ดาวน์โหลดเอกสารใบสมัคพรรคสัมมาธิปไตย กดที่นี่  ดูขั้นตอนการสมัคร กดที่นี่ 

ดาวน์โหลดเอกสารลงชื่อคัดค้านกาสิโนถูกกฎหมาย และไม่เห็นด้วยกับการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร กดที่นี่  ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ที่นี่

1. บันทึกการสัมภาษณ์กรณีศึกษากลุ่มตัวอย่างจาก ผู้ใช้การแพทย์วิถีพุทธสำหรับผู้ที่มาเข้าอบรมค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีพุทธ 5-7 วัน

ณ ศูนย์เรียนรู้สุขภาพพึ่งตนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง สวนป่านาบุญ 1 อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร และเครือข่ายแพทย์วิถีพุทธทั่วโลก

ระหว่างปี พ.ศ. 2552 – 2558

(ประเภทข้อมูลที่ 7 การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ ผ่านสื่อออนไลน์ยูทูบประเภทข้อมูลที่ 9 แบบบันทึกสัมภาษณ์แลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ และ ประเภทข้อมูลที่ 12 แบบสอบถามประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ เทคนิค 9 ข้อ)

ภาคผนวก ก ของวิทยานิพนธ์การศึกษาตามหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชายุทธศาสตร์การพัฒนาภูมิภาค (สาธารณสุขชุมชน)

ของ นายใจเพชร กล้าจน

กรณีศึกษาที่1.13
ชื่อพิชญ์ สมพอง
เพศชาย
จังหวัดขอนแก่น
โรคโรคมะเร็งปอด
วันสัมภาษณ์20 สิงหาคม 2555

ผมขอแนะนำตัว ผมชื่อ พิชญ์ สมพอง ครับ อายุ 68 ปีตำแหน่งก่อนที่จะมาถึงปัจจุบันนี้นะครับ เคยเป็นรองศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยรามคำแหง ตำแหน่งรองอธิการบดี ตำแหน่งคณบดีคณะมนุษยศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคำแหง อยู่รามคำแหงมา 35 ปี แล้วก็ปัจจุบันนี้ เป็นพนักงานมหาวิทยาลัย ตำแหน่งรองศาสตราจารย์ประจำวิทยาลัยการปกครองท้องถิ่น มหาวิทยาลัย ขอนแก่นนะครับ เหตุของการมาค่ายสุขภาพก็คือว่า ผมเล่าประวัติการเจ็บป่วยของผมเสียก่อนในชีวิตผมตั้งแต่เล็กจนกระทั่งอายุ 65 หรือกระทั่ง 68 นี่ไม่เคยเจ็บป่วยถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล อย่างมากก็เป็นไข้หวัดนะครับหรือท้องเสียนะครับเหตุ ก็เพราะผมออกกำลังกาย ในสมัยเป็นเด็กก็เป็นนักกีฬาของโรงเรียนนะครับ ออกกำลังกายมาตลอดแล้วก็เมื่อไปรับราชการทำงานก็ออกกำลังกายเป็นสมาชิกของฟิตเนสเซ็นเตอร์นะครับ แล้วก็ออกกำลังกายเรียกว่าสุขภาพสมบูรณ์ในชีวิตราชการผมไม่เคยใช้สิทธิ์เบิกค่ารักษาพยาบาลเลยเพราะมันไม่เจ็บป่วย นั่นก็คือข้อดีของราชการที่ได้กำไรจากผมนะครับ 

