1. บันทึกการสัมภาษณ์กรณีศึกษากลุ่มตัวอย่างจาก ผู้ใช้การแพทย์วิถีพุทธสำหรับผู้ที่มาเข้าอบรมค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีพุทธ 5-7 วัน
ณ ศูนย์เรียนรู้สุขภาพพึ่งตนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง สวนป่านาบุญ 1 อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร และเครือข่ายแพทย์วิถีพุทธทั่วโลก
ระหว่างปี พ.ศ. 2552 – 2558
(ประเภทข้อมูลที่ 7 การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ ผ่านสื่อออนไลน์ – ยูทูบประเภทข้อมูลที่ 9 แบบบันทึกสัมภาษณ์แลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ และ ประเภทข้อมูลที่ 12 แบบสอบถามประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ เทคนิค 9 ข้อ)
กรณีศึกษาที่ | 1.59 |
ชื่อ | คุณภาพร (นามสมมติ) |
เพศ | หญิง |
อายุ | 44 ปี |
จังหวัด | ยโสธร |
โรค | ไตวาย |
วันสัมภาษณ์ | 24 กรกฎาคม 2556 |
จิตอาสา: ก็วันนี้จะได้มาสัมภาษณ์ผู้ป่วยเป็นโรคไตวายนะคะ เพศหญิงค่ะอายุ 44 ปี เดี๋ยวเชิญแนะนำตัวเลยนะคะ
ภาพร: ดิฉันนางภาพร นามสมมติ อายุ 44 ปีค่ะ อยู่จังหวัดยโสธร ประวัติความเจ็บป่วยปี พ.ศ. 2549 ช่วงเดือนธันวาคมแล้วประมาณต้นเดือนมกราคม ปี 2550 เริ่มรู้แล้วว่าตัวเองเป็นโรคภูมิแพ้ SLE หรือว่าโรคพุ่มพวงที่คนรู้จักกันดีแต่เป็นชนิดที่เขาเรียกว่ารุนแรงค่ะเรียกว่า Butterfly ทีนี้ประมาณเดือนหนึ่งอาการก็เริ่มเพียบค่ะหมอบอกว่าเป็นแบบรุนแรงแล้วก็เริ่มให้ยาหนักขึ้น ๆ ค่ะ ต่อจากนั้นก็มีอาการบวมค่ะและมีอาการเยี่ยวไม่ออก ผลออกมาก็ปรากฏว่าไตวายจากนั้นก็ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ โรงพยาบาลศรีนครินทร์เขาก็ทำการสวนน้ำปัสสาวะอยู่ 10 วัน แล้วติดตามมาด้วยอีกโรคหนึ่ง ก็คือโรคนิ่วในท่อไตที่ต้องทำการผ่าตัดออก รอบนี้เขาจะทำการตัดชิ้นเนื้อไตไปตรวจว่ามันวายระดับไหนตามมาด้วย 2 โรคตัวเองกำลังใจก็หมด เพราะความดันก็ขึ้นไปอยู่ที่ 180 มันก็ย่ำแย่ทุกอย่างก็ตกลงกับสามีว่าจะไม่ผ่าตัดไม่ทำอะไรทั้งสิ้น ขอกลับไปที่บ้านก็โดนหมอด่าทุกวันล่ะค่ะ เพราะว่าไม่ปฏิบัติตามเขาต่อจากนั้นพอ 10 วันเขาก็ทำการจำหน่ายให้ออกจากโรงพยาบาลก็ไปรักษาต่อแบบงู ๆ ปลา ๆ ก็ตามสภาพร่างกายก็เมื่อย อ่อนล้า อ่อนเปลี้ยเพลียแรง แต่ก่อนมาหมอ เขาก็ให้เคมีร่วมด้วย ที่หลอดเลือดดำแล้วก็ลดปริมาณยา จากวันละ 25 เม็ดเหลือวันละ 18 เม็ดพานิซิโลนเหลือวันละ 4 เม็ด นอกจากนั้นไม่ทราบว่ายาอะไรต่อมิอะไรค่ะ จากนั้นอาการก็ร่อแร่ ๆ แต่ ณ ที่วันนั้นที่ไปนอนอยู่ที่ศรีนครินทร์ 10 วัน สามีแกเดินลงไปกินข้าวไปเจอพยาบาลตั้งโต๊ะที่จำหน่ายหนังสือของอาจารย์หมอเขียว ก็ด้วยความที่ตังค์หมด ไม่มีตังค์ด้วยสามี ก็เลยเลือกที่ราคาที่ถูกที่สุด คือถอดรหัสสุขภาพเล่มแรก และหนังสือย่านางของอาจารย์หมอเขียวเล่มเขียว ๆ เล็ก ๆ จากนั้นมาถึงบ้านก็ยังไม่มีบุญค่ะ อาการก็ยังย่ำแย่ยิ่งทรุด ๆ ลงไปเรื่อย ๆ ทีนี้สามีก็เลยบอกว่าเปิดใจหน่อย เธอลองอ่านหนังสือนี้ดูมั๊ยลองศาสตร์อื่นดูมั๊ย ก็บอกไม่เอาหรอก เพราะตัวเองตอนป่วยแรก ๆ ก็กินเห็ดหลินจือหมดไปประมาณหมื่นกว่าบาท ยิ่งกินก็ยิ่งเลวร้าย อาการก็ยิ่งกำเริบ และที่มาเรียนศาสตร์อาจารย์หมอเขียว ถึงได้รู้ว่าเห็ดหลินจือเป็นตัวกระตุ้นทำให้โรคเรากำเริบ เพราะว่าเขาร้อนมาก
