1. บันทึกการสัมภาษณ์กรณีศึกษากลุ่มตัวอย่างจาก ผู้ใช้การแพทย์วิถีพุทธสำหรับผู้ที่มาเข้าอบรมค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีพุทธ 5-7 วัน
ณ ศูนย์เรียนรู้สุขภาพพึ่งตนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง สวนป่านาบุญ 1 อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร และเครือข่ายแพทย์วิถีพุทธทั่วโลก
ระหว่างปี พ.ศ. 2552 – 2558
(ประเภทข้อมูลที่ 7 การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ ผ่านสื่อออนไลน์ – ยูทูบประเภทข้อมูลที่ 9 แบบบันทึกสัมภาษณ์แลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ และ ประเภทข้อมูลที่ 12 แบบสอบถามประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ เทคนิค 9 ข้อ)
กรณีศึกษาที่ | 1.4 |
ชื่อ | สุนันทา เพียวไพบูลย์ |
เพศ | หญิง |
อายุ | 55 ปี |
จังหวัด | สระแก้ว |
โรค | ภูมิแพ้ผิวหนัง |
อาการ | คันตรงขาบริเวณหน้าแข้งเป็นแผลเปื่อยตุ่มเม็ดขึ้นเต็มตัว และหน้าก็บวม |
การดูแล | ตามหลักเแพทย์วิถีธรรม เทคนิค 9 ข้อ เชื่อในวิบากกรรม |
วันสัมภาษณ์ | 9 มีนาคม 2555 |
ดิฉันชื่อ นางสุนันทา เพียวไพบูลย์มีอาชีพค้าขายค่ะ ทำให้เวลาทานหรือเวลานอนไม่ค่อยตรงเวลา และยังดื่มกาแฟเป็นหลักแทนข้าวเลยค่ะ ซึ่งในบางครั้งขายดีจนไม่ได้กินข้าวเช้า รวมมาทานเป็นมื้อเที่ยงและมื้อเย็นทีเดียวค่ะ และการค้าขายมีเรื่องให้เครียดเป็นประจำ เครียดทั้งวันทั้งเดือนและทั้งปีจนกลายเป็นความเครียดสะสม พอเหนื่อยจากงานก็ดื่มกาแฟช่วย ปวดหัวเป็นไข้ก็ทานยาแก้ปวด ทำแบบนี้ตลอดเวลาที่ผ่านมาอยู่หลายปี ถึงได้รู้ว่าเรากินกาแฟกับยาแก้ปวดกดอาการไว้ตลอด เพื่อไม่ให้ตัวเองป่วยเพราะมีงานเยอะ จนเริ่มป่วยค่ะ ซึ่งเริ่มจากมีอาการคันตรงขาบริเวณหน้าแข้ง เกาได้หน่อยเดียวมีเลือดออกซิบ ๆ แล้วก็ปิดพลาสเตอร์ไว้นึกว่าจะหาย พอตกเย็นแกะเปิดดูแผลแผลได้ขยายใหญ่ขึ้นเท่าแผ่นพลาสเตอร์ เป็นแผลเปื่อย ๆ ก็เลยไปพบคุณหมอ คุณหมอคนที่ 1 ไม่หาย ก็ไปพบคุณหมอคนที่ 2 พอไม่หาย ก็เปลี่ยน ตระเวนรักษากับคุณหมอตามคลินิกเป็นอยู่เวลา 3 เดือน จนพี่ที่รู้จักกันมาเห็นแผลเข้า ก็บอกว่าไม่ไหวแล้วน้องเอ๊ย ไม่น่าจะรักษากับคุณหมอตามคลินิกต่อ บอกให้เราไปรักษากับคุณหมอเขียวแทน คุณหมอเขียวต้องช่วยได้ ซึ่งตอนนั้นก็บอกพี่ท่านนี้ไปว่าจะไปดีเหรอ เสียดายเงินเพราะงานกำลังเยอะ พี่ท่านนี้ก็ถามขึ้นว่า เออ “น้องจะเอาเงินหรือเอาชีวิต” เพราะพี่เขากลัวว่าแผลเราจะเน่าแล้วต้องตัดขาทิ้ง เลยตัดสินใจ ไปก็ไป
