มันหลุดนะคะ แล้วเราก็ไม่รู้พอมาถึงเดือนพฤษภาคมก็ลื่นล้มค่ะ ก้นกระแทกอีกกระดูกก็ถูกซ้นเข้าไปอีก ตอนนั้นก็ผ่านมานะคะถัดมาอีกปีกว่า ๆ ปีครึ่งแล้วนะคะ เริ่มปวดข้อนะคะ ปวดตั้งแต่ข้อแขนข้อมือ แล้วไล่มาเข่า แล้วไล่มาเท้าเราก็นึกทันทีเลยว่า อ้อ ไอ้เจ้าแมวเหมียวมันตกลงมาต้องโดนทุก ๆ อันของกระดูกแน่ ๆ อันนี้ก็เริ่มนึกถึงวิบากกรรมของตัวเอง เราก็นึกว่า อืม บาปกรรมไม่ต้องรอชาติไหนชาตินี้เลยค่ะ เราเจอนะคะ แล้วเราก็มานั่งคิด เพราะฉะนั้นตอนเล็ก ๆ นี่จริง ๆ เป็นคนที่ว่าถ้าใครชวนทำบุญน่ะ บาทเดียวเรามีเท่าไรเราก็ร่วมทำไม่ว่าจะสร้างศาลาสร้างอะไร เป็นคนที่เจอคนแก่เราก็ให้ตังค์เราจะมีจิตแบบนั้นอยู่ค่ะ
ดังนั้นพอทำอันนี้มานี่มันก็เหมือนกับมีข้างหนึ่งเราก็บำเพ็ญทางด้านที่เป็นกุศล ขณะเดียวกันเราก็ทำบาปมาอย่างนี้นะคะอันนี้แหละค่ะเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่หลาย ๆ เรื่องก็คิดว่ากฎแห่งกรรม เราก็ดูหนังเรื่องพิภพมัจจุราชเราก็ดูแล้วดูทีไรแล้วก็กลัวไป พอเสร็จเผลอไป อ้าว ไปอีกแล้ว แล้วเราไปทำมันตายโดยที่เราไม่เจตนานะมีตั้งหลาย ๆ อย่าง มานั่งคิดแล้ว โอ้โห ถ้าเห็นอย่างนี้เราไม่ทำก็จะดีกว่า แต่ขณะเดียวกันก็คิดว่าเราคงโชคดีนะที่ว่าเขามาตามเราในชาตินี้ไม่ใช่ให้เราไปใช้กันอีกชาติหน้า เพราะฉะนั้นจะเล่าอีกอันหนึ่งก็คือว่าโชคดีของพี่ก็คือว่าพี่ได้น้องสะใภ้ที่ดีนะคะตอนที่เราไปพักฟื้นนะคะ พี่ไม่รู้เลย เพราะอยู่คนละบ้านเขาใส่บาตรทุกวันแล้วเราขณะที่เราไปฝึกสมถะนี่ตอนช่วงจบมหาวิทยาลัยนี่ไปทุกปีนะไปตั้ง 17 ปีได้นะคะ ไม่ได้ขาดเลยนะคะไปฟังเทศน์ไปนั่งสมถะที่อาจารย์หมอเขียวบอกว่าก็แค่นั่งสมาธิอย่างนี้นะคะค่ะ แล้วก็พอได้พี่สะใภ้นี่ เอ๊ย น้องสะใภ้นี่เขาใส่บาตรทุกวัน เขาก็จะทำไว้ให้ใส่ 2 องค์ทุกวัน เราก็อุทิศกุศลไปให้ เพราะเราสำนึกนี่ว่าเออ เราก็คงทำกับเขาแหละก็อุทิศบุญไปเลยว่าขอให้เอากุศลนี้ไปแผ่ให้กับเจ้าเหมียว เจ้าแมวเหมียวเลยเราไม่ได้บอกเจ้ากรรมนายเวรแล้วนะเหมียวเลยค่ะเรามั่นใจอย่างนั้นเลยค่ะ เพราะว่าจะได้หลุดกันเร็ว ๆ ค่ะ