จิตอาสา: (พูดเสริม) เขามีฤทธิ์ร้อนมาก
ภาพร: ทีนี้ตัวเองก็เลยไม่เชื่ออะไรทั้งสิ้น มีความรู้สึกว่าเอาหมออย่างเดียว เพราะลูกสาวก็กำลังเรียนแพทย์อยู่ และอีกอย่างหมอบอกว่า ถ้าอยากมีอายุยืนยาว ก็ต้องใช้ศาสตร์แพทย์แผนปัจจุบันอย่างเดียว ไม่ให้ไปกินอะไรทั้งสิ้น ก็วางไว้ที่หัวที่นอน ทีนี้มันเหนื่อย มันล้า มันย่ำแย่ไปเรื่อย ๆ แฟนก็เลยบอกว่าลองเปิดใจหน่อยไหมเธอ มีสถานีคลื่นวิทยุของวัดสวนธรรม เขาเอาเทปของหมอเขียวที่เจอในหนังสือ ลองฟังดูมั๊ย เอ้าลองฟังดูก็ได้ ทีนี้ก็เริ่มบุญเริ่มเกิดหรืออะไรก็ไม่ทราบ ก็มากัวซานั่งอยู่ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่มีแรงกัวซาตัวเองก็ทำผิด ๆ ถูก ๆ เสร็จแล้วก็ลองทำ Detox รู้สึกว่ามันสบายตัวขึ้นค่ะ มีพลังขึ้นกินข้าวก็กินข้าวได้จากที่เคยจับช้อนแล้วมือสั่นก็เริ่มมีพละกำลัง เริ่มมีเรี่ยวแรงที่อ่อนแรงก็เริ่มมีกำลังขึ้นมาบ้างแต่ก็ยังไม่เยอะ แต่น้ำย่านางก็ยังไม่กินค่ะ เพราะเห็นว่ามันเขียว มันสกปรก มันเหมือนเป็นตัวที่นำเชื้อโรค เพราะว่าโรคของเรานี้ภูมิต้านทานอ่อนแอ เขาห้ามทุกอย่างทีนี้ก็นานเหมือนกันค่ะ เข้าเคมีมันก็เครียด ๆ มันปวดแสบปวดร้อน ถ่ายก็ไม่ถ่าย ขับปัสสาวะก็ไม่ขับ มีอาการร้อนรน กินข้าวก็ไม่ได้ จำไม่ได้ว่านานเท่าไหร่ แต่นับมาประมาณ 6 เดือน แล้วทีนี้ก็มาโอ้ยไม่ไหวแล้ว บอกลาสั่งเสียสามีว่าไม่ไหวแล้วล่ะ ยังไงก็จะตายแล้ว ขอแหวกแนวแพทย์แผนปัจจุบันก็แล้วกัน จะลองน้ำย่านางดูซิลองคั้นให้กินหน่อย เพราะว่ามันหายใจไม่ออก
สามีก็ได้แต่คะยั้นคะยอว่าไปหาหมอเถอะ เพราะเห็นการหายใจของเธอต้องใช้ออกซิเจน เธอต้องพึ่งหมอแล้ว เธอเหนื่อยมาก ไม่ไม่เอา มันเจ็บมันปวดมันทรมาน ถ้าตายก็ขอตายตรงนี้แหล่ะ แต่ก่อนตายก็ขอดื่มน้ำย่านางก่อน ลองดู ทีนี้แฟนก็เลยไปทำให้กินแก้วใหญ่ แกอยากให้กินนานแล้ว แกก็รีบไปทำให้กินแก้วหนึ่งข้น ๆ แกทำมาให้กิน พอกินเข้าไปตกถึงท้องปุ๊ป มันมีอาการผะอึดผะอม มวนท้อง อยากเข้าห้องน้ำ จากที่ไม่ถ่ายมา 7-8 วันมันปวดท้องมาก จนมันเข้าห้องน้ำไม่ทันค่ะ ราดลงเลยพรวดออกแล้ว ทีนี่มันรู้สึกโล่ง แต่ตอนออกมานะเหม็นมาก กลิ่นนี้รับไม่ได้เลยค่ะมันมึน มันเหมือนมีตะกรันหรือตะกอนพลั๊วออกมากับอุจจาระของเรา แต่รู้สึกว่าโล่งและเริ่มหายใจอิ่มขึ้น เริ่มรู้สึกว่าไม่สั่น ไม่เหนื่อยอะไร เริ่มมีพลังขึ้นมาบ้าง ก็เอ้อลองดูอีกซิวันนั้นทั้งวันเลยค่ะ กินทั้งวันก็ถ่ายออกมาทุกที ขับถ่ายออกมาแบบพรวด ๆ แต่มันไม่เหนื่อยค่ะ มันยิ่งขับถ่าย