2. บันทึกกลุ่มตัวอย่างจาก ผู้ใช้การแพทย์วิถีพุทธที่เป็นจิตอาสาแพทย์วิถีพุทธ
ระหว่างปี พ.ศ. 2553 – 2558
(ประเภทข้อมูลที่ 10 แบบบันทึกกรณีศึกษาของจิตอาสาและนักศึกษาแพทย์วิถีพุทธ และข้อมูลที่ 12 แบบสอบถามประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ เทคนิค 9 ข้อ)
กรณีศึกษาที่ | 2.3 |
ชื่อ | นางกมลพรรณ ฮอฟแมน |
เพศ | หญิง |
อายุ | 54 ปี |
อาชีพ | จิตอาสาแพย์วิถีพุทธ |
จังหวัด | ตราด |
โรค | โรคซีสต์เต้านมซ้าย |
วันสัมภาษณ์ | 28 ธันวาคม 2557 |
มีอาการตึงแข็งปวดกล้ามเนื้อหลัง ปวด ชาสะโพกซีกซ้ายร้าวไปปลีน่อง เป็น ๆ หาย ๆ ในเวลา 10 ปี เป็นไข้หนาวสั่น แข็งทั้งตัวพลิกตัวลำบากคล้ายเป็นอัมพาต ช่วงตื่นนอนหลังจากทำงานหนักหิ้วและผสมเทปูนพื้นบ้านพักกุมภาพันธ์ 2553
ตรวจและเจาะชิ้นเนื้อตรวจ (Biopsy) ที่โรงพยาบาลอูเมโอประเทศสวีเดน ปี 2545 พบว่าเป็น Cyst ก้อนที่เต้านมซ้าย พบหลังมาเข้าค่ายเมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 มือไปถูกโดยบังเอิญ
ต้นเหตุเนื่องจากทำงานรีบเร่งช่วงทำงานอยู่ประเทศสวีเดน และกลับมาอยู่เมืองไทยปี 2552-2553 ทำงานแบกหามอย่างหนักในการสร้างบ้านอยู่อาศัย รับประทานถั่วฝักยาว ผักคะน้า ผักโขมเป็นประจำ รู้สึกไม่สบายหนักเนื้อตัว ง่วงนอนหลังจากรับประทานอาหาร อาการแย่ลงเมื่อทานวิตามินบีรวมและทานต้มยำผักรวม (ส่วนใหญ่เป็นผักฤทธิ์ร้อน) อาการไข้บรรเทาเมื่อได้รับยาลูกกลอนถอนพิษที่มีส่วนผสมของยาเย็นจากพระภิกษุรูปหนึ่งที่เป็นหมอแผนไทย
อาการตึงแข็ง ปวดกล้ามเนื้อหลัง ปวดชาสะโพกร้าวลงไปปลีน่อง ทำการดูแลรักษาอาการโดยการนวดประคบ เป็นช่วง ๆ ผลคือผ่อนคลาย ก้อนเต้านมซ้าย ได้เจาะตรวจแล้วหายไป ไม่ได้ทำอะไรต่อน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นช่วยลดอาการไม่สบาย ร้อน คอแห้ง ไอ โดยผสมกับน้ำปัสสาวะและผงถ่านเพื่อให้มีประสิทธิภาพแรงขึ้น รวมทั้งพอกโดยใช้กากสมุนไพร
ความปวดเกิดขึ้นอีกเมื่อทำงานหนักแบกหามและงานที่ต้องรีบเร่งและเมื่อรับประทานอาหารจำพวกโปรตีนเกษตรและถั่วเหลืองเก่าค้างปีมาทำน้ำเต้าหู้ อารมณ์ไม่ชอบใจ ใจร้อน เริ่มรำคราญหงุดหงิด อัตตาขึ้นที่สำคัญที่สุดถ้าขาดการทำโยคะนาน ๆ ช่องลมปราณไม่โล่งก็จะมีอาการเต้านมแข็ง ร้อนอย่างชัดเจน ไม่กังวลเพราะได้เรียนรู้ว่าก้อนเนื้อนี้เป็นเพื่อนคอยบอกเราว่า กิเลสพอกหนาแล้ว ยอมรับกับวิบากของตนกิเลสโตเขาก็โต