พอเข้าค่ายได้ฟังคุณหมอเขียวบรรยายก็ทำตามทุกอย่างทั้ง 9 เม็ดที่คุณหมอสอน พอถึงก่อนวันสุดท้ายของค่าย (วันที่ 6 ของการเข้าค่าย) ได้ทำกัวซา พอเช้าวันรุ่งขึ้นมีตุ่มเม็ดขึ้นเต็มตัว และหน้าก็บวม พี่แหงว (พี่จิตอาสา) ก็เลยพาไปพบคุณหมอเขียว คุณหมอเขียวเห็นแล้วก็ยิ้ม แล้วบอกกับพี่ว่า
“คุณโชคดี”
“มันปะทุออกมาข้างนอกให้เราเห็นนี่ จะรักษาง่าย ไม่เป็นไรหรอก”
“คุณนะมีบุญนะถ้ามันไม่ปะทุออกมาให้เราเห็น หลบอยู่แต่ข้างใน มันจะเอาคุณตายเลย”
พอได้ยินคุณหมอพูดอย่างนี้ พี่หายกลัวเลยนะ ทีนี้พอกลับไปถึงบ้านตุ่มเม็ดก็ยิ่งขึ้น ขึ้นจนทุกรูขุมขนทั้งตัวมีแต่ผื่นเต็มไปหมด ถึงจะตกใจนิด ๆ แต่พี่ก็ฟังคำที่คุณหมอเขียวบอกกับพี่ ก็เชื่อมั่นและศรัทธาด้วย ก็เลยบอกกับตัวเองว่า เราต้องไม่เป็นอะไร แต่น้อง ๆ ที่บ้านนี่ซิ ทนเห็นอาการพี่แบบนี้ไม่ได้ พยายามจะพาพี่ไปโรงพยาบาล จนต้องหาอุบายที่จะบอกกับน้อง ๆ เพื่อไม่ให้พวกเขาเสียใจ เพราะว่าเขาก็ห่วงเรา พี่บอกกับน้อง ๆ ว่า ขอเวลา 5 วัน ที่จะรักษาด้วยสูตรของคุณหมอเขียว ถ้าไม่ยุบหรือไม่เบาลง ก็จะไปหาคุณหมอที่โรงพยาบาล
แล้วพี่ก็ทำยา 9 เม็ดเต็มที่เลย ทั้งแช่ตัว อบ เช็ด และใช้น้ำปัสสาวะทาตัวด้วย ที่หัวใช้ผ้าชุบน้ำย่านางโพกไว้ พอแห้งก็ชุบน้ำมาโพกใหม่ จน 5 วัน ยุบจริง ๆ จนน้องชายบอกว่า “ไม่น่าเชื่อว่าไม่ได้กินยาสักเม็ดแล้วจะยุบได้” เพราะอาการของพี่เหมือนธาตุแตก เป็นเหมือนศพเดินได้เลยค่ะเขาจึงคิดไม่ออกว่าจะหายได้ยังไง หากไม่ไปรักษากับคุณหมอที่โรงพยาบาล ตัวพี่เองจิตวิญญาณก็หวั่นไหวบ้างเหมือนกันนะคะ เพียงแต่ได้ธรรมะ ซึ่งเป็นยาเม็ดที่ 8 ของคุณหมอเขียว จนต้องรวบรวมตั้งสติ รวมจิตวิญญาณทั้งหมด บอกกับตัวเองว่า เราต้องกล้า เราจะไม่กลัวตาย
