1. บันทึกการสัมภาษณ์กรณีศึกษากลุ่มตัวอย่างจาก ผู้ใช้การแพทย์วิถีพุทธสำหรับผู้ที่มาเข้าอบรมค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีพุทธ 5-7 วัน
ณ ศูนย์เรียนรู้สุขภาพพึ่งตนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง สวนป่านาบุญ 1 อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร และเครือข่ายแพทย์วิถีพุทธทั่วโลก
ระหว่างปี พ.ศ. 2552 – 2558
(ประเภทข้อมูลที่ 7 การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ ผ่านสื่อออนไลน์ – ยูทูบประเภทข้อมูลที่ 9 แบบบันทึกสัมภาษณ์แลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ และ ประเภทข้อมูลที่ 12 แบบสอบถามประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ เทคนิค 9 ข้อ)
กรณีศึกษาที่ | 1.19 |
ชื่อ | คิมเบอลี่ ออง |
เพศ | หญิง |
เชื้อชาติ | พม่า |
ประเทศ | สหรัฐอเมริกา |
โรค | โรคความเครียดสะสมมาก |
วันสัมภาษณ์ | 26 มกราคม 2556 |
พรทิพย์ โพธิคามบำรุง หรือ ฟอร์ด อายุ 63 ปีทำงานอยู่สายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ที่สนามบินนานาชาติซานฟรานซิสโกค่ะสหรัฐอเมริกาเนื่องจากช่วง 5-6 เดือนที่ผ่านมานี้ ก็ได้ใช้ความรู้จากการศึกษาด้วยตัวเองด้วยการอ่าน “มาเป็นหมอดูแลตัวเองกันเถอะ” ของคุณท่านอาจารย์หมอเขียว กลับประเทศสหรัฐอเมริกา อ่านช่วงนั้นแล้วก็ได้นำไปใช้กับเพื่อนร่วมงาน มีเพื่อนเสียชีวิตจากมะเร็ง หรือมะเร็งหน้าอกนี่คือปัญหาใหญ่ของที่สหรัฐอเมริกา คือมะเร็งอันนี้ก็คือแค่อ่านหนังสือ ยังไม่เคยเข้าค่าย ได้อานิสงส์ก็คือประสบการณ์ตรงด้วยตัวเอง เลยทำให้ต้องมาเรียนรู้เพิ่มเติมนะคะ ได้อ่านก่อน 4-5 เดือน ก่อนที่จะมาเข้าค่ายนี้
ได้มีโอกาส ได้เรียนทางลัดนะคะ ถึงแม้จะไม่ได้เข้าค่ายโดยตรงนะคะ ก็ได้ความรู้ไประดับหนึ่งแล้วแล้วก็ได้ไปช่วยเพื่อนซึ่งเราเองก็ ตอนนั้นยังไม่เคยกัวซามาก่อนด้วย เป็นครั้งแรกที่กัวซาให้ที่ศีรษะจากที่บอกค่ะเริ่มจากตรงจุดกึ่งกลางแล้วก็ไล่มาเหมือนร่ม ที่อบรมแบบนั้นเลยตามตำราแล้วก็มาที่คอที่หลังเกือบทั้งตัวได้แค่ครึ่งตัว เพราะว่าเรานั่งอยู่ในออฟฟิศกัวผ่านเสื้อผ้าแล้วใช้แค่อุปกรณ์ไม้กัวซาอย่างเดียว ช้อนก็เป็นไม้ธรรมดาน้ำมันครีมธรรมดา กลัวเขาเจ็บแต่เขาบอกว่าไม่เป็นไรไม่เจ็บหน้าด้วย นี่คือตรงช่วงที่เขาเป็นคือจะออกเป็นสีชมพูเลยค่ะ ในขณะที่กัวซา หน้าเขานี่จะขึ้นเป็นสีชมพู
เพื่อมาเรียนรู้อย่างถ่องแท้ คือเหมือนมาสานต่อ ก็ได้มาธรรมะต่ออีกคือตามปกติดิฉันก็ปฏิบัติธรรมมาสิบกว่าปีถึงระดับหนึ่งแล้ว พอได้มาฟังท่านอาจารย์หมอเขียวพูดต่อไปได้อีกที่นึกว่าเหมือนติดเป็นจุดเครื่องหมายไว้แล้วมาต่อเส้นก็คิดว่าได้ประโยชน์อย่างสูงสุดในชีวิตเลยก็ว่าได้ความรู้ยา 9 เม็ดแล้ว เอามาปฏิบัติกับตัวเองในชีวิตประจำวัน คือพอทราบข้อปฏิบัตินะคะ ปกติทุกวันนี้ก็ใช้น้ำปัสสาวะทาหน้าคือใช้มาได้ประมาณปีกว่าแล้วคือเครื่องสำอางแพง ๆ ไม่ได้เงินดิฉันหรอกตอนนี้ ใช้เช็ด พอรู้สึกว่ามันแห้งก็ทาไปเรื่อย ๆ แล้วก็หยอดตา ก็เอานิ้วจุ่มนี่ เอาใส่ขวดไปที่ทำงานนี่ ถึงเวลาว่างก็จุ่มทา จะไม่มีกลิ่น ต้องไม่ทานเนื้อ คือไม่ทานเนื้อเลยตอนนี้ไม่ทานเนื้อสัตว์ทานแต่ผักอะไรพวกนี้ ถ้าไม่เชื่อลองจะหอมเหมือนกลิ่นใบชาอ่อน ๆ พอทาไปจะไม่ได้กลิ่นเพราะถ้าได้กลิ่นเพื่อนร่วมงานเขาก็คงต้องทำจมูกหรือว่าทำหน้าอะไรให้เราเห็น แต่ไม่มี ไม่มีอาการนั้นยังทำงานตอนนี้ก็คือทานมังสวิรัติก็ทำไปทานปกติผักอะไรอย่างนี้ถึงเวลาเราก็ทานตามปกติ มันก็เหมือนเกิดความเคยชินจะรู้สึกว่าจะเห็นอาหารที่มีเนื้อนี่จะไม่นึกอยากจะทานเลย มันปฏิเสธไปเองโดยธรรมชาติแบบเหมือนจิตวิญญาณเราบอกอย่า อย่านะ อะไรอย่างนี้ยูจะเป็นอันตรายกับตัวยูเองมันบอกเราเองบางครั้งต้องฟังตัวนะว่า วันนี้อยากทานอะไรเขาจะบอกเลยตัวดิฉันเองนี่นะจะบอกอ๋อ วันนี้อยากทานสลัดอะไรอย่างนี้เราก็ต้องหามาทานให้ได้ ก็จะบอกให้ทราบนะคะว่าการบำบัดวิถีธรรมของท่านอาจารย์หมอเขียวนี่เป็นประจักษ์พยานที่เด่นชัดมากเลย ว่าเรารักษาด้วยวิธีธรรมชาติ นี่มันมหัศจรรย์ มันเป็นจริงขอให้ปฏิบัติด้วยตัวเอง แล้วท่านจะเห็นผลเองแล้วปรากฏว่าน้ำตาล เบาหวาน ลดลงเลยค่ะ เธอก็มาบอกว่าตอนนี้ไม่ได้ฉีดยาอีกแล้วเขาบอกเขาลดไปหมดทุกอย่างแล้ว ปัจจุบันนี้หน้าเบี้ยวหาย ตอนนี้แกสวย ยิ้มตลอดเวลา ไปไหนก็ยิ้มทักทายเพื่อนฝูงเธอมีความสุขมากเลย