ก็ยิ่งรู้สึกว่าพลังชีวิตของตัวเองมันขึ้นมา ๆ เรื่อย ๆ มันไม่เหนื่อย มันหายใจอิ่มขึ้น แล้วรู้สึกอาการต่าง ๆ มันเริ่ม ๆ หายแล้วทีนี้ก็กินมาได้ 3 วันอยากทำกับข้าวแล้วทีนี้มันเหมือน ๆ คนปกติแล้วเริ่มอยากกินข้าว แล้วเริ่มหิวข้าว สามีไม่ให้ทำก็เริ่มปกติแล้วทีนี้ก็กินมาเรื่อย ๆ ค่ะมี Detox มีกัวซาแล้วก็มีน้ำย่านาง ก็ทำมาประมาณ 6 เดือนมา พบกับพี่พยาบาลคนหนึ่ง แกเป็นมะเร็งเต้านมแล้วมาค่าย อาจารย์หมอเขียวแกบอกแค่มาคอร์สแรกก้อนเนื้อที่เต้านมแกมันฝ่อ มันคล้าย ๆ ว่าไม่มีเลย แกก็มาคอร์ส 2 นี่ ๆ ก็ยิ่งดีมากเลยก็บอกว่าแล้วพี่จะไปยังไงล่ะ เพราะไม่รู้จักค่ายอาจารย์หมอเขียวแล้วก็ไม่มีตังค์ด้วยจะไปยังไง พี่ก็เลยบอกว่าพอดีเลยโรงพยาบาลเขาจะส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปศึกษาดูงานเรื่องนี้ แต่ว่าพี่ไม่ได้ไปด้วยนะ ไม่เป็นไร หนูขอติดรถโรงพยาบาลไปได้มั๊ย ได้ เดี๋ยวเธอไปเลย ทีนี้มาก็มากับลูกสาวคนเล็กแกขาดโรงเรียนมา มาปุ๊ปก็มาฟังอาจารย์อยู่วันแรกก็ยังกินยาอยู่ ก็ยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ มันเริ่ม ๆ หายแล้ว ทีนี้ก็กินมาได้ 3 วัน อยากทำกับข้าวแล้วทีนี้มันเหมือน ๆ คนปกติแล้วเริ่มอยากกินข้าวแล้วเริ่มหิวข้าว
จิตอาสา: วันนั้นเป็นวันที่เท่าไหร่ของการเข้าค่ายคะ
ภาพร: วันที่ 3 ค่ะของการเข้าค่ายจะมีอาการปวดนิด ๆ หน่อย ๆ ค่ะแต่ไม่เยอะ
จิตอาสา: ก็คือการที่หักดิบนะคะไม่กินยานะคะแต่กินฉี่แทน
ภาพร: รู้สึกว่าสบายตัวแล้วตื่นเช้ามาก็บอกลูกว่ามันโล่งแล้ว ไม่เอายาแล้วเอายาไปทิ้งขยะให้แม่หน่อยลูกสาวว่าแม่เอาไว้ก่อน ๆ เผื่อมันเป็นอะไร แล้วเอามากินทีหลังก็ไม่เป็นอะไรเราก็เอ้อเอาไว้ในกระเป๋าก็ได้ ก็กลัวเขาไม่สบายใจด้วยทางสามีก็โทรไปบอกเขา ๆ ก็ว่าทำไมมันจะสุดโต่งขนาดนั้นก็เอา 2 ทางสิเอาทางใดทางหนึ่งถ้าเกิดเป็นอะไรมาจะทำอย่างไรล่ะไปกับลูก ๆ ก็ยังเล็กอยู่ ก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอกเราศึกษามาอาจารย์สอน 3 วันนี่เรารู้สึกว่าเรามั่นใจเราเชื่อมั่นในศาสตร์นี้แล้วจากที่เรากินน้ำย่านางมาแล้วแก้วเดียวนี่ มันทำให้เราสามารถเดินมาที่ค่ายได้ ซึ่งแต่ก่อนน่ะเธอต้องพยุงดูแลทุกอย่าง แต่เดี๋ยวนี้เธอไปทำงานกรุงเทพ ฯ ได้แล้วเราอยู่กับลูกได้แล้วก็อยู่ได้ เราคิดว่าเราน่าจะรอดได้นะด้วยศาสตร์นี้ ก็เลยทิ้งเลยค่ะแล้วพอเข้าค่ายครบ 7 วัน ก็โล่งเลยค่ะ แล้วไอ้หนอกที่ขึ้นข้างหลังตรงคอค่ะที่เกิดจากยาเพนนิซิโลน และก็คางที่ย้อย ๆ เหมือนชวลิตแล้วก็หน้าที่บวม ๆ มันก็เริ่มยุบเริ่มหาย เพื่อนที่มาเข้าค่ายด้วยกัน เขาก็บอกว่าหน้ายุบลงนะ ลูกสาวก็บอกแม่ ๆ หน้ายุบลงนะ
หนอกที่คอแม่มันก็หายนะ แม่เราก็ยิ่งมีกำลังใจ ใช่แล้ว เรามาถูกทางแล้ว ทีนี้ก็น้ำปัสสาวะค่ะ เป็นยารักษาโรคที่ดีที่สุด คือมันไม่มีอาการเจ็บ อาการปวด มันสบาย มันโล่ง ข้าวก็กินอร่อยขึ้นกลับไปถึงบ้านก็ปฏิบัติตัวศาสตร์นี้ตลอดมา แต่ที่ต้องกลับมาที่ค่ายในครั้งนี้ก็ เพราะว่าตกไป 2-3 ข้อเหมือนกันนะคะ ก็รู้เพียรรู้พัก อาหารบ้าง แล้วก็ธรรมค่ะ ก็เลยต้องชุดใหญ่เลยค่ะ ต้องกลับมานี้ มาด้วยอาการของการมีประจำเดือนเรื้อรัง แล้วก็มีการตกเลือดถึงขนาดช๊อคหมดสตินะคะ แต่ว่าลูกสาวให้สามีกัวซาที่ศีรษะ ก็เลยฟื้นขึ้นมา ก็มาหาค่ายเรานี่ค่ะ เพราะว่าทางลูกสาว ที่เรียนหมอเขาก็ต้องการให้เราไปทางโน้น เราก็เลยบอกว่าแม่คิดว่าแม่ขอมาทางนี้ก่อน เพราะว่าแม่มั่นใจ มาศาสตร์นี้แล้ว แม่คิดว่าแม่มาถูกทาง ถ้าไปทางโน้นก็ไม่รู้ว่าจะจัดยัดยาอะไรให้แม่ ถ้าพลังชีวิตแม่ตกอย่างนี้ แม่ก็อาจจะรับไม่ไหว แต่พอมาถึงที่นี่ วันแรกจากการที่นั่งรถมาก็ทำให้ปัสสาวะไม่ออก ปัสสาวะมันขัด ๆ มา 2 อาทิตย์แล้ว ถ้าไม่กัวซาตรงหัวหน่าวนี่มันจะไม่ออกเลยค่ะปวดมาก ทรมานมาก ก็คิดถึงแต่ว่า วิบากเรามันคงเยอะ ทีนี้อาจารย์ทางทีมงานพี่ ๆ น้อง ๆ ทางนี้เขาก็เลยช่วยเหลือ ศาสตร์ที่สามารถดูแลตนเอง สามีก็เป็นคนทำให้พี่น้องก็เป็นคนบอก ตรงนั้นตรงนี้ ก็เลยฉี่ออกได้เองตามปกติตั้งแต่เมื่อคืนเลยค่ะ ก็ถือว่าสบายตัวขึ้นเยอะเลย
ถาม: ค่ะ ก็โดยข้อมูลที่ให้มานะคะก็คือคร่าว ๆ ว่ามาที่นี่ในวันนี้ค่ะด้วยอาการก็คือประจำเดือนเรื้อรังตกเลือดนะคะ และช็อคหมดสติ แต่ก็ได้แก้ไขเบื้องต้นโดยกัวซาที่หัวแล้วก็ฟื้นขึ้นมา แล้วก็อันนี้ก็คือข้อมูลที่เล่ามานะคะ ทีนี้เดี๋ยวจะเจาะข้อมูลนิดหนึ่งค่ะว่าอาชีพค่ะเป็นอาชีพค้าขายนะคะ ค้าขายเป็นพวกประเภทไหนคะค้าขายอะไรคะ
ภาพร: ค้าขายพวกน้ำปั่นชานมไข่มุก น้ำสเลอบปี้แล้วก็ผลไม้สดค่ะ
จิตอาสา: แล้วก็มีลักษณะของการขายค่ะขายที่ไหนแล้วเวลาเปิดปิดเป็นอย่างไรบ้าง
ภาพร: ขายที่โรงเรียนประจำอำเภอค่ะเป็นโรงเรียนประถมค่ะ แต่ว่าเวลาขายน่ะไม่เยอะแต่ว่าเวลาเตรียมของต้องใช้เวลาเยอะมากค่ะ ต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 แล้วก็นอนประมาณ
5-6 ทุ่ม ต้องจัดเตรียมของที่จะขายในวันรุ่งเช้า ซึ่งเป็นงานที่บั่นทอนสุขภาพเหมือนกันนะคะ ด้วยความที่เราประมาทก็เลยเราไหวมาตลอด ก็เลยคิดว่าบุญคงช่วยรักษาเราอยู่หรอก เพราะว่าเราก็ช่วยเป็นที่ปรึกษาช่วยงานทางโรงพยาบาลเป็นจิตอาสาของจังหวัดมาก็เยอะเหมือนกันคงไม่เอาเราไป ๆ ณ ช่วงเวลานี้หรอก
ผู้สัมภาษณ์พูดเสริม บุญยังอุ้มไว้อยู่
ภาพร: บุญยังอุ้มไว้อยู่แต่ประมาทเกินไปค่ะเกือบจะไม่รอดเหมือนกันนะคะ
จิตอาสา: ก็คือสามารถประเมินได้ว่า ในครั้งนี้ที่ป่วยขึ้นมานะคะ รู้ว่าขาดข้อ 9 ไปนะคะรู้เพียรรู้พัก แล้วก็ข้อของอาหารนะคะที่ได้บอกเอาไว้ อาหารนี่ยังรับประทานอาหารเนื้อสัตว์อยู่ใช่ไหมคะ
ภาพร: เป็นบางครั้งที่มีความรู้สึกว่า กินอาหารอาจารย์แล้วมีอาการฝืนมาก ๆ ก็จะไปหาปลาบ้าง
จิตอาสา: โอเคโดยส่วนใหญ่แล้วถ้าคิดเป็น 100 เปอร์เซ็นต์ ค่ะ กินมังสวิรัติสักประมาณ กี่เปอร์เซ็นต์คะ
ภาพร: ประมาณสัก 60 เปอร์เซ็นต์
