สาระนี้เป็นส่วนหนึ่งของกรณีศีกษา
เรื่อง การดูแลสุขภาพพึ่งตนด้วยหลักการแพทย์วิถีธรรมกับการรักษาอาการเจ็บป่วยจากอาการคล้ายโควิด 19
- ชื่อ : Mrs. Nang Khan Noon
- ชื่อทางธรรม : คำเพียงเพชร
- ชื่อเล่น : ปิ่น
- อายุ : 39 ปี
- ภูมิลำเนา : เกิดที่ประเทศพม่า
- ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่ : Malaysia – Indonesia
- อาชีพ : แม่บ้าน/จิตอาสาแพทย์วิถีธรรม
- รู้จักแพทย์วิถีธรรม และเริ่มปฏิบัติตาม : ปลายเดือนสิงหาคม 2557
- เริ่มเข้าค่ายครั้งแรก : วันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557
ช่วงที่โควิดกำลังเริ่มระบาดใหม่ ๆ อาจารย์หมอเขียว ดร.ใจเพชร กล้าจน ท่านได้ออกมาพูดว่า โรคโควิดเป็นโรคร้อนเกิน ตอนนั้นฟังแล้วในใจก็นึกอยากรู้ว่าใช่จริงไหม และจิตก็เผลอคิดไปแวบหนึ่งว่า ถ้ามีคนในแพทย์วิถีธรรมติดดู ก็จะได้พิสูจน์ว่าโควิดเป็นโรคร้อนเกินจริงไหม (หมายถึงคนที่ใช้หลักสมดุลร้อนเย็นตามศาสตร์แพทย์วิถีธรรมเป็นหลักในชีวิต) ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าคิดแบบนี้ไม่ดี แล้วก็ตั้งจิตขอขมาแล้วปรับจิตใหม่ว่าไม่อยากรู้แล้ว ให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรม
Timeline
- เดินทางจากสนามบิน กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย – กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย วันที่ 2 เมษายน 2563 (วันที่ 3 เมษายน 2563 รัฐบาลมาเลเซียประกาศภาวะฉุกเฉิน)
- เริ่มมีไข้ต่ำ ๆ วันที่ 4 เมษายน 2563 (มีไข้ 3 วัน)
- ปวดหัวรุนแรง 1 วัน
- วันที่ 9 เมษา 2563 อาการเริ่มปกติ แต่ก็ยังรู้สึกร้อนง่ายกว่าปกติมากอยู่ต่ออีกเป็นเดือน ต้องใส่แต่เสื้อกล้ามหรือแขนกุดตลอด หลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ กินขนมสำเร็จรูป (พิษร้อน) 3 ครั้ง หูอักเสบ และหูดับ 3 ครั้ง (ตามหลักแพทย์วิถีธรรม คือภาวะไม่สมดุลแบบร้อนเกิน)
- หลังจากนั้นก็ดูแลตัวเองด้วยการทานอาหารสูตร แพทย์วิถีธรรม น้ำผักปั่น ออกกำลังกายด้วย มาร์ชชิ่ง พวธ. ต่อเนื่องอีก 15 วัน
- ผลจากการป่วยครั้งนี้ ผมร่วงเยอะมากจนน่าตกใจเป็นเวลานานหลายเดือน แต่ก็ขึ้นมาใหม่บางส่วน
(ช่วงที่มีอาการ สมรรถนะ คือพละกำลังความสดชื่น ความแช่มชื่นเบิกบานแจ่มใสลดลง 50 % จากปกติ)
เดินทางไปในจุดเสี่ยง
ปิ่นอยู่ในจุดที่เสี่ยงเหมือนกัน คือก่อนหน้านั้นตอนแรกอยู่ที่ประเทศอินโดนีเซียค่ะ คิดว่าจะไม่ต้องไปไหน จะล็อกดาวน์ยาว เราก็เลยประมาท คือก่อนหน้านั้นดูแลตัวเองด้วยยา 9 เม็ด เป็นอย่างดีตลอด แต่ช่วงนั้นเราคิดว่าเราไม่ไปไหนเราอยู่แต่บ้าน ความคิดของกิเลสเราบอกว่า เราจะมาฟังแต่ธรรมะทั้งวันเดี๋ยวมันจะไปรบกวนพ่อบ้าน เราน่าจะไปดูหนังอะไรเป็นเพื่อนเขา แต่พอดูไปดูมาปรากฏว่าเราไปติดหนังซะเองค่ะ ดูหนังดึกดื่นจนถึงตี 3 (3:00 น) ตี 4 (4:00 น) ทุกวัน ดูเรื่องหนึ่งจบแล้วก็ไปต่ออีกเรื่องหนึ่ง คือมันเป็นการเสพกิเลสค่ะ แล้วตัวเองก็อดหลับอดนอนเพื่อที่จะดูอะไรก็ไม่รู้ไร้สาระพวกนั้น ติดต่อกันเป็นเวลานานเกือบเดือน ปรากฏว่าภูมิต้านทานลดลง