จิตอาสา: ครับ แล้วพอมาดูแลยา 9 เม็ดนี่ ทำเม็ดไหนได้บ้าง
คุณกิ่งกมล: ค่ะ ขอบพระคุณค่ะยา 9 เม็ดนี่ตัวเองก็อาจจะเป็นด้วยบุญกุศลหรือเปล่าเราก็ไม่ทราบ เพราะว่าด้วยความที่ตัวเองมีอาจารย์ที่เราสนใจใช่ไหมคะเราก็ไปอธิษฐานบอกว่านี่ขอให้เจอ เจอผู้ที่จะชี้แนวทางเรามาให้เรา ได้หาทางรักษาตัวเราเองค่ะเพราะรู้อยู่แล้วว่าเราต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน เพราะว่าตอนที่อยู่ไอซียูนะคะ ไม่มีใครอยู่กับดิฉันเลย แล้วก่อนจะผ่าตัดเรื่องสมองดิฉันก็เตรียมตัวไว้แล้วค่ะเงินทุกบาททุกสตางค์จะให้ใคร จะให้น้องคนไหน จะให้คุณแม่ ก็ไปบอกน้องสาวไว้แล้วก็เรียกว่าทำพินัยกรรมเอาไว้แล้ว ถึงแม้หมอบอกว่า 42 เปอร์เซ็นต์ คุณไม่ได้เป็นอะไรหรอกนะฟื้นแน่เราก็ไม่ประมาทตรงนั้น เรายกออกไปแล้วรู้สึกเบาค่ะ วันนั้นที่ตัดสินใจเข้าห้องผ่าตัดนี่ เรารู้แล้วว่าของพวกนี้เอาไปไม่ได้ เราเกิดมาเรามามือเปล่า เพราะฉะนั้นสิ่งที่ดิฉันสะสมเอาไว้ตอนนั้น ๆ ณ วันนั้นนะดิฉันได้คิดเลยว่า ไม่เอาแล้ว เอาไปเลยถึงแม้ถ้าทำบุญนี่ เราก็ทำใช่ไหมคะ แต่ตรงนี้วาระที่กำลังจะไปถึง จุดสุดท้ายค่ะตะกี้พี่เขาถามด้วยว่า
จิตอาสา: ยา 9 เม็ด
คุณกิ่งกมล: ยา 9 เม็ดหมอเขียวเราจะได้ไหมดิฉันไม่รู้จักหมอเขียวเลยนะคะ เพราะว่าเราอยู่ในแผนปัจจุบันเราย่อมมีเรื่องของการถือดีหลงตัว แล้วก็อีกอันหนึ่งที่คุณหมอท่านบอก ให้วางลงไปไง เพราะว่าคนที่รู้ทางนี้มันจะไม่ค่อยวิ่งมาทางนี้ไงคะแผนปัจจุบันทั้งหมดเลยค่ะถูกไหมคะ เราก็ได้มา คุณหมอที่โรงพยาบาลเองนะท่านให้ฝึกเจริญสติเผอิญของหลวงปู่ ติช นัท ฮันห์ซึ่งจริง ๆ หลวงปู่ ติช นัท ฮันห์ ดิฉันก็ไม่รู้จักแต่เผอิญวันนั้นได้ไปแล้วก็ เออ ดีนะ เพราะว่าเขาให้ทั้งนั่ง ยืน เดิน นอน กินอย่างมีสติแล้วเราตามไปขณะที่เราฝึกสมถะมาตั้งเกือบ 10 กว่าปีเรากลับจะรู้สึกว่าไม่ได้ตามตรงส่วนนั้นจริง ๆ ทำงานอยู่เราก็ใช้ได้ไงคะแล้วก็ได้มีโอกาสมาพบอาจารย์หมอเขียว ก็คือ 1. อานาปาณสติ นี่ ของหลวงปู่ ติช นัท ฮันห์ นี่ท่านทานมังสวิรัติก็จูงมูลเหตุเรามาไงคะเราก็ต้องไปประพฤติอย่างนั้นแหละค่ะแล้วได้ไปเข้าปฏิบัติธรรมของท่านอยู่ 7 วันพอดีเลย วันนั้นเดือนเมษายนหลวงปู่ท่านมามีนาคม เมษายนนี่ เซ็นเอ็มโอยูกัน คือ มจร. ท่านมีความร่วมมือระหว่างมหายานและเถรวาทเพื่อที่จะฝึกเราในแนวของอานาปาณสติไงคะ
ดิฉันนี่อบรม 7 วัน ก็ต้องทานมังสวิรัติ 7 วัน แล้วถัดมานี่อีกประมาณสักปีถัดมานี่เพื่อนน่ะมาชวนว่าเธอไปสิวัดพุทธนี่มีหมอเขียวนะคะ ก็สอนเรื่องการดูแลตัวเองเป็นหมอ อันนี้เป็นจุดเริ่มต้นเลยนะคะที่เพื่อนดิฉันเป็นกัลยาณมิตรชวนไปอยู่วัดพุทธบูชา เพราะว่าเป็นคนอยู่ฝั่งธนนะคะพอได้ไปฟังเท่านั้นล่ะค่ะตั้งแต่ต้นท่านเอาจุดที่แก้ที่ดิฉันถูกใจมากที่สุดคือท่านเอาพระพุทธศาสนาเข้ามาท่านบอกเลยว่าเราจะต้องมาดูว่าต้นเหตุของการเป็นโรคของเรานี่อยู่ที่ไหนมันอยู่ที่วิบากแหละค่ะที่เราทำมา ซึ่งคนปัจจุบันไม่เชื่อคนไม่เชื่อนะคะเราถึงเจอสิ่งที่แบบว่ามันกลับตาลปัตรนะคะนะคะอันนี้ก็เลยทุกข์ใจมากบอกว่านี่แหละใช่เลย เพราะว่าท่านหาต้นเหตุให้เราเราต้องไปแก้ที่ต้นเหตุแล้วก็วันนั้นเอาไปใช้ก็คือวันนั้นกัวซาค่ะ เพื่อน ๆ เขามาทำให้ เราก็ทำที่หน้านะคะ ปรากฏว่าไอ้ที่มันตึงอยู่น่ะมันหย่อนคือดีในระดับหนึ่งนะคะ แล้วถัดมาก็พอกหน้านี่ยังไม่ได้ทำนะคะเอาไปใช้แน่ ๆ คือกัวซาเม็ดนี้เม็ดเดียวก่อนแล้วก็รับประทานอาหารทีนี้ถัดมาครั้งที่ 2 เราเริ่มอยากจะไปตามแล้วพอท่านจัดที่สมุทรสาครนี่น้องสะใภ้ดิฉันอยู่พันท้าย วัดใกล้ ๆ วัดพันท้ายนะคะดิฉันก็ชวนกันไป จัดอยู่ที่วัดป้อมวิเชียรโชติการามจำได้เลยว่าไปด้วยกันแล้วก็ชวนเพื่อนไปด้วยนะคะ แล้ววันนั้นน่ะมีการพูดถึงเรื่องน้ำปัสสาวะ แล้วเราก็เลยเอามาเริ่มลองทำเราเริ่มลองเมื่อครั้งที่ 2 ค่ะ