จิตอาสา: 60 เปอร์เซ็นต์ นะคะเป็นการกินมังสวิรัติ ก็คือการที่เราไปกินอาหารอื่นที่ไม่ใช่มังสวิรัตินี่ อาจมีความจำเป็นในเรื่องของความเร่งรีบใช่ไหมคะ
ภาพร: ค่ะ
จิตอาสา: มีความจำเป็นในเรื่องที่ว่ากินอาหารสุขภาพแล้วมันอาจจะกำลังตกหรือปล่าวแล้วทำให้เรารู้สึกว่ามันโหยหาอาหารบางอย่างที่เป็นเนื้อสัตว์
ภาพร: ค่ะ เพราะใช้พลังงานในการขายของเยอะเหมือนกันค่ะ รบกับเด็ก ๆ
จิตอาสา: รบกับเด็ก ๆ นะคะ เจี๊ยวจ้าวนะคะ แล้วอาหารที่เราไปกินค่ะ ส่วนใหญเป็นเนื้ออะไรคะ
ภาพร: เนื้อปลาค่ะเป็นปลา กับไก่หมูกับเนื้อวัวไม่
จิตอาสา: อ๋อ ก็ยังเป็นสัตว์เล็กอยู่
ภาพร: เน้นปลาค่ะ
จิตอาสา: ค่ะเน้นปลานะคะก็ขาดข้อ 9 นะคะ ขาดข้อ 7 อาหารเห็นบอกว่าขาดข้อ 8 ด้วยค่ะธรรมะค่ะไม่ทราบว่าขาดยังไงค่ะ
ภาพร: บางทีอยู่ในลักษณะแม่ค้ามันก็มีการชิงดีชิงเด่น แก่งแย่งกัน เด็ก ๆ อย่างนี้บางทีเขาก็มีการขโมยของกัน มันก็มีความรู้สึกตุ๊บขึ้นไปเหมือนกัน
จิตอาสา: มีอารมณ์ขัดเคืองขุ่นเคือง
ภาพร: ค่ะแล้วสภาพอย่าง เช่น ด้านครอบครัวก็มีบ้างบางอย่างบางสิ่งเราก็ปลง ๆ กับสิ่งใกล้ ๆ ตัวเราไม่ได้เหมือนกันประมาณนั้นแหล่ะค่ะ แต่ว่าที่มาที่นี่ค่ะคิดว่าข้อนี้จะหนักที่สุดแต่ที่ได้มาวันนี้ก็ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า ถ้ายังขืนเป็นแบบนี้นะเราก็คงไม่รอดแน่แล้วเราจะปล่อยให้เขาเป็นเหรอให้มันทำร้ายเราเหรอ พอนึกขึ้นได้ตรงนี้ก็พูดกับแฟนที่ห้องน้ำเมื่อคืนจะวาง จะปลง จะปล่อย ปลดทุกอย่างมันเป็นไปตามครรลองของเขาขนาดใจเรายังบังคับไม่ได้เลยแล้วจะไปบังคับคนอื่นได้ยังไง ก็เลยบอกกับตัวเองว่าต่อไปนี้จะไม่ให้ตัวนี้มาทำร้ายเราอีกแล้ว เพราะว่ารอบที่ 2 แล้วเราเกือบตายก็เลยหลุดล่ะค่ะทีนี้มันก็เลยหายปวด ๆ บ้างคล้าย ๆ เขาไม่เกร็งแล้ว
ผู้สัมภาษณ์พูดเสริม อันนี้ชัดเลยนะ ใจเป็นยาที่เร็วและแรงที่สุดในโลก คือเมื่อเราปล่อยปุ๊บกล้ามเนื้อมันก็จะคลายตัวทันที
ภาพร: ที่ฉี่ไม่ออกที่ปวดมาก ๆ เพราะมันเกร็งต้องเบ่งเหมือนคนใกล้จะคลอดนี่ มันเลิกปวด ปวดเหมือนกันค่ะแต่มันไม่ปวดหนักมันเริ่มออก ๆ (ฉี่) ก็ทั้งคืนแทบจะไม่ได้นอน เพราะมันปวดบ่อยใส่แพมเพอร์สแล้วนอนปล่อยแบบสบาย ๆ ไม่ต้องลุกถ้าลุกแล้วเกร็ง แล้วจะเริ่มออกน้อยค่ะ แต่วันนี้ก็ออก 80 เปอร์เซ็นต์ ของคนปกติค่ะ
จิตอาสา: มันชัดเจนนะ พวกนี้มันเกี่ยวกับจะเรียกว่าอะไรนะ จะแบกก็หนักจะวางก็เบา
ภาพร: ใช่ค่ะ ใช่
จิตอาสา: ปลดล็อกให้กับตัวเองได้ คือสามารถไขรหัสตัวเองได้ด้วยว่า คืออย่างน้อยก็สามารถวิเคราะห์ได้ว่า ไม่สบายนี่เป็นเพราะว่าสาเหตุข้อไหน ขาดข้อไหนไปก็มาชาร์ตแบต ข้อนั้นไปนะค่ะ อยู่บ้านนี่ยา 9 เม็ด ที่ทำเป็นประจำนี่ ทำเม็ดไหนบ้างเป็นประจำ ดื่มย่านางเป็นประจำหรือปล่าว
ภาพร: Detox ประจำเลยค่ะ กัวซา ย่านาง 3 ตัวนี้ เป็นประจำไม่ขาดเลย
จิตอาสา: อันนี้ที่เป็นหลัก ๆ เลยนะตอนที่ ๆ ไม่สบายค่ะตั้งแต่ปี 2549 เดือนธันวาคม แล้วมาถึงมกราคม 2550 นะคะที่บอกเป็นภูมิแพ้ SLE พัฒนาการของเขาก่อนที่เขาจะมาเป็นไตวายนี่นานไหมคะ มกราคม 2550 นี่เป็น SLE แล้วกว่าจะไปเป็นไตวาย นี่ปีไหนคะ
ภาพร: ปีกว่า
จิตอาสา: ปีกว่าหรือคะ ปีกว่า ก็จะเป็นไตวายเลยนะคะ แล้วก็หลังจากไตวายแล้วมีโรคไหนอีกไหมคะ หรือมี 2 โรค
ภาพร: ภูมิแพ้ SLE แล้วก็ความดันสูง แล้วก็ไตวาย แล้วก็ตามมาด้วยนิ่วในท่อไต แล้วก็ตามมาด้วยงูสวัด งูสวัดกินกระดูกค่ะ เน่าเฟะ
จิตอาสา: แล้วรักษาอย่างไรคะ
ภาพร: ใช้แผนปัจจุบันนะค่ะที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ค่ะ ประมาณ 5 วัน
จิตอาสา: งูสวัดหรือคะ 5 วัน
ภาพร: ค่ะ 5 วัน
จิตอาสา: แล้วนิ่วในท่อไตล่ะคะ
ภาพร: ไม่ทำอะไรเลยค่ะ หมอจะผ่าแต่ไม่ยอมให้ผ่า
จิตอาสา: แล้วตอนไตวายหมอให้ทำอะไรบ้าง
ภาพร: เขาก็ให้เคมีผ่านหลอดเลือดดำนี่ละค่ะ แล้วก็เขาก็สวนฉี่ค่ะ เพราะว่าฉี่ไม่ออกอยู่ (โรงพยาบาล) 10 วัน
จิตอาสา: แล้วก็โรคความดันสูงนี่เป็นภูมิแพ้แล้วเป็นความดันสูงต่อเนื่องกันเลยไหมคะ
ภาพร: ยังค่ะ ยังประมาณซักเกือบปีเหมือนกัน
จิตอาสา: เกือบปีนะคะถึงจะเป็นความดันสูง พอเป็นความดันสูงเสร็จปุ๊บ อีกนานไหมจึงจะเป็นไตวายคะ
ภาพร: เป็นความดันสูงแล้วประมาณ 2 อาทิตย์คะ จึงเป็นไตวายเขาส่งจากยโสธรไปอุบลราชธานี
จิตอาสา: โอ้ 2 อาทิตย์นะคะ
ภาพร: เขาบอกว่าเขาคุมความดันไม่ได้เขาจะให้ยาเม็ดเล็ก ๆ สีขาวก็คือยาเพนนิซิโลนแต่ถ้ากินแล้วคุณจะตัวบวม ๆ เสร็จปุ๊บมันจะฉี่ไม่ออก ก็ส่งต่อที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์เลยค่ะ
จิตอาสา: แล้วเบ็ดเสร็จนี่ตั้งแต่มกราคม 2550 จนถึงปัจจุบันนี่ 2556 แล้ว 5 ปีกว่าเลยนะกับโรคพวกนี้ใช้เงินไปเยอะไหมคะ
ภาพร: กับโรคพวกนี้ก็ถึงปี 2553 ก็เป็นแสนเหมือนกันค่ะ เอ่อไม่ใช่ว่าเงินส่วนตัวเราหมดนะคะ เงินกู้หนี้ยืมสินมาด้วยค่ะ เดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นภาระหนี้ก็อยู่ในข้อไม่รู้เพียรไม่รู้พัก
จิตอาสา: ประมาณสักกี่แสนคะ
ภาพร: รวมประมาณ ๆ ก็ แสน 2 แสนนี่ละประมาณ 1.8 แสน
จิตอาสา: อันนี้รวมถึงค่าเดินทางค่ายา
ภาพร: รวมถึงค่าเดินทางค่ายายาอยู่นอกบัญชีก็ต้องเสียนะคะ
จิตอาสา: อืมก็ใช้โรงพยาบาลศรีนครินทร์เป็นหลักแล้วตั้งแต่ปี 2553 ตอนนั้นนี่เป็นทั้งภูมิแพ้เป็นทั้งความดัน ทั้งไตวาย แล้วก็นิ่วในท่อไต แล้วก็รวมถึงงูสวัดด้วยหรือปล่าวคะที่อยู่ในช่วง 2550-2553 แล้วตั้งแต่ปี 2554 อาการเหล่านี้เป็นอย่างไรบ้างคะ
ภาพร: อาการเหล่านี้ มาใช้ศาสตร์ของอาจารย์ ทิ้งยาหมดทุกตัวมาเข้าค่ายปี 2553 คอร์ส1-7 สิงหาคม 2553 ค่ะ แล้วก็มาอีกคอร์สหนึ่ง แฟนพันธุ์แท้เดือนเมษายน 2554
จิตอาสา: ค่ะ คอร์ส 1-7 สิงหาคม 2553 (ค่ายสุขภาพ) แล้วก็มาแฟนพันุ์แท้เดือนเมษายน 2554 นะคะ คือมา 2 คอร์สนี้นี่ มาปฏิบัติตนในศาสตร์นี้แล้วอาการอะไรที่ดีขึ้น หรือแย่ลงหรือว่าเหมือนเดิมคะ
ภาพร: เหมือนคนแทบจะปกติเลยค่ะ นอกจากบางเวลาที่เราจะไปกินของตามใจปากบ้าง หรืออารมณ์ถ้าอารมณ์ปุ๊บ งูสวัดมันปั๊บรัดตัวเรา แม้กระทั่งอาหารที่จะเป็นตัวคอยเตือนว่าอย่านะ ไม่ได้แล้วนะ ประมาณนั้นล่ะค่ะ ทีนี้เขาก็จะเตือนตลอด
จิตอาสา: แล้วช่วงที่ตั้งแต่ 1-7 สิงหาคม (ค่ายสุขภาพ) ที่เข้ามายาไม่ต้องใช้เลยทิ้งเลย
ภาพร: ทิ้งเลยทิ้งที่นี่เลยค่ะ
จิตอาสา: ก็คือ เป็นชีวิตปกติเลยเพียงแต่ว่าจะมีตัวเตือน เมื่อเราจะไปกินอาหารแสลงนะคะหรือว่าอารมณ์ที่มันคุกรุ่นขึ้นมามันก็จะแสดงอาการไม่สบายขึ้นมา
ภาพร: ย่านางก็จะปั่นแบบเข้มข้น จะขาดไม่ได้เราจะใช้กินแทนน้ำเลยค่ะ เพราะรู้สึกกินแล้วมันสบาย
จิตอาสา: ถ้างี้ ก็คือกินแบบเข้มข้นนะคะ ตอนนี้ที่มาเข้าค่ายนะคะ ก็คือเข้าค่ายมา 2 ครั้งปี 2553 นะคะคือ 1-7 สิงหาคม 2553 (ค่ายสุขภาพ) และแฟนพันธ์แท้ 2554 นะคะแล้วก็ครั้งนี้ก็
ภาพร: มาชาร์ตแบตอีกครั้งหนึ่งก็ได้มาเข้าคอร์สเมื่อ 26-30 มิถุนายน 2556 ที่ผ่านมาพาคนป่วยมาจากลำปางมาอยู่ 3 วันก็ต้องกลับบ้าน
จิตอาสา: ก็เป็นพระพี่เลี้ยงนะคะ
ภาพร: เป็นพี่เลี้ยงแต่ตอนนี้มาลักษณะของคนป่วยแทน
จิตอาสา: วันนี้เราก็ได้มีโอกาสมาที่นี่อีกครั้งหนึ่ง ที่จะดูแลรักษาร่างกายได้ แล้วก็ปกติแล้วค่ะแบบแผนการใช้ชีวิตนี่การกิน เมื่อกี้ก็บอกแล้วตอนนี้กินอาหารรสจัดอยู่หรือปล่าวคะ
ภาพร: เบาลงมาก
จิตอาสา: เบาลงมากนะคะการนอนก็มีเวลานอนน้อยทำงานเยอะนะคะออกกำลังกายได้ออกกำลังกายบ้างไหมคะ
ภาพร: โยคะไม่ค่อยได้ทำเท่าไหร่ค่ะแต่เดินเร็วได้ทำแทบทุกวันถ้ามีวันไหนที่ฝนไม่ตก
จิตอาสา: พักผ่อนนอนหลับเพียงพอหรือไม่คะคิดว่าไม่เพียงพอนะ
ภาพร: อ๋อโรงเรียนหยุดเสาร์อาทิตย์จะได้พักเต็มที่ก็วันเสาร์วันอาทิตย์ก็ต้องเตรียมของ
จิตอาสา: ในปัจจุบันรู้สึกว่ามีความวิตกกังวลหรือว่ามีความทุกข์ใจอะไรบ้างหรือปล่าวคะ
ภาพร: ก็มีบ้างถึงขนาดเยอะเลยล่ะค่ะ มาอยู่ ณ ตรงนี้แล้วก็ไอ้ที่เราเป็นอยู่ แล้วทำให้เราเจ็บปวดมันเลยทำให้เรามีความรู้สึกว่าเราหยุดได้แล้ว เราทรมานมากเกินพอแล้ว เราไม่ได้ทรมานแต่ตัวเรา เราทรมานคนรอบข้างคือลูกและสามีพ่อแม่พี่น้อง
จิตอาสา: พูดเสริม คือเราจะหยุดทำร้ายตัวเราเอง
ภาพร: จะหยุดทำร้ายตัวเราเองจะข้ามตรงนี้ไปให้ได้พอตรงนี้มันหลุดปุ๊บรู้สึกว่าอาการเจ็บปวดมันก็ทุเลาลง
จิตอาสา: ก็ในโอกาสนี้นะคะก็ได้ข้อมูลในเบื้องต้นนะคะเป็นประโยชน์อย่างมากเลยแล้วก็อาจจะต้องที่จะสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับความคืบหน้าในการดูแลสุขภาพนะคะว่าเป็นอย่างไรบ้างตั้งแต่วันแรกที่มาที่นี่ และต่อเนื่องไปอีกหลายวัน แล้วก็สามารถคลี่คลายปัญหาได้ด้วยตัวเองไหม และ 3 ข้อที่ติดขัดเราแก้ไขข้อไหนได้แล้วด้วยธรรมะข้อไหน ด้วยการทำอย่างไรนะคะ คงจะต้องรบกวนสอบถามอีกทีหนึ่งก็ต้องขอขอบคุณมากค่ะ ยังไงก็อาจรบกวนพี่ช่วยอธิบายเพิ่มเติมอีกนะคะ ในกรณีที่ข้อมูลไม่ครบหรือว่าติดขัดค่ะ ค่ะขอบคุณมากค่ะ