ประสบการณ์ผิดเป็นครูเคยใช้ปัสสาวะค้างคืนค้างวันเพียว ๆ สวนล้างลำไส้ใหญ่ในระยะหนึ่งจนกระทั่งเกิดอาการไม่สบายลำไส้เย็นเกินจนไม่มีพลังในการดันเอาพิษอื่น ๆ ในร่างกายออก เกิดอาการอ่อนเพลียช่วงล่างของร่างกาย เย็น เมื่อยล้า อ่อนเพลีย มึนชาจึงเปลี่ยนมาทำการสวนล้างลำไส้ใหญ่ด้วยน้ำตะไคร้เพื่อให้เลือดลมเส้นประสาทได้รับพลังงานร้อนไปกระตุ้นให้การทำงานดีขึ้นการไหลเวียนของเลือดลมในลำไส้และอวัยวะในช่องท้องดีขึ้น สามารถถ่ายอุจจาระได้เองเป็นปกติและงดการการสวนล้างลำไส้ใหญ่สักระยะหนึ่ง มารับประทานโยเกิร์ตเพื่อช่วยเพิ่มการย่อย ใส่ความร้อนให้สมดุลจึงมีอาการดีขึ้น และหยุดกิน เรากินโยเกิร์ตที่หาได้ไม่สามารถหาซื้อที่ไม่มีส่วนผสมของสัตว์ (คือนมโค) ได้จึงอนุโลมตนเองไม่ยึดมั่นกินเพื่อเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
อีกครั้งหนึ่งตอนที่ ๆ อยู่นอกบ้าน ไปทำงานที่แห่งหนึ่งไม่ได้ไปการสวนล้างลำไส้ใหญ่ ตอนเช้ามีงานเร่งด่วนต้องทำรู้สึกว่าร้อนเกิน จึงไปทำการสวนล้างลำไส้ใหญ่ในห้องน้ำท่ามกลางความร้อนตอนเที่ยง เพราะไม่มีที่จะไปทำเสร็จรู้สึกไม่สบาย ความเย็นกระแทกในร่างกายที่ร้อนจัดอากาศร้อนจัดไม่สบายหมดแรงจึงนอนพัก ดื่มน้ำธรรมดาอุ่นปรับสมดุลภายในร่างกาย เพราะใส่น้ำเย็นเข้าไปการดีท็อกซ์ที่บ่อยเกินความจำเป็น โดยไม่อ่านสภาวะร่างกายว่าสมดุลร้อนเย็นแค่ไหนนั้น จะทำให้เกิดความไม่สบาย ขาดแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการไปใช้ การดีท็อกซ์จึงมีความสัมพันธ์กับการใส่สิ่งที่เป็นประโยชน์ สมดุลร้อนเย็นเช่นกัน เพราะลำไส้เล็กมีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารวิตามินและแร่ธาตุที่สมดุลสู่ร่างกาย หลักการคือ ใส่สิ่งที่สมดุลและเอาสิ่งที่ไม่สมดุลออกตามแต่ละบุคคลนั้น ๆ ณ สถานการณ์นั้น ๆ ท่านคือผู้ที่รู้ที่สุดในตัวท่านเอง การสวนล้างลำไส้ใหญ่ร่วมด้วยจะช่วยให้ระบายพิษบริเวณช่องเชิงกรานได้ดีมากปลีน่องใช้นวดและกัวซาร่วมด้วย ก็จะผ่อนคลายช่วยกระตุ้นให้กล้ามเนื้อเส้นเอ็นผ่อนคลายเส้นเลือดขยายได้ดี อาหารเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้มีอาการไม่สบายที่ร่างกายเช่น เต้านมแข็งเพราะทานอาหารที่มีโปรตีนเกษตร เต้าหู้ ถั่วเหลืองเก่า ๆ และอาหารฤทธิ์ร้อนเกินความสมดุล และถ้าทานเย็นมากเกินไปก็ท้องผูก เย็นสะโพก ไม่มีแรงดันขับพิษออก เมื่อใส่ฤทธิ์ร้อนที่ถูกกับร่างกาย ก็ช่วยให้ขับอุจจาระออกได้โดยไม่ต้องทำการสวนล้างลำไส้ใหญ่ การปรับสมดุลด้วยอาหารเป็นหนึ่งจริง ๆ ต้องปรับอยู่เสมอ ๆ ถ้าไม่รู้เท่าทันกิเลสตน และชีวิตต้องการใส่อะไรลงไป ด้วยความไม่ยึดมั่นว่าจะต้องใส่สิ่งนั้นสิ่งนี้ เมื่อเรียนรู้ก็ปรับก็หายจากอาการที่เป็น และต้องทำควบคู่กับยาเม็ดอื่นไปด้วย ทำให้ศักยภาพทางกายแข็งแรงขึ้น ทำใจรับกับสภาพที่เป็นอยู่ และอนาคตจะเป็นอย่างไร ขึ้นกับวิบากดีใหม่ ร่วมกับวิบากกลุ่มที่บำเพ็ญร่วมกัน การเจ็บป่วยของข้าพเจ้าขึ้นอยู่กับการสร้างบุญและกุศลไม่มีปัญหาอะไรเป็นไปตามธรรม ทำความสมดุลร้อน-เย็นไปตลอดชีวิต ก้อนเนื้อจะอยู่จนข้าพเจ้าละสังขาร หรือจะจากไปก่อนก็ไม่มีปัญหาอะไรมันเป็นอนิจจัง
“ทุกกิจกรรมทุกสถานการณ์ กำไร คือเราลดกิเลสได้” (ใจเพชร กล้าจน 7 ธันวาคม 2557) แม้จะเจ็บบ้างแต่ความเจ็บเป็นประโยชน์ให้เราได้ขัดเกลากิเลส “เพราะเราเคยทำเช่นนั้นมามากกว่านั้น ไม่มีอะไรบังเอิญ” โดนมากใช้วิบากมาก โชคดีได้ฝึกซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ กระแทกอัตตาให้ออกมาล้างไม่ทันก็ได้อีก ใคร ๆ เขาทีเดียวก็ล้างได้ แต่ข้าพเจ้าต้องกระทุ้งมากหน่อยเคยทำกับคนอื่นแรง ๆ จึงมักจะได้แรง ๆ อย่างหยาบ ๆ เพราะเรายังล้างตัวหยาบไม่ได้หมด กรรมคือ การกระทำ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องมองใครจงมองตนเอง จิตวิญญาณของข้าพเจ้าเปลี่ยนไปทางโลกุตระจากที่เคยเอาแต่ใจตน (อัตตาจัด) ก็ได้รับการขัดเกลาให้เบาบางลงได้บ้าง เอาชีวิตมาเสียสละทำงานศูนย์บาทได้เต็มร้อย ไม่ยึดติดกับวัตถุสิ่งของที่เคยมีสละทุกสิ่งที่มีไว้ให้หลานทำประโยชน์เลิกจากการรับประทานเนื้อสัตว์ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ หลังจากที่สมาทานศีลกับพ่อครูที่บ้านราชปี 2555 ครั้งแรกที่ได้รู้จักท่านและวันที่ 19 ธันวาคม 2557 ครบ 2 ปีที่มาฝึกเป็นจิตอาสา ปฏิบัติธรรมร่วมกับหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ทำความสามัคคีและความผาสุกที่ตนช่วยคนให้พ้นทุกข์
รู้จักการแพทย์วิถีธรรม เข้ารับการอบรมร่วมกับวิทยาลัยชุมชนตราด เป็นมูลเหตุหรือแรงจูงใจที่ทำให้มาเป็นจิตอาสาแพทย์วีถีธรรมครั้งแรก ศรัทธาต่อมาเมื่อมาใช้ชีวิตร่วมกับหมู่มิตรดีในสังคมสาธารณโภคี ซึ่งเป็นสิ่งเก่าสมัยพุทธกาลแต่ใหม่ในยุคปัจจุบัน และได้ฟังธรรมะที่เป็นพุทธแท้ ๆ ที่ปฏิบัติแล้วพ้นทุกข์ได้จริง จากพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ และอาจารย์ใจเพชร กล้าจน การบำเพ็ญบุญและกุศลร่วมกับหมู่มิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทางเดียวที่นำความผาสุกมาให้กับตนและสามารถช่วยผู้อื่นให้พ้นทุกข์ได้ และการทำงานเพื่อมวลมนุษยชาติซึ่งเป็นมหากุศลที่ไม่มีที่ใดในโลกทำได้
การเผยแพร่ความรู้ช่วยเหลือผู้อื่นของข้าพเจ้าส่วนใหญ่จะเป็นรายบุคคลและกลุ่มเล็ก กลุ่มใหญ่ในการทำกิจกรรมกลุ่ม เช่น ให้องค์ความรู้เรื่องสมุนไพรฤทธิ์เย็น-ร้อนการทำน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสด และยาเก้าเม็ดตามที่มีผู้มาขอคำปรึกษาส่วนใหญ่จะใช้วิธีทำให้ดูแล้วให้ฝึกทำเองให้พึ่งตนเอง ไม่ค่อยได้ช่วยเหลือจะเน้นเรื่องให้คำแนะนำมากกว่า และเป็นจิตอาสาใหม่ ๆ ควรมั่นใจก่อนให้องค์ความรู้ผู้อื่นและจะเป็นเพราะเกรงว่าผู้เข้าอบรมจะติดจิตอาสา ไม่พึ่งพาตนเองเหมือนพึ่งหมอแผนปัจจุบัน
เราเข้าใจโรคหรืออาการที่เราได้รับหรือเป็นอยู่ความทุกข์ทรมานที่เราได้รับก็จะเกิดความเข้าใจและเมตตาต่อผู้อื่น และเราสามารถช่วยให้ผู้ที่มีปัญหานั้นได้ โดยการให้องค์ความรู้ทางด้านร่างกายและจิตวิญญาณและการปฏิบัติตัวด้วยเทคนิคการดูแลสุขภาพพึ่งตน (มาเป็นหมอดูแลตนเอง) ได้ชัดเจนขั้นแรกคือ ลดความวิตกกังวลได้ก็จะช่วยให้มีสติในการเรียนรู้และปฏิบัติได้จริงเองอาจารย์ใจเพชรได้พูดย้ำ ๆ เสมอ ๆ ว่าให้ทำความดีมาก ๆ กุศลผลบุญนั้นจะส่งผลให้หายจากอาการหรือโรคที่เราเป็นเพราะตามหลักของพระพุทธศาสนานั้น ใครจะได้รับผลอะไรอย่างไร แค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับการกระทำที่มีมาก่อน (กรรมเก่า) สังเคราะห์รวมกับการกระทำใหม่ (กรรมปัจจุบัน)
ซึ่งอาจารย์ได้สอนไว้ว่าการกระทำใหม่ ณ ปัจจุบันนั้น ๆ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะเปลี่ยนผลของอดีตเปลี่ยนปัจจุบันและเปลี่ยนอนาคตได้ ดังนั้นถ้าการกระทำ ณ ปัจจุบันไม่สมดุล ไม่ครบวงจร ผลก็ได้ตามจริงเท่านั้น แต่ถ้าปฏิบัติได้สมดุลดี ครบวงจรและผลของการกระทำทั้งชาตินี้และชาติก่อนไม่ส่งผลรุนแรงจนเกินไป โรคภัยไข้เจ็บก็จะหายไปหรือทุเลาเบาบางลงได้ค่อนข้างชัดเจนแต่บางทีผลของการกระทำทั้งชาตินี้และชาติก่อนส่งผลทีไม่ดีรุนแรงเกินไป ผลของการกระทำใหม่ ณ ปัจจุบัน แม้จะสมดุลดี ครบวงจรโรคภัยไข้เจ็บก็อาจทุเลาเบาบางได้น้อย ช้า หรืออาจจะแก้ไขไม่ทันการณ์ในชาตินี้ได้ แต่ถึงแม้ว่าผลของการกระทำเก่านั้นจะรุนแรงมากเกินไป ก็ยังให้เห็นว่า ณ ปัจจุบันการที่เราได้ลงมือปรับสมดุล ดูแลแก้ไขปัญหาสุขภาพที่ต้นเหตุ อย่างเต็มที่ด้วยวิธีการนี้ ก็จะเป็นการช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาไปได้บ้าง