เทคนิคข้อ 1 การดื่มน้ำสมุนไพรปรับสมดุล
(ยาเม็ดที่ 1 หรือ หนึ่งในยาเม็ดเสริม)
ทีนี้จู่ ๆ พ่อบ้านก็บอกว่าต้องเดินทางกลับมาเลเซียกะทันหัน โอ้โห…รู้เลยว่าไม่รอดแน่เรา คือต้องเดินทางภายใน 2 วัน ก็คือเดินทางเลย พอเดินทางเรารู้แล้วว่าร่างกายเราอ่อนแอโอกาสเสี่ยงสูงมาก พอกลับมาถึงที่มาเลเซียเข้าวันที่ 2 (4 เมษายน 2563) เริ่มมีอาการไม่สบาย คือมีไข้รุม ๆ ต่ำ ๆเหมือนติดโควิดแบบที่เขาว่ามาทั้งหมดเลย แล้วมาเจอในช่วงล็อคดาวน์ด้วย ช่วงแรกที่นี่เขาเข้มงวดมาก เคร่งมาก คนที่นี่เขากลัวกันมาก เขาระวังกันเต็มที่
ปรากฏว่าป่วย มีไข้ต่ำ ๆ 3 วัน ปากไม่รู้รส ไอแห้ง ๆ เจ็บคอ คันคอ ใช่หมดเลยที่เขาว่ามา คนป่วยโควิดเป็นยังไง เรามีอาการหมดเลย แต่ว่าเราไม่กล้าไปโรงพยาบาล เพราะเราคิดว่าถ้าไปโรงพยาบาลน่าจะหนักกว่าอยู่บ้าน คือเราไม่สามารถดูแลตัวเองได้เลย ต้องใช้วิธีของหมออย่างเดียว ในขณะเดียวกันเราประเมินตัวเองแล้วว่าอาการเราไม่ได้หนักขนาดนั้น
วันที่กลับมาถึงมาเลเซียใหม่ ๆ อะไรก็ไม่มีนะที่บ้าน ปกติไม่มีใครอยู่ ก็เลยไม่มีอะไรเลยนอกจากน้ำปัสสาวะ แล้วก็มีสมุนไพรอยู่นิดหน่อย มีย่านางไม่กี่ใบกับผลไม้ 4-5 ลูก และกากสมุนไพรที่เก็บไว้ในช่องฟรีซตู้เย็น ที่แม่สามีเตรียมไว้ให้ (กากสมุนไพรเอาไปผสมสมุนไพรอบ) เรานั่งรถมาแล้วเราก็ไม่เข้าบ้านนะ เราไปแวะบ้านแม่สามีที่ท่านได้เก็บใบย่านางให้ประมาณหนึ่งหยิบมือ แล้วก็เอาใส่กล่องมาให้ เราต้องไปยื่นรับที่หน้าบ้านแล้วกลับเลย วางไว้ที่รั้วหน้าบ้าน ไม่ได้สัมผัส ไม่ได้ไปเข้าใกล้ อยู่ไกล ๆ สวัสดี แล้วก็กลับเลย แล้วนำมาปั่นกิน จริง ๆ ตอนนั้นเราเตรียมใจไว้แล้ว แน่นอนค่ะใจไม่ทุกข์ แล้วก็มีอาการทางกาย 3 วันแรก จะมีไข้ต่ำ ๆ
เทคนิคข้อที่ 7 อาหารเป็นยา อาหารเป็นหนึ่งในโลก
วิธีที่ดูแลตัวเองก็คือ
- รับประทานอาหารมังสวิรัติสูตรแพทย์วิถีธรรม (เช่นข้าวต้มสุขภาพ ผักสดผักนึ่งผักลวก ผัดผักรวม แกงจืด ฯ ปรุงด้วยเกลือเล็กน้อย ตอนกินข้าวต้มสูตรหมอเขียวร้อน ๆ แล้วเหงื่อไหลออกมารู้สึกสบายมากเลย)
- ดื่มน้ำเยอะ ๆ
- ดื่มน้ำปัสสาวะ
- ล้างจมูกด้วยน้ำปัสสาวะ (ทุกครั้งหลังจากที่ล้างจมูกแล้ว จะมีเสมหะขับออกมาทางคอทุกครั้ง คิดว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ช่วยไม่ให้เชื้อลงปอด)
- สวนล้างลำไส้ใหญ่ด้วยน้ำปัสสาวะผสมน้ำเปล่า
- ออกกำลังกายด้วยการมาร์ชชิ่ง พวธ.