แต่มาปีนี้ไม่ใช่ปีนี้หรอกปลายปี 2554 นะครับความจริงในอดีตนี่ผมก็ไม่รู้ล่ะผมสะสมพิษ เมื่อมาเข้าค่ายหมอเขียวผมถึงรู้ว่าเออ ผมสะสมสิ่งที่เป็นพิษเข้าไปในร่างกายมาตลอดนะครับทำบาปหลายสิ่งเหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องปาณาติบาตนะ ศีลข้อ 1 นะครับ สมัยเป็นเด็กผมก็ประเภทนักล่ากิ้งก่า นกทั้งหลายเหมือนกัน เหมือนกับหมอเขียว ท่านอาจารย์หมอเขียวที่เล่านะครับเอามาเป็นอาหารนะครับไม่ได้เอามาเป็นอย่างอื่นนะ แล้วทีนี้ก็ในยุคที่ทำงานนี่นะครับ ผมสอนหนังสือนะครับ ไปที่ไหนลูกศิษย์เพื่อนพาไปนี่อาหารผมกินทุกอย่างครับ ไปทางเหนือซกเล็กก็กินนะครับ มาอีสานลาบก้อย กินมันหมดทุกอย่างเขาว่าอะไรอร่อยกินได้หมด ไม่มีปฏิเสธเรานี่ประเภทเหล้าขาวเหล้าอะไรที่ว่ามันดีกรีสูง ๆ นี่ผมกินได้หมด

ขึ้นไปบนดอยชาวเขาเขาบอกเหล้าเขามันแรง ผมก็ซัดกับเขานะ ถ้าหมอบอกว่าผมเป็นเกี่ยวกับมะเร็งทางตับ ผมจะไม่แปลกใจเลย แต่ปรากฏว่าในปลายปี 54 ผมไอนะครับ ไอมาก แล้วก็น้ำหนักก็ลดลงนะครับ กินข้าวไม่ได้ หรือเบื่ออาหาร ตอนนั้นน้ำท่วมกรุงเทพ ผมก็หลบจากกรุงเทพไปพักที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งผมทำงานอยู่ก็ถือโอกาสไปตรวจที่ขอนแก่นเขาบอกว่า ไปตอนแรกไปคลินิกก่อนหมอคือไอนี่ก็ไปคลินิกโรคหืดหอบใช่ไหมครับ ระบบอะไรทั้งหลาย เขาบอกว่าไม่ได้ต้องไปเช็คที่เอกซเรย์ก่อนคลินิกนี่ไม่ได้ พอไปเอ็กซเรย์นะครับปรากฏว่าเขาเจอว่าในปอดผมนี่น้ำมันเยอะนะครับ น้ำมันเยอะเขาบอก พอไปตรวจหมอก็นัด พอไปตรวจตอนเช้าหลังจากเอกซเรย์เสร็จหมอดูฟิล์มบอกว่าน้ำในปอดเยอะ สงสัยว่าการไอนี้จะมาจากน้ำในปอดนะ ทีนี้น้ำในปอดนี่มีเชื้ออะไรบ้างต้องเจาะดูผมก็ตกใจว่าเอ๊ะ เจาะปอดนี่ทำยังไงนะครับ เขาก็บอกว่าเอ้า ไปเจาะ ให้เซ็นอันนั้นไว้ ยินยอมพอผมอ่านผมก็ตกใจผมตอนแรกผมลังเลจะไม่เจาะ ทีนี้หมอก็บอกว่าไม่เจาะไม่เป็นไรนะ สะดวกที่ไหนก็ไปเจาะ ยังไงก็ต้องเจาะนะครับในที่สุดผมก็เจาะ เจาะเข็มแรกเขาเอาเข้าตรงนี้นะ (จับที่สะบักด้านขวา) เอาออกมาไม่ได้ เอาน้ำออกมาไม่ได้ เอาใหม่หน่อยนะลุง เอาอีกเข็มหนึ่งนะ เจ็บนิดเดียว ผมเจ็บแทบน้ำตาเล็ดเขาบอกเจ็บนิดเดียวนะ ปรากฏว่าเอาออกมาไม่ได้อีก เขาบอกว่าถ้าอย่างนั้นเขายอมแล้วต้องให้อัลตร้าซาวด์นะครับ เขาก็นัดวันที่ 1 ธันวาคม 2554 ผมก็ไปตามหมอนัด ปรากฏว่าหมอติดเคสผ่าตัดด่วนมาไม่ได้ ผมก็ถามเจ้าหน้าที่รังสีว่าอัลตร้าซาวด์นี่มันคืออะไร ผมรู้แต่ว่าใช้ระบบเสียงระบบอะไรเข้าไปเจ้าหน้าที่เขาก็บอกว่า อัลตร้าซาวด์นี่หมอผู้นัดต้องมาด้วย แล้วก็ต้องเจาะตรงนั้นเพื่อดูว่า เขาจะชี้ว่าเจาะตรงไหนจุดที่มันจะเอาน้ำออกมาได้