พอกลับไปบ้านนี่ก็เริ่มเอามาแต่ว่าไม่ได้เอามาดื่มนะคะด้วยความที่คุณหมอท่านบอกว่าถ้าเรารังเกียจสิ่งที่ข้างในตัวของเราเองนี่ใช่เลยก่อนที่จะทานนี่คะเรารู้เลยว่าเรามีความรังเกียจนะคะ แต่พอเราตัดตรงส่วนนั้นไปนะคะเราก็เราเอามาทานคือ 3 คำ เพราะท่านบอกว่าถ้าจะเริ่มนี่ก็ต้องเริ่มจากน้อย วันนั้นจำได้แค่เริ่มจากน้อย เพราะเราก็ไม่รู้จักเขาน้ำปัสสาวะเป็นยังไงคุณสมบัติขนาดไหนนะคะ ก็สิ่งหนึ่งก็คือว่าตัวเองเป็นคนปวดกระเพาะบ่อย ๆ ชอบแสบท้องตอนเช้าพอทานเข้าไป 3 อึก เท่านั้นแหละค่ะอาการที่แสบ ๆ น่ะหายไปเลยค่ะกินยาเคลือบกระเพาะกินยาที่เป็นแมกนีเซียมซัลเฟตอะไรต่าง ๆ มันก็ไม่เหมือนกันนะคะอันนี้คือสังเกตของตัวเองและอันที่ 2 ก็คือ สระผม เพราะมันใช้กับข้างนอกมันสะดวกใจ สระผมแล้ววันนั้นเพื่อนก็ชมบอกว่า วันนี้ทำไมผมเธอเงามันจัง เออนะคะ นั่นแหละนี่คือที่เอาไปใช้ 2 อย่างค่ะ แล้วก็มาครั้งนี้ค่ะ เพื่อนเขาก็บอกว่ามาสิ ค่ายพระไตรปิฎกเราก็ชอบมาก เพราะว่าโดยปกติเราชอบฟังธรรมะ เราก็อยากจะมาฟังว่าธรรมะนี่ท่านจะอธิบายอย่างไรให้เราใช่ไหมคะ ก็เลยได้มาก็ด้วยเหตุนี้ค่ะ
จิตอาสา: นะครับ ก็คงต้องขอขอบคุณคุณกิ่งกมล คุณกิ่งกมลจะฝากอะไรกับสมาชิกในการเข้าค่ายครั้งนี้
คุณกิ่งกมล: มาครั้งนี้ดิฉันก็ตอนคุณหมอเขียวท่านให้เรื่องดีท็อกซ์ใช่ไหม เราก็ไม่เชื่อ เพราะว่าดิฉันมีประสบการณ์ว่าดิฉันเคยไปเยี่ยมคนไข้คนหนึ่งนี่ เป็นมะเร็งลำไส้ แล้วเขาก็เล่าให้เราฟังว่า เขาดีท็อกซ์ด้วยกาแฟ 5 ปี เขายังเป็นมะเร็งเราก็กลัวสิ เพราะว่าเป็นคนนี่เป็นจริตอย่างหนึ่งคือชอบเกิดวิจิกิจฉา เขาเรียกว่าอะไรนะ ลังเลสงสัยอะไรนี้นะ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นคนที่อดทน ขยัน แล้วก็ใจเย็น คือ เรารู้ทั้งส่วนดีส่วนไม่ดีของเราไงคะ ทีนี้ถ้าของท่านนี่ดีท็อกซ์ ครั้งที่ 2 เราก็ยังไม่กล้าลอง แต่มาครั้งนี้ล่ะค่ะ ดีท็อกซ์ก็ลองแล้วดื่มน้ำปัสสาวะก็ทำแล้ว กัวซาก็ทำแล้ว แช่มือแช่เท้าก็ทำแล้วใช่ไหมคะ เหลืออย่างเดียวค่ะ พอกค่ะ พอกทานะคะอันนี้ที่ยังไม่ได้ทำ ก็คิดว่า เออ พรุ่งนี้อีกวันหนึ่งเราก็จะลองดู เพราะว่าเราต้องหาให้ได้ว่าเราถูกกับอันไหน เพราะ ว่าการเป็นนักวิทยาศาสตร์ต้องทดลองทำอย่าไปเชื่อใคร
จิตอาสา: โอเคครับ ต้องขอขอบคุณคุณกิ่งกมลมากนะครับ