- ตากแดดช่วงบ่ายสามโมงครึ่ง (ครั้งละ 15-20 นาที ให้เหงื่ออก แล้วพัก 10 ทำซ้ำ 2 ครั้งติดกัน)
- อบสมุนไพรผสมน้ำปัสสาวะ 2 ครั้ง
- น้ำผักผลไม้ฤทธิ์เย็นปั่น (บางครั้งผสมผักที่มีรสขมเช่นมะระ)
- ที่สำคัญจิตใจเข้มแข็ง ไร้ทุกข์ไร้กังวล ไม่หวั่นไหวไม่กลัวโรคไม่กลัวตาย ฟังธรรมะอาจารย์หมอเขียว
เทคนิคข้อ 3 การสวนล้างลำไส้ใหญ่
(ยาเม็ดที่ 3 หรืออีกหนึ่งในยาเม็ดเสริม)
สวนล้างลำไส้ใหญ่ด้วยน้ำปัสสาวะผสมน้ำเปล่า วันละ 2 ครั้ง บางทีก็ 3 ครั้ง ขนาดนั้นนะขนาดนั้นยังรู้สึกเฉย ๆ ไม่รู้สึกว่ามันเย็นหรือว่าอะไร รู้สึกแค่พอสบาย กลางคืนเวลานอนจะไอแห้ง ๆ ถี่ ๆ ทำให้นอนไม่ได้ ต้องทาน้ำมันเขียวที่คอช่วงลูกกระเดือกถึงจะหลับได้
แต่ถ้าวันไหนไม่ได้สวนล้างลำไส้ใหญ่ คือไม่ได้เอาพิษออก ตอนนั้นจะรู้สึกว่าหนักขึ้นมา แล้วตรงรอบ ๆ คอ จะคันแดงไปหมด ปกติเวลากัวซาตรงคอจะไม่เคยแดง แล้วจะมีน้ำมันเขียวติดอยู่ครึ่งขวดอยู่ที่บ้าน คือปกติอะไรเราก็ไม่มีนะ เราไม่ได้เก็บอะไรไว้เลย ก็เลยได้ทำแค่นั้น
เทคนิคข้อ 2 การกัวซาขูดพิษ ขูดลม
(ยาเม็ดที่ 2 หรืออีกหนึ่งในยาเม็ดเสริม)
ก็คือกัวซาด้วยน้ำมันเขียวผสมน้ำปัสสาวะตรงนี้ (บริเวณคอ) แดงไปหมดเลย และมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงมาก ประมาณคืนที่สามเข้าวันที่สี่ ปวดมาก นอนไม่ได้ ถึงขั้นคิดว่าตายหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ อาจจะตายได้คือวางใจถึงขั้นนั้นเลย คือมันนอนไม่ได้ มันทรมานมาก มันปวด ๆ ปวดขึ้นมาเลย แล้วก็ใช้การกัวซาที่หัวไหล่ไปให้ทั่วบริเวณศีรษะ แล้วก็นวด ๆ สลับกัวซา จุดที่ปวดมันก็ขยับขึ้น ๆ ขยับ ๆ มาจนสุดท้ายมันปวดมาถึงหนังชั้นสุดท้ายของศีรษะที่มันปวดมาก ก็เลยวางใจ นอนราบก็ไม่ได้ เลยต้องนั่งพิงกับผนังแล้วก็สูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ ไปมาอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง (รูปประกอบเป็นรูปจริงที่ถ่ายไว้ช่วงมีอาการ)
เทคนิคข้อ 8 ทำใจให้หายโรคเร็ว
นึกถึงคำอาจารย์หมอเขียว ดร.ใจเพชร กล้าจน เลยว่า “ตายก็ไปเกิดใหม่จะไปทำดีต่อ อยู่ก็ทำหน้าที่ต่อไปจะทำดีต่อ ตายก็ได้หายก็ได้”