ผมก็เลยว่าตายแล้วหลบมาว่าไม่เจาะ 2 ครั้งแล้ว ยังมาเจอเจาะอีกเหรอ ถ้าอย่างนั้นผมไม่เอาแล้ว ผมก็ปล่อยทิ้งไว้ แต่น้ำหนักมันก็ลดลงเรื่อย ๆ กินข้าวไมได้ จนกระทั่งว่ามาถึงเดือนพฤษภาคมปี 2555 คือปีนี้ มันน้ำหนักลดลงมากนะครับผมอ่อนเพลีย พูดก็น้ำเสียงก็เปลี่ยนไปนะครับ แล้วก็เดินก็ไม่ไหวมันอ่อนล้าเพลียนะครับ เรียกว่าทีนี้มันก็พอดีมีเพื่อนอาจารย์บอกว่าไปโรงพยาบาลไหม ลูกเขยเขาเป็นอาจารย์หมออยู่ที่นี่เขาจะดูแลให้ในที่สุดก็ไปนะครับ ไปเขาก็ให้ทำขั้นตอนเดียวกันกับที่ขอนแก่นแหละครับ เริ่มเจาะ ปรากฏว่าเขาก็ทำขั้นตอนเดียวกับที่ขอนแก่น เริ่มตั้งแต่เอกซเรย์แล้วก็เจาะปอดเจาะที่นั่น จะเอาน้ำออกมานี่ครั้งนี้ไม่ใช่ 2 ครั้ง เจาะ 3 ครั้ง ก็เอาออกมาไม่ได้ขนาดอัลตร้าซาวด์แล้วนะ ออกมาไม่ได้ที่สุด เขาบอกว่าต้องไปสแกนอีกทีหนึ่ง ใช้กล้องแล้วก็เจาะเข้าข้างหน้าผมนี่ (เอามือจับอกข้าซ้าย) 11 เข็มครับ ถึงเอาออกมาได้เอาออกมาแล้วเขาเอาไปพิสูจน์ แม้กระทั่งส่องกล้องเอาสายยางลงไปในรูจมูก ทางเดินหายใจ แล้วเขาก็เจอบอกว่าในปอดนั้นมันมีติ่งเนื้องอกออกมาขออนุญาตตัดติ่งเนื้อออกมาพิสูจน์ด้วยนะครับ ก็โอเคนะครับ ตัดออกมา เขาก็ในที่สุด นัดไปฟังผลนะครับ