แล้วช่วงที่รักษาตัวพี่จะอยู่คนเดียวนะ เพราะน้อง ๆ งานยุ่งกัน พอได้เวลาน้องถึงจะเอาอาหารมาให้ นอกนั้นพี่ก็จะทำตามยา 9 เม็ด ช่วงไหนจะแช่เท้า ช่วงไหนจะแช่ทั้งตัว พี่แหงวเห็นพี่เป็นเยอะ เลยแนะนำให้พี่แช่ทั้งตัว ซึ่งพี่ก็ใช้ย่านาง ใบบัวบก ใบเตย หรืออะไรที่หาได้เอามาให้น้องช่วยปั่นผสมกับน้ำ แล้วใส่ในอ่างเพื่อแช่ แช่เย็นแบบนี้อยู่ 2 วัน อาการก็ไม่ดีขึ้น ที่พี่ไม่ได้ต้ม เพราะพี่กลัวว่าความร้อนของน้ำจะมากระทบกับความร้อนในตัวพี่ แต่พอแช่เย็นแล้วไม่ดีขึ้น เลยลองเอาไปต้มดู ซึ่งน้องอีกคนก็หาเปลือกแค เปลือกหว้า หรือเปลือกไม้ฤทธิ์เย็นที่มีสรรพคุณฝาดมาให้ มีใส่เถาใบย่านางลงไปต้มด้วยค่ะ ส่วนใบก็เอาไปทำน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นพี่ก็ต้มเองให้น้ำพออุ่น แค่วันแรกที่ได้แช่ รู้สึกได้เลยค่ะว่าดี น้ำอุ่นพอกระทบถูกตัวเรา ก็เริ่มรู้สึกสบาย ร่างกายสบายขึ้น แผลก็เริ่มแห้งลง พี่เลยต้มน้ำแช่ทุกวัน ต้มเอง รักษาเอง แล้วก็พิจารณาดูตัวเองไป แค่ 5 วันเท่านั้นแผลยุบ แห้ง เหมือนปาฏิหาริย์เลย พอแผลหายก็หยุดแช่แต่ยังต้มน้ำสมุนไพรไว้อาบอยู่ อาบน้ำสมุนไพรมาจนถึงปัจจุบันนี้เลยค่ะ
พี่คิดว่าการที่พี่รอดตายมาได้ เพราะใจสั่งค่ะ ใจสั่งว่าเราตายไม่ได้ เพราะมีภาระเยอะ และก็เชื่อเรื่องบุญกรรมว่าบุญกรรมมีจริง นึกถึงตอนที่มีอาการเยอะ ๆ ว่า ถ้าหากเรากลัวเราคงไม่รอดแน่ ๆ ก็จะบอกกับตัวเองว่า ถ้าบุญกรรมมีจริง เราก็จะไม่ตาย หรือถ้าความตายมาอยู่ตรงหน้า เราก็จะไม่กลัว ถ้ามันถึงเวลาตายก็ให้ตายไปเลย พี่มีขอกับน้องชายไว้ด้วยว่า หากไม่หายพี่จะขอตายแบบนี้ดีกว่าไปตายกับคุณหมอที่โรงพยาบาล แล้วก่อนนอนพี่จะนึกถึงพ่อ นึกถึงพ่อท่าน นึกถึงคุณหมอเขียว ขอบารมีขอความดีที่ท่านมีช่วยให้เรามีชีวิตอยู่ แล้วเราจะสร้างความดีเพิ่มขึ้น จะไม่ประมาท จะดูแลสุขภาพ แล้วก็เข้านอน พอตื่นเช้าขึ้นมา ไม่รู้พลังมาจากไหน ทำให้เราดีขึ้น ลุกเดินออกกำลังกาย เหมือนไม่ได้เป็นอะไรเลย ทั้ง ๆ ที่ยังมีแผลเต็มตัวนะ เหมือนมีใครเอาพลังมาเพิ่มให้ จากเมื่อวานที่ยังป่วยหนัก มาวันนี้เราไม่เหมือนคนป่วยแบบเมื่อวานนี้เลย ก็ตอนที่พี่ฟังคุณหมอเขียวสอน พี่เข้าใจทุกอย่างเลย เข้าใจว่าบุญกับกรรมดีนี่ จะทำให้เรามีชีวิตรอดได้ 5 อาทิตย์นี้ ทำให้พี่เปลี่ยนไปเลย
สุดท้ายนี้ อยากจะฝากถึงทุก ๆ คนว่า คนทุกคนรักเงินแล้วก็หลงงาน แต่ต้องไม่ลืมดูแลสุขภาพตัวเอง สุขภาพสำคัญที่สุด สำคัญกว่าเงินนะคะ บุญกรรมก็มีจริง ขอให้ทุกคนอย่าประมาท ต้องทำบุญ ทำจิตใจให้ดีค่ะ”