แล้วก็วางใจว่า เออ..ตายก็ได้ไม่เป็นไร ตายก็ตาย อะไรประมาณนี้ จากนั้นก็เผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ ปรากฏว่าตื่นเช้าขึ้นมาอาการทั้งหมดหายไปเฉยเลย ตื่นขึ้นมาเหมือนเอาไปทิ้งเลยไม่รู้หายไปไหนหมด อาการทั้งหมดหายไปหมดเลย งงกับตัวเองเหมือนกัน มันหายไปแล้ว วันนั้นเข้าสู่วันที่ 5 นะ (ตรงกับ 8 เมษายน 2563) อาการมาหนักสุด ๆ คือช่วงที่ปวดหัวนี่แหละ ส่วนตอนที่มีไข้รุม ๆ ต่ำ ๆ เราก็ยังทำกับข้าว ทำอาหารให้ตัวเองให้พ่อบ้านได้ตามปกติ เพียงแต่ ลิ้นไม่รู้รส สมรรถนะ พละกำลัง ความสดชื่น ความแช่มชื่นแจ่มใส ความรู้สึกต่อสิ่งต่าง ๆ ลดลงไป 50% จากปกติ
เทคนิคข้อ 5 การ พอก ทา หยอด ประคบ อบ อาบ สมุนไพรที่ถูกกัน
(ยาเม็ดที่ 4-5 หรืออีกหนึ่งในยาเม็ดเสริม)
แล้วนึกขึ้นได้ว่าที่บ้านมีกระโจมอบสมุนไพร+สมุนไพรที่เคยส่งมาจากไทยไว้ช่วงตรุษจีน ก็เอามาอบ ผสมกับกากสมุนไพรที่เราเก็บไว้ในช่องฟรีซ (บ้านแม่สามี) มันมีเหลืออยู่ ผสมเปลือกผลไม้ แล้วก็เอาน้ำปัสสาวะมาใส่ เอากระโจมที่มีอยู่ที่บ้านก็เอามาแขวนที่ไหนก็ได้ ก็เข้าไปอบ 2 ครั้ง รู้สึกสบายมาก (รูปในกระโจมถ่ายช่วงตรุษจีนก่อนป่วย)
แล้วก็ไปตากแดด ก็คือแสงอาทิตย์ตอนบ่ายที่เขาส่องเข้ามาทางกระจกที่หน้าต่างก็ไปนั่งเอาหลังพิงตรงนั้นแหละ พอไปนั่งตรงนั้น แสงแดดที่เข้ามามันทำให้เหงื่อเราไหลเหมือนอบซาวน่าเลย ทำ 2 ครั้งติดต่อกัน (นั่งพิงครั้งละ 15-20 นาที)
แล้วพอไปนอนกลางคืนยังไม่ทันเช้า อาการตัวร้อน ไข้รุม ๆ หายไปนะคะ ตอนนั้นโล่งสบายแล้ว จนมาปวดหัว ปวดหัวแล้วก็อย่างที่บอก พอจนผ่านช่วงปวดหัวมา ระหว่างการดูแลนั้น ภายใน 5 ถึง 6 วันที่ว่าดูแลตัวเองก็คือใช้น้ำปัสสาวะตลอดเลย ใช้ปัสสาวะหลัก ๆ ก็คือล้างจมูกด้วยปัสสาวะ และสวนล้างลำไส้ใหญ่ด้วยปัสสาวะ (ดีท๊อกซ์) แต่ว่าด้วยความที่ปัสสาวะเรามีไม่เยอะก็ต้องเติมน้ำไปเยอะ ๆ เพื่อที่ให้เพียงพอกับการดูแลตัวเอง
เทคนิคข้อ 8 การใช้ธรรมะละบาปบำเพ็ญบุญเพิ่มพูนใจไร้กังวล
ที่สำคัญก็คือใจไร้ทุกข์ของเรานี่แหละ ใจเรายอมรับว่าเราทำมา อันนี้ที่เราป่วยครั้งนี้ไม่ต้องชาติก่อนนะ ชาตินี้เราก็เห็น ๆ อยู่แล้วว่า เราไปทำเหตุนั้นมาเอง มันจะเป็นอะไรก็ต้องยินดียอมรับ เราทำใจได้เลยว่าเราทำมาเองทุกอย่าง ไม่มีใครทำให้ เราสรรหามาใส่ตัวเอง เราก็เลยไม่ทุกข์ใจค่ะ ทำใจยอมรับแล้วก็ทำให้ดีที่สุด หายก็ดี ตายก็ไม่เป็นไร ทำใจได้ถึงขั้นนั้น อาการของปิ่นก็เลยผ่านไปด้วยดีนะคะ