เดือนมิถุนายนไปฟังผลเขาบอกว่ามันไม่ชัดเจน TB (Tuberculosis วัณโรค) ก็ไม่ใช่ อันอื่นก็ไม่ปรากฏแต่ว่า แต่เขาสงสัยสงสัยว่าจะเป็นเนื้อร้ายนะแต่ 50% เขาไม่ฟันธง เพราะฉะนั้นขอไปสแกนอีกทีหนึ่ง เข้าเครื่องใหญ่เบ้อเริ่มเลย ทีนี้สแกนออกมานะ เขาจะนัดไปฟังผลแต่เขาก็บอกว่าเขายังสงสัยอยู่ว่าจะเป็นเนื้อร้ายนะครับ ก็ของที่นั่นก็พิสูจน์ยังไม่ได้เขาต้องมีทีมวิเคราะห์ชันสูตรพร้อมกันทั้งมหิดลทั้งธรรมศาสตร์ทั้งอะไรต่าง ๆ นะครับ ก็ยังไม่ได้คำตอบ แต่ผมก็ไม่รอแล้วเพราะหมอเขาแย้มออกมาบอกว่า ถ้าเป็นเนื้อร้ายนะ ขั้นตอนผ่าตัดมันเลยมาแล้ว ต้องรังสีอย่างเดียวนะครับ ต้องเคมีพอผมได้ยินอย่างนั้น ผมเดินทางกลับบ้านนะ บอกลูกบอกเมียว่าถ้ารังสีหรือเคมีนี่พ่อไม่ทำนะ พ่อยอมตายดีกว่ามันจะเป็นยังไงก็ขอให้ไม่เข้าไม่ใช่รังสี แล้วพ่อขอใช้แพทย์ทางเลือกลองดูสิว่ามีแพทย์ทางเลือกอะไรอีกบ้างนะครับ 

พอกลับมาถึงบ้านผมก็ให้ภรรยาเสิร์ชจากข้อมูลในอินเตอร์เน็ตนะครับ ก็เจอหมอเขียวนะครับ เจอหมอเขียวที่ดอนตาลนะครับ มุกดาหารทีนี้พอดีมีเพื่อนผมซึ่งเคยรับราชการที่มุกดาหารที่อะไรต่าง ๆ เขาก็บอกว่าหมอเขียวนี่นะดี มีคุณภาพ เขาก็รับรองมาบอกว่าแต่ต้องเข้มนะ ต้องถือปฏิบัติตามนั้นนะ ผมก็บอกไม่กลัวนะเรื่องเข้มเรื่องอะไรกฎของระเบียบค่ายนี่ผมก็บอกลูกและภรรยานะ บอกว่าสมัครไปเลยโรงพยาบาลอำนาจเจริญนะครับ สมัครมาก็ผมเดินทางมาค่ายครั้งแรกวันที่ 15 กรกฎาคม แต่ค่ายเปิดวันที่ 16 ครับมาถึงที่นี่พอวันที่ 16 ผมมานี่หิ้วปีกมานะครับพี่น้อง มันเดินไม่ได้มันเพลียมาหิ้วปีกมานะครับ ก็มาเปิดวันแรกหมอเขียวก็พูดเรื่องจิตใจเรื่องจิต เรื่องวิญญาณ เรื่องอะไรต่าง ๆ ทำให้ผมมีกำลังใจขึ้นเยอะนะ ต้องปลง ต้องอะไรต่าง ๆ หลักพุทธธรรมของหมอเขียวซึ่งเมื่อก่อนผมฟังพระเทศน์ฟังอะไรก็ไม่ได้ใส่ใจมาก แต่พอเรามามีสุขภาพอย่างนี้มาฟังหมอเขียวบอกเราต้องทำใจ เราต้องปลงนะครับนะ

วิธีเอาชนะโรคซึ่งผมยึดหลักหมอเขียว ก็คือข้อที่ 1 อาจารย์หมอเขียวบอกว่า

1. อย่ากลัวตาย บอกทุกคนเกิดมาตายแน่ ๆ แต่ตายช้าตายไวนะครับ อย่ากลัวตาย ต้องทำใจ

อันที่ 2. อย่ากลัวโรคนะครับ ถ้ากลัวโรคนี่โรคมันยิ่งจะทำจิตใจเราอ่อนแอ เรายิ่งจะแพ้มันนะ ผมชอบใจอาจารย์หมอเขียวบอกว่า เราไม่มีทางแพ้โรค อย่างมะเร็งนี่ อย่างดีที่สุดเราก็เสมอกับโรค การแพ้ก็คือทั้งโรคและตัวเราตายไปพร้อมกับมันนะ ถ้าเราหายจากโรคแสดงว่าเราชนะโรค ถ้าเราไม่หายนะครับหรือเราตายไปหมายความว่าเชื้อโรคมันก็ตายไปพร้อมกับเรา เพราะฉะนั้นอย่ากลัวโรคนะครับ ผมก็เลยบอกว่า มะเร็งเฮงซวยกูไม่กลัวมึงแล้ว นะครับ ต้องสู้นะครับ เป็นอะไรก็สู้ ผมก็มีกำลังใจ

หลักข้อที่ 3 เขาบอกว่า อย่างเร่งผล เพราะฉะนั้น ทั้งภรรยาและก็ผู้ดูแลภรรยาผมเขาก็ดีอย่างหนึ่ง แต่ก่อนคิดว่าเขาไม่รักเราหรอก แต่พอเราเจ็บป่วยเราถึงรู้ว่ารัก เขาหาผู้ช่วยมาคนหนึ่งมาช่วยหิ้วปีกนะครับ มาดูแลวันนี้เขาไม่อยู่ครับ เขาไปสอบเป็นกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ ก็นั่นแหละก็เลยมาครั้งที่ 1 นะครับ เชื่อไหมหมอเขียวพูดทุกท่านมีคู่มือแล้วนะครับยา 9 เม็ดนี่ทุกท่านมีแล้วก็รู้แล้วนะ ไม่ต้องรอไปถามซื้อ อยู่ในนี้ในหนังสือหน้า 9 ในคู่มือนะครับนะ ผมก็ทำตามนี้นะครับ ทั้งอาหารจากข้างนอกอะไรทั้งหลายนี่ ทั้งผู้ช่วยทั้งอะไรต่าง ๆ ก็ซื้อมาเสริมเขากลัวผมกินไม่ได้ ผมบอกผมไม่กิน จะกินตามระเบียบของค่าย เขามีอะไรจะกินดูสิ วันนั้นกินส้มตำมื้อเที่ยง 16 กรกฎานะ อร่อยที่สุดนะครับ มันต้องกิน กินไม่ได้มันก็ต้องฝืนกินเพราะเราอยากหายจากโรคนี่ครับ นะครับกินอาหารตามนั้นเป๊ะนะครับ จัดอาหารให้ 3 มื้อ เรากินตามนั้นเป๊ะ ระบบปรับสมดุลด้วยพืชสมุนไพรสีเขียวสมุนไพรฤทธิ์เย็นสด ก็กินตั้งแต่วันแรกนะครับ กัวซานะ ระบบขูดพิษทำตั้งแต่วันแรกนะครับ ทีนี้การล้างสารพิษดีท็อกซ์ลำไส้ วันแรกยังไม่กล้านะ แต่ว่าเคยทำมาก่อนแล้วนะ แต่ไม่ได้ทำที่นี่ยังไม่กล้า

แต่พอวันที่ 2 นี่เออ ไปลองทำดูนะครับ ลองทำดูนะครับ แต่ยาอีกเม็ดหนึ่งที่ทางทีมค่ายจิตอาสาแนะนำ คือ โออิฉี่คือเยี่ยวนะครับนะ ฉี่ของเรานี่นะครับหมอเขียว อาจารย์หมอเขียวท่านก็พูด บอกว่ามันไม่มีพิษหรอกของเราเองกินเข้าไปมันเป็นยานะครับ ผมยังไม่กล้านะครับ ยังไม่กล้า วันที่ 1 ฟังแล้วก็มันดูยังกลัวอยู่ยังสะอิดสะเอียนอยู่ วันที่ 2 ไอ ไอแล้วมันมีเสลดด้วยนะครับ เสลดออกมานี่ไอถี่ด้วยนะครับ ทีนี้ไอยังไงก็ไม่หยุด แต่ว่าอย่างอื่นนี้มันพอเริ่มมองเห็นอาการดีขึ้นแล้ว

