สาระนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเชิงคุณภาพ
เรื่อง การดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ด้วยหลักการแพทย์วิถีธรรม
- ชื่อ : จุฬิญญา ชายสวัสดิ์ (จ๋อม)
- ชื่อทางธรรม : น้อมผ่องพุทธ กล้าจน
- อายุ : 49 ปี
- อาชีพ : จิตอาสาแพทย์วิถีธรรม/ Massage Therapist
- ภูมิลำเนา : เกิดที่จังหวัดร้อยเอ็ด ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่เมือง Zaandijk ประเทศ The Netherlands
เมื่อกลางเดือนตุลาคม ปี พ.ศ 2563 พ่อบ้านของดิฉันได้รับเชื้อโควิด19 มาจากคนรู้จักที่เป็นกลุ่มเสี่ยงแต่ไม่กักตัว เขามีภรรยาที่มีผลตรวจเป็นบวกเขาจึงไปตรวจ ระหว่างรอผลตรวจ เขากลับไปตามนัดหมายและไม่ได้แจ้งให้สามีดิฉันทราบ ต่อมาเขาและภรรยาเริ่มป่วยจึงโทรไปบอกเพื่อนอีกคนที่ไปร่วมกิจกรรมด้วยกันวันนั้นและเราจึงได้ทราบข่าว ตอนนั้นสามียังไม่มีอาการ ผ่านไปไม่ถึงเจ็ดวัน เช้าวันหนึ่งสามีก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการเป็นไข้ เจ็บคอและปวดเมื่อยเนื้อตัว
เมื่อเห็นสามีหยิบยาพาราเซตามอลมากินดิฉันจึงทราบว่ามีไข้ ปวดศรีษะ เมื่อย เจ็บคอ และพ่อบ้านกำลังจะอาละวาดโวยวาย โทษเพื่อนที่เอามาติด จึงตัดรอบไม่ให้เขาเสียใจ ดิฉันเดินหนีไปเข้าห้องน้ำดื่มน้ำปัสสาวะ (น้ำปัสสาวะ เทคนิคข้อ 1 การดื่มน้ำสมุนไพรปรับสมดุล เราใช้สมุนไพรมีในตัว) ก่อน แล้วเตรียมอุปกรณ์เพื่อมาทำการกัวซา (เทคนิคข้อ 2 การ กัวซา) ศีรษะ คอ บ่า ไหล่และใบหน้าให้พ่อบ้าน โดยใช้หินกัวซาสองสามก้อนสลับกันเพื่อดูดพิษไข้ออก
เมื่อพ่อบ้านอาการดีขึ้นแล้วดิฉันก็ทำน้ำส้มคั้นให้หนึ่งแก้ว ส้มที่ฮอลแลนด์เราใช้ส้มซันควิคคั้นน้ำค่ะ หลังจากนั้นพ่อบ้านก็โทรไปขอรับการตรวจโควิด ได้นัดวันรุ่งขึ้น แล้วดิฉันก็กัวซาบริเวณหลังทั้งหมด คอ บ่า ไหล่ และศีรษะ รวมทั้งแผงอก ร่องอก ได้เน้นจุดที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจด้วยแล้วให้พักผ่อน โดยแนะนำให้ดื่มน้ำให้มาก ๆ และนอนให้มาก
วันนั้นพ่อบ้านนอนตลอดบ่ายและยอมดื่มน้ำส้มคั้นอีกแก้ว และมื้อค่ำก็งดอาหารเพราะไม่หิว ดิฉันก็แนะนำว่าควรให้ร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเองแทนการย่อยอาหาร เช้าวันที่สอง พ่อบ้านตื่นมาพร้อมอาการอ่อนเพลียหนักกว่าเดิม นั่งตรง ๆ แทบไม่ได้ ไม่มีแรง หน้าซีด ดูท่าจะตกใจกังวล ดิฉันจึงทำการกดจุดให้เพื่อฟื้นฟูกำลัง โดยกดจุด (เทคนิคข้อ 6 กายบริหารโยคะกดจุดลมปราณ) ที่แขนทุกจุดที่แขนทั้งสองข้าง ทั้งแบบทีละจุด และแบบตามแนวเส้นลมปราณตลอดแนว พบว่าเส้นลมปราณที่เกี่ยวกับหัวใจอ่อนแอที่สุด ได้กดจุดที่ขาบ้างแต่เน้นแค่จุดตับเพื่อช่วยระบายพิษ จุดและเส้นกระเพาะอาหาร (เนื่องจากมีอาการคลื่นไส้ด้วย) คนไข้อาการดีขึ้น มีเรี่ยวมีแรงชัดเจน
หลังจากนั้นดิฉันได้ให้พ่อบ้านรับประทานข้าวต้มถอนพิษ (ข้าวต้มขาว+ซุปผักสำหรับใส่ข้าวต้ม) ได้ทำแยกข้าวขาว กับซุปเพราะหากร่างกายไม่ต้องการอาหารยามป่วยการรับประทานข้าวต้มขาว ข้าวต้มเปล่า ๆ กับเกลือนั้นดีทีสุด (เทคนิคข้อ 7 อาหารปรับสมดุล) การรัปประทานอาหาร ข้าวต้มใส่เกลือ เป็นข้าวต้มถอนพิษร้อน แต่พ่อบ้านก็ได้กินข้าวต้มที่ใส่ซุปผักไปด้วยก็เป็นข้าวต้มผักถอนพิษ ผักที่ใช้เป็นผักฤทธิ์เย็นตามที่หาได้ มีผักกาดขาว บวบซูกินี ข้าวโพด ผักฤทธิ์ร้อน แครอทและฟักทองแก่ หลังจากรับประทานข้าวต้ม พ่อบ้านสดชื่นขึ้นกว่าเดิมอีกและบอกว่าอาการเจ็บคอ ระคายคอหายไปแล้วเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ หลังจากนั้นพ่อบ้านก็พักผ่อน จนถึงเวลาที่นัดจึงขับรถไปตรวจโควิด 19 ด้วยตัวเอง เมื่อกลับมาดิฉันได้คั้นน้ำส้มให้อีกหนึ่งแก้ว แล้วก็ทำการกัวซา ศีรษะ คอ บ่า ไหล่ และใบหน้าให้พ่อบ้านอีกเพื่อช่วยลดไข้และอาการปวดศีรษะ และนอนกลางวัน เย็นวันนั้นพ่อบ้านงดอาหาร (ทานมื้อเดียว)
และแช่น้ำผสมน้ำต้มสมุนไพรในอ่างอาบน้ำ สมุนไพรฤทธิ์เย็นมี ใบย่านาง ใบเตย ผักเป็ด ว่านกาบหอย เปลือกมะนาวเขียว หญ้าเอ็นยืดชนิดใบยาวทั้งต้นและราก (ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Plantago major L.) โดยมี เกลือทะเล ใบมะกรูด ตะไคร้ หอมแดงและขิง เป็นสมุนไพรฤทธิ์ร้อน ดิฉันได้ใช้ถ่านไม้ใส่ถุงผ้าแช่ลงไปในอ่างด้วยเพื่อช่วยดูดพิษ (เทคนิคข้อ 4 การแช่มือแช่เท้าด้วยน้ำสมุนไพรปรับสมดุล)
และพ่อบ้านเข้านอนแต่หัวค่ำ เช้าวันที่สามพ่อบ้านอาการดีขึ้นแทบไม่มีไข้ อาการเจ็บคอก็ดีขึ้นกว่าเดิมอีก อาการไอก็แทบจะไม่มี แข็งแรงขึ้นมาก เกือบหายก็ว่าได้แม้จะมีไข้อยู่บ้าง คือไม่ฟิตแต่ก็ไม่รู้สึกว่าป่วยเขารู้สึกอย่างนั้น ดิฉันได้ให้พ่อบ้านรับประทานข้าวต้มและดื่มน้ำส้มคั้นสด ๆ อีกและอดอาหารเย็นอีกหนึ่งวันดื่มแค่น้ำส้มคั้นตอนบ่าย ๆ แก้วเดียว และนอนกลางวันด้วย วันนี้ได้ทำการแช่มือแช่เท้าให้ พอกหน้า และกัวซาบริเวณ คอ บ่า ไหล่ ใบหน้า ศีรษะ บางจุด เฉพาะจุดที่รู้สึกว่าไม่โปร่งไม่โล่ง เวลาค่ำได้ให้พ่อบ้านอบตัวด้วยสมุนไพรชุดเดิมที่ใช้แช่ตัวแต่คราวนี้ใช้วิธีอบตัว ก่อนนอนพ่อบ้านได้ใช้วิธีแก้ไข้แบบชาวดัทช์โบราณคือการดื่มรัมคล๊อก (น้ำผึ้ง ¼ แก้ว น้ำมะนาว 1 ลูก ใส่ในแก้ว เติมเหล้ารัมให้ได้ครึ่งแก้วแล้วเติมน้ำร้อนจัด ๆ ลงไปผสมให้เข้ากันและดื่มขณะร้อน ๆ ให้หมดเร็ว ๆ จากนั้นก็เข้านอนห่มผ้าห่มหนา ๆ คลุมโปงให้เหงื่อออกโชก)
เช้าวันที่สี่ของการป่วย เช้านี้พ่อบ้านอาการดีกว่าเมื่อวาน สดชื่น ไข้ลดเกือบหมดแล้ว อาการอื่น ๆ ไม่มีแล้วนอกจากไอนาน ๆ ที่ คอยังระคายอยู่แต่แทบจะไม่รู้สึก ดิฉันจึงทำน้ำกลั้วคอให้กลั้วคอ สูตรคือเกลือครึ่งช้อนซาละลายน้ำอุ่นหนึ่งช้อนกินข้าว บีบน้ำมะนาวครึ่งลูกลงไป แล้วเติมน้ำให้เต็มแก้ว ใช้กลั้วคอ ครึ่งแก้ว (สำหรับคนที่จะล้างจมูกให้เติมน้ำเข้าไปให้เต็มแก้วอีกครั้งแล้วใช้ล้างจมูกได้) อาการไอและระคายคอก็หาย (เทคนิคข้อ 5 การพอก ทา หยอด ประคบ อบ อาบด้วยน้ำสมุนไพรที่ถูกกัน) นอกจากนี้ยังได้ทำการอบหน้าเพื่อบำรุงปอดโดยใช้หญ้าเอ็นยืดใบยาว เปลือกมะนาวเขียว มิ้นท์ (สะระแหน่) น้ำสกัดฤทธิ์เย็นย่านางใบเตย น้ำมัน tea tree oil
วันนี้ ยังรับประทานข้าวต้มและน้ำส้มคั้นหนึ่งแก้วเป็นอาหารเช้า เมื่อถึงเวลาวัดไข้ช่วงกลางวันไข้ลดลงหายเป็นปรกติแล้ว (เราวัดไข้ เช้า กลางวัน เย็น กันเลยค่ะ) ตอนบ่ายทางหน่วยงานที่ตรวจหาเชื้อโทรมาแจ้งว่า “คุณติดโควิด” พ่อบ้านขอบคุณและวางสายไปแล้วก็เต้นรำล้อเลียนตัวเองสนุกสนาน “ผมเป็นโควิดและผมหายแล้วครับ” ดิฉันไม่ได้ติดโควิดจากสามี คือไม่มีอาการป่วยไข้อะไร และไม่ไปรับการตรวจค่ะ
ดิฉันได้เพิ่มเม็ดเลือดขาวในระหว่างนั้น โดยดิฉันได้เพิ่มรอบและปริมาณการดื่มน้ำปัสสาวะ ทุกครั้งที่ปัสสาวะก็จะดื่มน้ำปัสสาวะเข้าไปหนึ่งแก้วซึ่งปรกติจะดื่มเฉพาะตอนเช้า หรือตอนที่รู้สึกไม่ค่อยสบายค่ะ ดิฉันได้เผยแพร่เหตุการณ์นี้ในเฟชบุ๊คและได้มีผู้ติดต่อมาขอคำแนะนำดิฉันก็ได้แนะนำให้ปฏิบัติตามค่ะ
ในรายที่ไอมาก ๆ ก็ให้จิบน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นแก้ระคายคอ และสอนให้กลั้วคอ ล้างจมูก สอนให้กดจุดตัวเองผ่านวีดีโอคอล แจกสูตรข้าวต้มถอนพิษ แนะวิธีอบหน้า อบตัว แช่ตัวเพื่อฟื้นฟูกำลังค่ะ เพราะที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ผู้ป่วยโควิดจะรักษาตัวเองอยู่ที่บ้าน เราจะต้องโทรหาหมอบ้านและหมอบ้านจะจัดยามาส่งในกรณีที่ต้องรักษาด้วยยา หรือมาเยี่ยมเมื่อจำเป็นในชุดป้องกันแน่นหนา ขณะนั้นชุดก็แพงและขาดแคลน โรงพยาบาลก็ล้นจนต้องเอาคนไข้ไปรักษาที่เยอรมันนีกันเลยค่ะ
แต่เราดูแลกันเองได้ไม่ลำบากใคร นี่แหละค่ะการแพทย์แบบพึ่งตน “ถ้าสุขภาพพึ่งตนเกิดขึ้นไม่ได้หมอและคนไข้จะพากันป่วยตาย” ท่านอาจารย์หมอเขียวกล่าวไว้นานแล้ว ขอให้ทุกท่านเรียนรู้ยาเก้าเม็ดและใช้ให้คล่อง ๆ เมื่อถึงยามป่วยไข้จะได้แก้ไขได้ ผ่อนหนักเป็นเบาได้ค่ะ