จิตอาสา: เมื่อกี้นะคะที่เราสัมภาษณ์นะคะลืมหัวข้อหนึ่งไปค่ะ ก็อยากจะสัมภาษณ์พี่ศิไลต่อนะคะว่าตั้งแต่ปี 2553 ในเดือนสิงหาคมค่ะที่ได้มาเข้าค่ายคุณหมอเขียวค่ะแล้วก็ได้บอกว่าได้เลิกยาไปทั้งหมดเลยนะคะและก็สามารถอยู่ได้อย่างผาสุกนะคะ ไม่แน่ใจว่าตั้งแต่ปี 2553 ณ ขณะนั้นจนถึงปัจจุบันค่ะได้เสียค่าใช้จ่ายในการรักษาตัวเองตามศาสตร์ของคุณหมอเขียวนะคะด้วยเทคนิค 9 ข้อ หรือ ยา 9 เม็ดเสียค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ประเมินเป็นตัวเลขได้ไหมว่าใช้เงินไปเท่าไหร่อย่างไรค่ะ เชิญเลยค่ะ
ตอบ: ค่ะถ้าจะประเมินจริง ๆ ก็ไม่น่าจะเกิน 2-3 พันนะคะ เพราะว่าช่วงระยะเวลาตั้งแต่ปี 2553 ถึงปี 2556 ไม่ได้เคยไปหาหมออีกเลยค่าใช้จ่ายส่วนมากจะไปอยู่ที่เดินทางแล้วก็ ค่าที่ต้องนอนรักษาตัวเราก็ต้องกินต้องใช้ช่วงนั้นน่ะเราต้องใช้ตังค์เยอะมากค่ะ เพราะมันก็มียานอกบัญชีหลักแต่พอมาใช้ศาสตร์ของอาจารย์มันก็มีบ้างอย่าง เช่น ย่านางเราปลูกเองมันก็ไม่ทันกินนะคะเขาก็โตช้าอย่าง เช่น พวกยาน้ำมันเขียวน้ำมันกัวซาผงถ่านพวกเครื่อง Detox ต่าง ๆ คือที่บ้านใช้ทั้ง 3 คนเลยค่ะใช้ศาสตร์ของอาจารย์ก็อาจมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมาบ้างก็ไม่เยอะถือว่าถูกค่ะอย่างมากปีละไม่ถึงพันก็ไม่น่าจะเกินกำลังที่เราใช้จ่าย จากที่เราใช้รักษาตัวเองทางแพทย์แผนปัจจุบันนี่ประมาณแสนสองแสนมาอยู่ที่ระดับ 2-3 พันนี่ก็ถือว่าเป็นที่น่าพอใจมากแล้วก็ไม่เดือดร้อนในการดำรงชีวิตของตนเองนะคะ
จิตอาสา: ค่ะก็ได้ทราบแล้วนะคะว่าสามารถที่จะลดค่าใช้จ่ายไปอย่างมากเลยนะคะจากหนึ่งถึงสองแสนบาทมาอยู่ที่ 2-3 พันบาท ทีนี้มีอีกข้อหนึ่งค่ะว่าในด้านของร่างกายค่ะไม่ต้องใช้ยาแล้วในเรื่องของใจค่ะ ที่ใจนะคะ ก่อนที่จะมาเข้าค่ายหมอเขียวนะคะกับหลังจากที่มาเข้าค่ายคุณหมอเขียวแล้วค่ะด้านสุขภาพใจนี่เป็นอย่างไรบ้างคะขอเชิญตอบเลยค่ะ
ภาพร: ก็รู้สึกว่าตัวเองรู้สึกว่าถ้ามีใจเป็นทุกข์หรือมีเรื่องกลัดกลุ้ม มีเรื่องที่ต้องข้องแวะ มีปัญหากับเพื่อนพ้องในการขายของเรา จะสามารถดึงจิตใจเราได้เร็วขึ้น บางทีมันก็เผลอไปบ้างค่ะ ปล่อยใจตัวเองปึ้ด ๆ ไปบ้าง แต่มันก็สามารถดึงคืนมาได้เร็วหลังจากที่เคยเป็นคนที่ตั้งมั่นยึดมั่นถือมั่นก็รูสึกว่าตัวเองจะเปลี่ยนไปเยอะเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ เลยค่ะ ยังเหลืออยู่ก็ประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ ค่ะที่ยังเหลืออยู่ยังได้ไม่ครบเต็ม 100 ค่ะ
จิตอาสา: ค่ะก็นับว่านอกจากว่าจะรักษากายให้ดีขึ้นได้แล้วนะคะ ยังสามารถรักษาใจได้ด้วยนะคะ ก็คือ สามารถที่จะจัดการกับปัญหาใจที่เป็นทุกข์ได้นะคะ ทำให้สามารถดึงจิตใจให้กลับคืนมาได้เร็วขึ้น นะคะคือดีขึ้น 80 เปอร์เซ็นต์ จากก่อนหน้านี้ อาจจะเป็นคนที่ใจร้อนนะคะ (ผู้ป่วยพยักหน้า) หุนหันพลันแล่นนะคะ (ผู้ป่วยพยักหน้า) คือมีสติมากขึ้น มีความยับยั้งชั่งใจขึ้นนะคะ (ผู้ป่วยพยักหน้า) ก็พากเพียรต่อไปค่ะที่เหลืออีกประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ นะ