พอวันที่ 3 นี่ผมบอกว่า อ้าว ลองสิโออิฉี่นี่ว่าเป็นยังไงนะครับ ก็ผู้ช่วยผู้ดูแลเขาก็ไปบอก เอ้า อาจารย์ฉี่ใส่อันนี้นะ เสร็จแล้วอาจารย์ลองกินดูสิออกมาประมาณครึ่งแก้วนะครับ ผมก็อม ๆ อมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็กลืนลงไปนะครับพอเขาเผลอหน่อย อันที่ 2 ผมไปบ้วน แอบไปบ้วนทิ้งตรงโน้นนะครับ ปรากฏว่า เออ พออยู่ที่ค่ายก็คิดว่าอยู่ที่ค่ายก็กินเฉพาะอยู่ที่ค่ายนะ กลับไปที่พัก ก็ไม่กิน ทั้งอะไรทั้งหลาย ผู้ดูแลทั้งอะไรก็บอกว่าอาจารย์ต้องกินนะ ภรรยาบอกพี่ต้องกิน เราก็ไม่กล้า แต่พอมาที่นี่ปั๊บ กิน นะครับกิน แต่กลับไปบ้านไม่กินไม่กิน ไอมันก็ไม่หายสักทีนะ ท่านรู้ไหมว่าพอวันที่ 5 วันที่ 6 นี่ ผมเริ่มกินได้ ฉี่วันหนึ่งนี่ 3 ครั้งผมกินทั้ง 3 ครั้งเลยนะครับ หลังอาหารก็ว่าได้นะครับ ปรากฏว่าอาการไอนี่มันหายไปนะครับไม่มีเสลดนะครับ เพราะฉะนั้นพ่อแม่พี่น้องผู้ใดที่มีอาการคล้ายผมนี่ ให้ลองดูนะครับ ตอนผมไปห้องน้ำมาค่ายครั้งที่ 2 นี่ มีเด็กหนุ่ม 2 คน มายกมือไหว้ผมแล้วบอกผม ต้องขอบคุณลุงนะที่แนะนำบอกว่าผมมีใจกล้าหาญที่ดื่มปัสสาวะของตนเองได้ เพราะแรงบันดาลใจจากลุงว่าอย่างนั้น ผมก็ว่าเออขอกุศลผลบุญจงเป็นส่วนดีไปด้วยนะครับ เพราะฉะนั้นท่านใดวันนี้วันที่ 3 แล้วนะครับ ท่านยังไม่ได้ดื่มโออิฉี่นี่ จงทดลองเสีย ถ้าท่านไม่ทดลองท่านจะไม่เชื่อว่ามันดีจริงหรือไม่นะครับ 

ส่วนยาเม็ดที่ 4 เรียกว่าแช่มือแช่เท้า ผมก็เบื่อมันต้องคิวใช่ไหมครับ คิว ทั้งภรรยาทั้งอะไรก็บ่นว่ามาแล้ว คือมันตอนนั้นอากาศมันก็หนาวด้วย ตอนนั้นฝนก็ตก แต่ว่าตอนหลังมานี่การแช่มือแช่เท้านี่มันระบายพิษออกนะครับ คือหลังจากฟังแล้วก็อ่านด้วยว่าทั้ง 9 เม็ดนี่นะครับ ล้วนแต่เป็นการระบายพิษออกจากร่างกายทั้งสิ้น ที่เราเจ็บป่วยทุกวันนี้นะตามหลักแพทย์วิถีธรรมที่อาจารย์หมอเขียวท่านพูดแล้วก็ใคร ๆ มาที่นี่ก็รู้ว่าท่านชี้ทางให้เราเท่านั้นถ้าเราไม่เดินเราไม่มีทางหายไปจากโรคนะครับ ผมใช้อยู่เม็ดที่ 7 ที่ 8 ที่ 9 แล้วนะครับ แล้วก็ติดตามมาครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 ที่มาครั้งที่ 2 ก็บางทีมาครั้งแรกเราสุขภาพมันก็อ่อนล้าใช่ไหม ผมก็หลับไปบ้างอะไรบ้างบางทีอาจารย์หมอเขียวพูดหรือว่าวิทยากรพูดเราก็ฟังไม่ทันบ้างหรือหลับไปบ้าง