ปรึกษาคุณหมอและคุณพยาบาลที่เป็นจิตอาสา
แล้วก็มีโอกาสได้ปรึกษาปรึกษาอาจารย์หมอด้วย อาจารย์พยาบาลที่ท่านเป็นพี่น้องจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมเราด้วย ก็เล่าอาการให้ท่านฟัง ท่านก็ว่าอาการทั้งหมดของเราว่าใช่ มันเป็นอาการของคนติดเชื้อโควิดนั่นแหละ เพราะว่าเราไปจุดเสี่ยงมา ท่านก็ยืนยัน เพียงแต่ว่าเราไม่ได้ไปโรงพยาบาลก็เลยไม่มีใบยืนยันว่าเราเป็น เพราะว่าเราคิดว่าถ้าเราไปโรงพยาบาลเราน่าจะดูแลตัวเองไม่ได้ขนาดนี้ไง ก็เลยตัดสินใจไม่ไป
ทุกวันนี้ร่างกายปกติดี ยังดูแลตนเองด้วยหลัก ยา 9 เม็ด ของแพทย์วิถีธรรมเป็นหลักอยู่
เทคนิคในการทำให้ปัสสาวะใสคือ ทานอาหารที่มีรสจืด งดเนื้อสัตว์ได้ยิ่งดี หากสามารถทำได้ ยิ่งไม่ปรุงเลยใส่แค่เกลือเล็กน้อยปัสสาวะที่ออกมาจะใสรสจืดมีกลิ่นหอมเหมือนชาจากพืชผักผลไม้ที่เรากินเข้าไป แต่ถ้าอาหารที่กินไม่ค่อยคลีน หลังมื้ออาหารให้ปัสสาวะทิ้งไปก่อน จากนั้นดื่มน้ำเยอะ ๆ ครั้งละ 2 แก้วขึ้นไป ปัสสาวะรอบใหม่ จะออกมาใสและมีรสที่จืดดื่มง่าย แต่ก็จะไม่ใสและหอมเหมือนชาอย่างตอนกินอาหารคลีน สรุปสีกลิ่นรสของปัสสาวะที่ออกมาขึ้นอยู่กับอาหารที่เรากินเข้าไปค่ะ
ปัสสาวะเป็นยาสมุนไพรในตัวและเป็นเพียงยาเม็ดเสริมเม็ดหนึ่งของศาสตร์แพทย์วิถีธรรมเท่านั้นจากยา 9 เม็ด ซึ่งจะมีทั้ง ยาเม็ดเสริม ยาเม็ดหลัก และ ยาทุกเม็ดจะมีประสิทธิภาพสูงสุดหากใช้ควบคู่กับยาเม็ดเลิศก็คือทำจิตใจให้ผ่องใสไร้กังวล ไม่กลัวตาย ไม่กลัวโรค ไม่เร่งผล ไม่ใจร้อน ไม่หวั่นไหว ทำดีที่สุดเท่าที่สามารถทำได้ ยิ่งหากสามารถตั้งศีลหรืองดการเบียดเบียนชีวิตสัตว์อื่น (งดกินเนื้อสัตว์) คนอื่นได้ด้วยกายวาจาใจ (ศีลข้อ 1) จะยิ่งดีที่สุด ผลที่ออกมาจะยิ่งมีประสิทธิภาพสูงสุดเท่าที่สามารถเป็นไปได้จริง ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือสมดุลร้อนเย็น ศึกษาข้อมูลเรื่องสมดุลร้อนเย็น ยา 9 เม็ด เม็ดเลิศ หลัก เสริม เพิ่มเติมได้จากยูทูปช่องหมอเขียวทีวี, เว็บไซต์ morkeaw.net, Facebook เพจ หมอเขียวแฟนคลับได้เลยค่ะ
ประสบการณ์การเจ็บป่วยครั้งนี้ของปิ่น อาจเป็นประโยชน์ หรือเป็นอีกทางเลือกให้ท่านได้ ในการดูแลตตนเอง ในสถานการณ์ที่ไม่มีทางให้เลือกมากนัก ในท่านที่สนใจสามารถลองปรับใช้ให้เมาะสมกับตัวเองได้ เป็นกำลังใจให้ทุกท่านค่ะ