พอมาครั้งที่ 2 เราก็เก็บส่วนที่เราขาดตกบกพร่องไปนะครับ ครั้งนี้ครั้งที่ 3 นี่นะครับ แต่ก่อนนี้ภรรยาบอกให้หยอด หยอดตา หยอดหู หยอดจมูก มาหยอดทำไม มันไม่ใช่นั่นนี่ เราไม่ได้ตาเจ็บมันอยู่ที่ปอดนะ แต่มาฟังเมื่อวานนี้ ท่านรู้ไหมบอกว่าหยอดจมูกนี่มันจะเข้าไปในทำให้เสลดทำให้อะไรอยู่ในลำคอของเรานี่ออกมาด้วย ผมก็ถึงบางอ้อ เห็นไหมกว่าจะรู้กว่าจะอะไรต่าง ๆ มันต้องอาศัยเวลาเหมือนกัน ต้องทำนะครับ เพราะฉะนั้น ถ้าท่านไม่ทำแล้ว ท่านจะไม่มีทางที่สุขภาพจะดีขึ้นนะครับ เพราะอาจารย์หมอเขียวนี่พร้อมกับทีมงานสวนป่านาบุญนี่ บอกว่าสอนให้พวกท่านพึ่งตนเอง หมอที่ดีที่สุดในโลกคือตัวท่านเอง ถ้าท่านฟังเฉย ๆ แล้วท่านไม่ทำนะ กลับไปกี่ปีกี่ชาติก็ไม่มีทางหายจากโรค

อย่าคิดว่าที่นี่เป็นสถานที่รักษานะครับไม่ใช่ เป็นสถานชี้ทางให้เราพึ่งตนเองเท่านั้นครับ ถ้าผมเชื่อฟังหมอแผนปัจจุบัน แล้วก็ไปตามคำชี้แนะของญาติพี่น้อง ญาติพี่น้องทุกคนก็หวังดีนะครับ บอกไปโรคทุกอย่างปัจจุบันนี้หมอเขาเก่งรักษาหายได้ ผมบอกว่าผมไม่เอาฉายแสงกับเคมีนี่ไม่เอานะ เรื่องอะไรยิ่งมา มา 3 ครั้งนะครับครั้งนี้ยิ่งชัด ว่าการฉายรังสีเข้าไปการเอาเคมีเข้าไปนี่ มะเร็งมันไม่ได้หายนะครับมันตาย แต่ว่าเม็ดโลหิตขาวมันสร้างอันนั้นขึ้นมาปกป้องไม่ได้แล้ว มันก่อให้เกิดมะเร็งตัวใหม่ ยิ่งร้ายเหมือนยิ่งกว่าปรมาณูรังสีนี่นะครับ ผมก็เห็นชัด ผมก็สังเกตทุกครั้งนะเวลาไปเอ็กซเรย์นี่ ไม่มีหมอคนไหนที่ยืนอยู่กับคนไข้เลยเพราะรัศมีรังสี X นี่มันเป็นอันตรายนะพี่น้อง ฉายเข้าไปในเรานี่นะล้วนแต่เอาปรมาณูเข้าไปทั้งสิ้นนะครับ เพราะฉะนั้นจะมีเจ้าหน้าที่ระดับเด็ก ๆ ที่อยู่แล้วเขาก็ใส่หน้ากากสวมอะไรต่าง ๆ แต่หมอไม่มีหรอกครับที่ยืนอยู่บริเวณนั้น แล้วข้างนอกก็ยังเขียนไว้นะครับ บริเวณรังสีอันตรายห้ามเข้าใกล้ แล้วก็สตรีมีครรภ์อะไรทั้งหลาย เขาจะเขียนบอกไว้หมดเลยครับ นั่นคืออันตรายนะครับพี่น้องเห็นไหม เพราะฉะนั้นการฉายรังสีครับ มันไม่ได้ใช่การรักษาโรควิถีธรรมธรรมชาตินะครับ ตัวท่านเองนี่แหละคือทำให้มะเร็งหายครับ ขอบคุณครับ 

แบ่งปันประสบการณ์

การดูแลและเทคนิคที่ใช้

กรณีศึกษา 3.52 นางพรทิพย์ กลั่นงาน

กรณีศึกษาที่3.52ชื่อนางพรทิพย์ กลั่นงานเพศหญิงอายุ51 ปีอาชีพอาชีพเดิมแม่บ้านจังหวัดกรุงเทพมหานคร โรคหรืออาการ : มะเร็งปอด (ระยะที่ 1) วันที่เข้าค่าย 25-31 พฤษภาคม 2555 (ครั้งที่ 1) ที่ดอนตาล มุกดาหาร เก็บข้อมูลวันที่ 28 พฤษภาคม 2555 เมื่อปลายปี 2554...

กรณีศึกษา 2.92 คุณพวงเพชร ช่างซอ 

กรณีศึกษาที่2.92ชื่อคุณพวงเพชร ช่างซอ เพศหญิงโรคโรคมะเร็งปอดวันสัมภาษณ์28 ตุลาคม 2558 หากไปหาหมอแผนปัจจุบันจะต้องเสียเวลา เสียเงิน รวมทั้งอาจจะกดอาการเอาไว้ ทำให้เกิดการเรื้อรังเป็น ๆ หาย ๆ ต่อเนื่องยาวนานไปเรื่อย ๆ สำหรับมะเร็งปอดหากรักษาตัวที่กรุงเทพ ฯ...

กรณีศึกษา 1.107 คุณวราวุธ เต็งรัง

กรณีศึกษาที่1.107ชื่อวราวุธ เต็งรังเพศชายอายุ38 ปีจังหวัดตรังโรคโรคมะเร็งกระดูกวันสัมภาษณ์21 กุมภาพันธ์ 2556 คุณพ่อเป็นมะเร็งกล่องเสียงอยู่ 8 ปี รักษาแผนปัจจุบัน พึ่งเสียชีวิตเมื่อปี 2554 คุณพ่อรักษาโดยการฉายแสง ครั้งแรกมะเร็งหายไป หมอบอกว่ามะเร็งกล่องเสียงไม่ลุกลาม...

กรณีศึกษา 1.103 หมอทน (นามสมมติ)

กรณีศึกษาที่1.103ชื่อหมอทน (นามสมมติ)เพศชายอายุ38ประเทศสหรัฐอเมริกาโรคโรคมะเร็งปอดวันสัมภาษณ์26 สิงหาคม 2554 หมอเป็นมะเร็งปอด พอหยุดเนื้อสัตว์ อาการโรคก็ดีขึ้น เป็นเรื่องแปลกที่ไม่ทุกคนที่กินเนื้อสัตว์แล้วเป็นมะเร็ง ขณะที่บางคนเป็น หมออยากเป็นกำลังใจให้ทุกคน...

กรณีศึกษาที่ 1.40 แม่ชีภูษณิศา

กรณีศึกษาที่1.40ชื่อแม่ชีภูษณิศาเพศหญิงจังหวัดยโสธรโรคโรคมะเร็งปอดวันสัมภาษณ์31 มกราคม 2555 แม่ชีภูษณิศา: ขอนมัสการพระคุณเจ้า ขอร่วมอนุโมทนาบุญกับคุณหมอเขียว แล้วก็จิตอาสาทุกท่าน รวมทั้งทีมงานทุกท่านที่ได้จัดงานในวันนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี...