1. บันทึกการสัมภาษณ์กรณีศึกษากลุ่มตัวอย่างจาก ผู้ใช้การแพทย์วิถีพุทธสำหรับผู้ที่มาเข้าอบรมค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีพุทธ 5-7 วัน
ณ ศูนย์เรียนรู้สุขภาพพึ่งตนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง สวนป่านาบุญ 1 อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร และเครือข่ายแพทย์วิถีพุทธทั่วโลก
ระหว่างปี พ.ศ. 2552 – 2558
(ประเภทข้อมูลที่ 7 การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ ผ่านสื่อออนไลน์ – ยูทูบประเภทข้อมูลที่ 9 แบบบันทึกสัมภาษณ์แลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ และ ประเภทข้อมูลที่ 12 แบบสอบถามประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ เทคนิค 9 ข้อ)
กรณีศึกษาที่ | 1.33 |
ชื่อ | จรัญ พันธ์อุบล |
เพศ | ชาย |
จังหวัด | สุราษฎร์ธานี |
โรค | โรคมะเร็งลำไส้ |
วันสัมภาษณ์ | 5 กุมภาพันธ์ 2556 |
คุณจรัญ: ผมนายจรัญ พันธ์อุบล บ้านเดิมอยู่สงขลา ก็ตอนนี้ก็ไปทำงานอยู่ที่ สุราษฎร์ธานีส่วนรัฐสภาครับ
จิตอาสา: พี่จรัญไปทำงานอยู่ที่สุราษฎร์ธานี ตอนนี้อยู่ที่สุราษฎร์ธานีนะคะ พี่จรัญคะ พี่จรัญมีความเจ็บไข้ได้ป่วย มีปัญหาสุขภาพอะไรอยู่เป็นทุนเดิมคะ
คุณจรัญ: ผมก็มีในร่างกายก็มีอยู่หลายคดี แต่ว่าที่ตัดสินแล้วก็มะเร็งลำไส้
จิตอาสา: หลายคดีมันพัวพันกันมาก ตกลงคดีมะเร็งลำไส้ชนะเพื่อนนะคะ
คุณจรัญ: ครับ
จิตอาสา: ตกลงว่าเป็นมะเร็งลำไส้มานานแค่ไหนแล้วคะ
คุณจรัญ: คือที่เจอที่รู้มาครั้งแรกก็ประมาณเดือนกุมภา ปี 2555 ครับ
จิตอาสา: ภุมภา ปี 2555 ตอนนั้นที่พี่จรัญรู้ว่ามีปัญหาเรื่องของมะเร็งลำไส้นี่ไปตรวจที่ไหนคะถึงได้เจอแล้วหมอบอกว่ายังไงบ้าง
คุณจรัญ: ตอนนี้ที่เจอ 2555 นี่ตอนนั้นผมรู้แต่ว่าไม่ได้ไปตรวจ
จิตอาสา: อ๋อ รู้แต่ไม่ได้ไปตรวจ
คุณจรัญ: ที่มาตรวจจริง ๆ ก็มันเริ่มเจ็บ พอกินข้าวอิ่มแล้วมันเริ่มเจ็บที่ท้อง
จิตอาสา: นี่คืออาการที่เป็นใช่ไหมคะ
คุณจรัญ: ครับ
จิตอาสา: ทานข้าวเสร็จแล้วก็ปวดที่ท้องตอนนี้สำรวจนะคะทานข้าวเสร็จมีไหมปวดท้องบ้างหรือยังไม่มีนะคะ ค่ะ
คุณจรัญ: พอ พอทานข้าวพออิ่มแล้วเจ็บ เจ็บด้านซ้าย
จิตอาสา: เจ็บด้านซ้าย
คุณจรัญ: เจ็บด้านซ้าย พอเป็นมาสัก 2 อาทิตย์ก็ไปหาหมอ
จิตอาสา: เป็น 2 อาทิตย์ ตอนที่รู้สึกว่าปวดใช่ไหมคะ
คุณจรัญ: เริ่มปวดมากมา 2 อาทิตย์
จิตอาสา: ค่ะ เริ่มปวดมาก
คุณจรัญ: ก็ไปโรงพยาบาลก็ไปเอกซเรย์ดู ก็เจอลำไส้นี่ครับ ลำไส้มันพองอยู่ข้างหนึ่ง แล้วก็ท้องนี่ก็เริ่มจะบิดเบี้ยวไม่ได้รูป แล้วตอนนั้นก็หมอทางโรงพยาบาลท่าโรงช้างที่สุราษฎร์ ก็ส่งตัวไปที่โรงพยาบาลสุราษฎร์ก็ไป ไปถึงเขาก็ให้ไปส่องกล้องที่ลำไส้ ก็เจอแล้วก็ถ่ายรูปออกมานี่ ไปเจอ
จิตอาสา: ก้อนโตไหมคะ
คุณจรัญ: ก็ก้อนโต ก็หลายเซนอยู่ครับ
จิตอาสา: หลายเซนค่ะ
คุณจรัญ: หลายเซนอยู่ แล้วก็ตอนนั้นน่ะ เริ่มท้องผูก ก็ถ่ายมาเหมือนขี้แพะน่ะก็หมอบอกว่ามันตันไปแล้ว 60 %
จิตอาสา: ตันไปแล้ว 60 % นะคะ หมายความว่าเวลาที่ถ่ายออกมามันจะออกก้อนเล็ก ๆ แล้ว มันเหมือนกับไปเบียด ให้อุจจาระของเรานี่เล็กลงใช่ไหมคะ
คุณจรัญ: ครับ
จิตอาสา: เลยออกมาเป็นก้อนเล็ก ๆ แล้วค่ะตันไปแล้ว 60 % นะคะ
คุณจรัญ: ก็หมอส่องกล้องแล้วตัดชิ้นเนื้อไปตรวจปรากฏว่าก็บอกว่าตอนแรกนี่บอกว่าเป็นมะเร็งระยะที่ 1 แต่พอเข้าไปดูผลอีกครั้งหนึ่งหมอบอกว่าไปเริ่มไปไกลแล้ว ระยะที่ 3
จิตอาสา: โอ้แค่ระยะที่ 1 ทิ้งห่างแค่ไหนคะที่มันไปเลข 3 เลย
คุณจรัญ: ประมาณสัก 2 อาทิตย์
จิตอาสา: 2 อาทิตย์ไประยะ 3
คุณจรัญ: ครับ หมอเขาบอกว่าระยะ 3 แต่ว่าผมก็ไม่ค่อยเชื่อที่เขาไปผลการตรวจสอบนี่ระยะมัน ผมว่าระยะมันใกล้เกินไป
จิตอาสา: ระยะที่ 1 นี่ก้อนมันจะโตขึ้นนะคะขนาดประมาณสัก 2 เซนติเมตร พอระยะที่ 2 นี่ก็คือก้อนนี้มันจะโตขึ้นนะคะประมาณ 5 เซนติเมตร พอระยะที่ 3 ก็หมายถึงว่ามะเร็งนี่มันไปถึงต่อมน้ำเหลืองและมีการลุกลามแล้วนะคะ ค่ะอันนี้ในระยะเวลาเพียงแค่ไม่กี่อาทิตย์ก็ไประยะ 3 เราก็เลยคิดว่าหมออาจจะวินิจฉัยตอนแรกผิดเอาเป็นว่าตอนนี้รู้ก็คือว่ามะเร็งนั้นไปลุกลามไปแล้ว ไปยังต่อมน้ำเหลืองนะคะ แล้วหลังจากนั้นล่ะคะ
คุณจรัญ: หลังจากนั้นหมอก็นัดผ่าตัด
จิตอาสา: หมอนัดผ่าตัด
คุณจรัญ: ครับ
จิตอาสา: เวลาผ่าตัดมะเร็ง มะเร็งของลำไส้ใหญ่ค่ะ เวลาที่เขาผ่าตัดนี่ในส่วนที่มันมีปัญหาเรื่องของมะเร็งนี่เขาจะตัดลำไส้ส่วนนั้นออกทิ้งแล้วก็ทำทางเปิดอุจจาระให้ออกทางหน้าท้องชั่วคราว ก็เอาลำไส้ตรงส่วนที่ว่าจากกระเพาะอาหารนะคะแล้วลงไปที่ลำไส้เล็กนะคะ แล้วก็ต่อไปลำไส้ใหญ่ส่วนต้นลำไส้ใหญ่ส่วนกลาง แล้วก็ลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ถ้าเรามีปัญหาอะไรตรงไหนนี่ ลำไส้ค่อนข้างจะยาวมาก เพราะฉะนั้นถ้ามีปัญหานี่หมอก็จะตัดออกทิ้งโดยที่ไม่ได้เสียดายเลยนะคะเพราะว่ามันยาวมาก ฉะนั้นพอเขาตัดออกทิ้งปั๊บส่วนที่มันต่อกับลำไส้เล็กจากกระเพาะอาหาร มาลำไส้เล็กแล้วมาลำไส้ใหญ่ ส่วนนั้นเขาจะเปิดออกทางหน้าท้องแล้วก็อุจจาระที่ออกมานี่จะออกทางหน้าท้องแทนแล้วก็จะใช้ถุงรองรับอุจจาระเป็นตัวรองรับไว้นะคะ นั่นคือการรักษาของหมอแพทย์ปัจจุบัน ทีนี้ตอนนั้นคุณนัดใช่ไหมคะว่าเราจะต้องรับการผ่าตัดแล้วค่ะคุณจรัญตัดสินใจยังไงคะ
คุณจรัญ: ก็เขาให้ผ่า
จิตอาสา: ก็ต้องผ่าตัดกับเขาเลย
คุณจรัญ: ครับ
จิตอาสา: ค่ะ แล้วเป็นยังไงคะ หลังจากนั้นหมอผ่าตัดไว้นานแค่ไหนคะ แล้วเป็นอย่างไร
คุณจรัญ: ก็ไปผ่าตัดครั้งแรกหมอก็ไม่ได้บอก ผมนึกว่าผ่าตัดแล้วก็ตัดลำไส้ทิ้งแล้วก็เย็บกลับ
จิตอาสา: ค่ะเราไม่ได้นึกเลยว่าลำไส้จะโผล่อยู่ทางหน้าท้อง
คุณจรัญ: ไม่ทราบเลยครับ
จิตอาสา: ก็ตรงนี้ขออนุญาตเรียนนิดนึงนะคะว่า ถ้าหากว่าลำไส้ของเรานี่มีปัญหาแบบเจออุบัติเหตุลำไส้แตกหรือลำไส้โป่งพองเขาจะตัดแล้วก็ต่อก็คือเปิดมาทางหน้าท้องชั่วคราวแล้วก็เย็บติดกลับเข้าไปใหม่ แต่ถ้าเป็นมะเร็งนี้ ถ้าเปิดทางหน้าท้องแล้วก็จะถ่ายทางหน้าท้องแบบถาวรนะคะมันจะเป็นลักษณะนี้ถ้าหากว่าคนไข้ที่เป็นมะเร็ง ทีนี้คุณจรัญไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าจะต้องเปิดออกทางหน้าท้อง แล้วก็จะต้องถ่ายทางนี้ใช่ไหมคะ คุณหมอไม่ได้ให้ข้อมูลก่อนหน้านั้นเหรอคะ
คุณจรัญ: ไม่ได้ให้ข้อมูลครับ
จิตอาสา: โอเคตรงนี้ก็เป็นข้อมูลที่เราจะต้องรู้ด้วยนะคะ เวลาเราเข้าไปรักษาอะไร เรามีสิทธิ์จะขอข้อมูลได้นะคะ
คุณจรัญ: ตอนหลังก็หมออธิบายว่าเมื่อลำไส้เรามันมีปัญหาเขาก็ต้องตัดออก ทีนี้ถ้าจะอยากต่อตอนนั้นเลยมันก็เสี่ยง คือต้องรักษาให้หายก่อน ก็เลยเอามาถ่ายทางหน้าท้องแล้วก็รักษาด้านในให้หายก่อนถึงปิดได้ ก็ตอนนั้นเดือน ผมเข้าไปผ่าตัดเดือนสิงหา
จิตอาสา: ค่ะเปิดอยู่นานทางหน้าท้อง
คุณจรัญ: ก็สิงหาก็ออกจากโรงพยาบาลมาวันที่ 6 กันยายน หมอบอกว่าวันที่ 13 นี้ก็ต้องให้คีโม
จิตอาสา: ค่ะ ไปเป็นระยะต่อไปของการรักษา หลังจากผ่าตัดแล้วก็จะเป็นการให้คีโมนะคะ เป็นการใช้รังสีในการบำบัดค่ะ จะเป็นการใช้ยาเคมีบำบัดนะคะแล้วคุณจรัญรับคีโม ได้รับคีโมอยู่นานแค่ไหนคะ
คุณจรัญ: ไม่รับครับ
จิตอาสา: ไม่รับ
คุณจรัญ : ไม่รับก็ตอนนั้นเมื่อออกจากโรงพยาบาลวันที่ 6 ทีนี้ผมก็คุยกับเพื่อน
จิตอาสา: ต้องถามว่าคุณจรัญน่ะคิดยังไง พอหมอบอกว่าคีโมแล้ว ทำไมถึงได้ปฏิเสธการรับ คีโมคะ
คุณจรัญ: ก็ผมทราบ เคยมีข้อมูลมาก่อนแล้วว่า ถ้าฉีดนี่ตายไปเกินครึ่งครับ ก็เลยผมเลยว่าไม่เอาแล้วก็พอดีเพื่อนที่อยู่ที่สุราษฎร์ด้วยกัน คุณสุรวิทย์ คุณจันทร์แล้วก็น้องแอ๋วที่เป็นจิตอาสาที่นี่ก็อธิบายให้ฟัง ก็ตัดสินใจว่าไปหาหมอเขียวที่จังหวัดสงขลา
จิตอาสา: คุณจรัญรู้จักหมอเขียวมาจากในทีมที่นี่ใช่ไหมคะ
คุณจรัญ: ครับ รู้จากทีมที่นี่
จิตอาสา: แล้วทำยังไงต่อคะตอนนั้น
คุณจรัญ: ก็ไปหาหมอเขียวตอนนั้นคือผมกะว่าไม่รับคีโมแน่นอนแล้ว แต่ว่าที่เขาชวนไปหาหมอเขียวก็ยังไม่รู้วิธีการรักษาก็ยังวังเวงอยู่
จิตอาสา: ค่ะสำหรับการรักษาของแผนปัจจุบันนะคะเรื่องของการผ่าตัดกับการให้เคมีบำบัดนี่ หมอบางท่านก็จะเลือกว่าผ่าตัดก่อนแล้วค่อยให้คีโมทีหลัง ก็คือว่าพอผ่าตัดเอาส่วนที่เป็นมะเร็งออกแล้ว อาจจะมีชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่มันกระจัดกระจายอยู่ เขาก็จะให้เคมีบำบัดไปเพื่อว่าจะได้จัดการกับเซลล์เหล่านั้นนะคะ หรือหมอบางท่านก็อาจจะให้คีโมไปก่อน เพื่อว่าจะให้เซลล์นี่มันเกาะกลุ่มกันชัดขึ้นแล้วก็ผ่าตัดทีหลัง ทีนี้นี่เรื่องของการให้คีโมเข้าไปนี่นะคะ มันเป็นการรักษาแผนปัจจุบันที่ว่ามันเป็นสารเคมีที่ใส่เข้าไปในร่างกายแล้วมันไปยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ เพราะฉะนั้น
ไม่ว่าจะเป็นเซลล์ดีหรือเซลล์ร้าย มันก็จะยับยั้งหมดนะคะ แล้วหลังจากนั้น คุณจรัญบอกว่า
ไม่เอาคีโมแล้ว ก็ตัดสินใจที่จะไปดอนตาล
คุณจรัญ: ไม่ครับ ไปที่สงขลา
จิตอาสา: ไปที่สงขลานะคะ ไปสงขลาค่ะ
คุณจรัญ: ครับก่อนที่จะไปนี่คือหมอทางที่เขาผ่าตัด ท่านก็บอกว่ามีการรักษาด้านสมุนไพรที่ไหนที่เขาบอกว่าอะไรอย่างนี้ เขาบอกอย่าไปเชื่อ
จิตอาสา: ค่ะ แต่เราก็อยากจะเลือก
คุณจรัญ: แล้วอีกที่หนึ่งเขาบอกว่าถ้ารักษาแบบสมุนไพรตายทุกราย ก็ตอนนั้นก็กลัว ๆ ก็ตัดสินใจว่าวันที่ 7 นี่ขับรถไปเองเลยไม่กลัวอะไรแล้ว ตายเป็นตาย
จิตอาสา: ก็คือคำว่าสมุนไพรนี่ เขาอาจจะมองแค่สมุนไพรตัวใดตัวหนึ่ง ซึ่งมันไม่เหมือนกับกรณีของการใช้เทคนิคการดูแลตัวเองแบบที่ของหมอเขียว ซึ่งจะใช้หลาย ๆ ศาสตร์เข้ามาบูรณาการร่วมกันนะคะ เพราะฉะนั้นของเรานี่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นสมุนไพร แต่ของเรามีเทคนิคในการบำบัดตัวเองเยอะแยะหลายวิธี ตั้ง 9 เทคนิคนะคะ ตอนนี้ก็เลยคุยกับเพื่อน ๆ แล้วว่าจะลองรักษาโดยวิธีนี้ดูนะคะคุณจรัญก็เลยเข้าไปที่สงขลาใช่ไหมคะ
คุณจรัญ: ไปที่สงขลาก็ไปถึง
จิตอาสา: ทำอะไรก่อนบ้าง พอไปถึงเขาให้ทำอะไรบ้างคะ
คุณจรัญ: ผมไปถึงตอนเย็นแล้วเขาก็อบรมกันแล้ว ผมก็นั่งฟังอยู่ด้านนอก นั่งฟังก็ไม่ได้เข้าใจอะไรมาก
จิตอาสา: เชื่อไหม ฟังแล้วเชื่อไหมคะ ตอนนั้นคุณหมอไปด้วยไหมคะคุณหมอได้ลงไปในค่ายด้วยไหมคะ
คุณจรัญ: คุณหมอก็ไป ไปวันหลังแต่ว่า
จิตอาสา: คุณหมอไปวันหลัง
คุณจรัญ: แต่ว่าทีนี้ผมได้โทรคุยกับเพื่อน ๆ หลาย ๆ อย่างก็หลายคนก็เริ่มจะเชื่อพอมีทางทีจะรักษาแล้ว
จิตอาสา: รู้สึกว่ามีทางแล้ว
คุณจรัญ: เริ่มมั่นใจบ้างแล้ว ทีนี้ก็มีอยู่วันหนึ่งคุณหมอท่านก็ไปเยี่ยมคนป่วยแล้วก็ไปอธิบายให้ผมฟังเรื่องการรักษา ตอนนี้ก็เลยมั่นใจที่จะไม่ไปรับคีโม
จิตอาสา: มั่นใจว่าเรามีทางเลือกใหม่แล้ว
คุณจรัญ: มีทางเลือกใหม่ก็มั่นใจวันนั้น ก็คุณหมอท่านก็ถามว่าจะไปรีบคีโมไหม ผมบอกว่าไม่ไปแล้ว ก็อยู่รักษากับหมอเขียวนี่แหละ
จิตอาสา: ใช้เวลาในการดูแลตัวเองอย่างนี้นานแค่ไหนคะ
คุณจรัญ: ก็เริ่ม ผมเริ่มรักษาตามวิธี 9 ข้อนะครับ แต่ว่าก็มีดีท็อกซ์นี่ไม่ได้ทำเพราะว่าหน้าท้องมัน
จิตอาสา: ดีท็อกซ์ไม่ได้ทำนะคะ นี่ขนาดดีท็อกซ์ไม่ได้ทำ เพราะว่าลำไส้ของท่านนี่ถูกตัดเปิดออกทางน้าท้องใช่ไหมคะ
คุณจรัญ: ครับ
จิตอาสา: เพราะฉะนั้นถ้าจะดีท็อกซ์ ดีท็อกซ์ทางลำไส้ต้องผ่านทางหน้าท้อง ดีท็อกซ์ข้างล่างเพราะข้างล่างนี่มันไม่ได้ มันจะถูกตัดขาดไปแล้วใช่ไหมคะ
คุณจรัญ: ก็หลังจากนั้นก็รักษามาเรื่อย ๆ แต่ว่าหนักไปในทางด้านอาหารนะครับ ก็งดเนื้อสัตว์
จิตอาสา: เน้นเรื่องอาหาร งดเนื้อสัตว์ค่ะ
คุณจรัญ: งดเนื้อสัตว์ก็ตามที่คุณหมอท่านพูดว่า ถ้าเป็นมะเร็งแล้วไปกินเนื้อปลานี่โอกาสที่จะหาย 30 %
จิตอาสา: 30 % ถ้ากินเนื้อปลา หาย 30 %
คุณจรัญ: แต่ถ้ากินพวกเนื้อวัวเนื้อควายนี่เนื้อสัตว์ใหญ่ ก็โอกาสที่จะหายก็ 0 %
จิตอาสา: เนื้อสัตว์ใหญ่ขึ้นมา 0 % คุณหมอบอกไว้อย่างนั้นใช่ไหมคะ
คุณจรัญ: ก็ผมก็กลัวก็เลยไม่กินเลย กินมะเขือต้มพวกผักบุ้ง
จิตอาสา: ได้มะเขือต้ม ผักบุ้งลวก
คุณจรัญ: ก็ได้ลูกสาวกับแฟนก็ช่วยดูแลอย่างดีก็
จิตอาสา: เรื่องหลัก ๆ นี่คือเรื่องของอาหารใช่ไหมคะที่ทำอยู่เยอะ
คุณจรัญ: เรื่องอาหารครับ
จิตอาสา: น้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสดได้ใช้ไหมคะ
คุณจรัญ: สมุนไพรฤทธิ์เย็นสดใช้ครับ
จิตอาสา: น้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสดดื่มบ่อยแค่ไหน
คุณจรัญ: ทุกวันครับ
จิตอาสา: ทุกวันค่ะ ทุกมื้อค่ะ แล้วเทคนิคอื่นล่ะคะ กัวซาใช้ไหมคะ
คุณจรัญ: ใช้ครับ
จิตอาสา: ใช้เทคนิคกัวซาให้ใครขูดให้คะขูดเองหรือให้ลูกสาวหรือคุณภรรยา
คุณจรัญ: ครับ ก็ช่วยกัน 3 คน
จิตอาสา: อ้อนะคะผลัดเวรกันขูดเลยนะคะ
คุณจรัญ: ครับ
จิตอาสา: ค่ะ ขูดกัวซาแล้วดูแลตัวเองด้วยวิธีไหนอีกคะ
คุณจรัญ: นอกนั้นก็
จิตอาสา: แช่มือแช่เท้าได้ทำไหมคะ
คุณจรัญ: แช่มือแช่เท้าก็แฟนเขามา มาฝึกที่ได้มาที่นาโพธิ์
จิตอาสา: มีแฟนไปเข้าคอร์สที่สวนป่านาโพธิ์ด้วยแสดงว่าแฟนก็เชื่อ และที่เขาหันมากัวซาให้เราเขาก็เชื่อในเรื่องของการดูตัวเองแบบนี้
คุณจรัญ: ครับ
จิตอาสา: ค่ะ
คุณจรัญ: ก็ได้ทาน ดีท็อกซ์อะไรก็แฟนเขามาฝึกแล้ว ก็ไปรักษาชาวบ้านที่บริเวณใกล้เคียงด้วย
จิตอาสา: อ้อ สาธุค่ะ
คุณจรัญ: ก็เหมือนกับทางจิตอาสาก็บอกว่า ที่ดีท็อกซ์เวลามันออกมานี่ มันก็เหม็นเหมือนส้วมแตกเลย
จิตอาสา: เหม็นเหมือนส้วมแตก ดีท็อกซ์ ไม่รู้ใครส้วมแตกแถวนี้
คุณจรัญ: ก็มันก็มีเรื่องตลก ๆ ที่นั่นนะ ก็บอกว่า ตำรวจก็บอกว่าแฟนเขาเวลาตดแล้วเหม็นเหมือนเวลาอยู่ในโลง
จิตอาสา: บอกว่าอย่างนั้นเลยใช่ไหมคะ
คุณจรัญ: ครับ ก็บอกแฟนเขาก็ยอมรับแต่หลังจากที่ได้ดีท็อกซ์แล้วมันหายหมด แล้วตัวเขาจะโล่ง
จิตอาสา: เปลี่ยนอาหารด้วยไหมคะ นอกจากดีท็อกซ์แล้ว ได้ลดอาหารพวกเนื้อสัตว์ลงไปไหมคะ นี่ขนาดใช้ดีท็อกซ์อย่างเดียว
คุณจรัญ: อย่างเดียวครับ ก็แนะนำไปก็หลายคนเหมือนกัน
จิตอาสา: ค่ะใช้เวลาในการดูแลด้วยเทคนิคการดูแล 9 ข้อแบบของคุณหมอที่สำคัญนะคะเรื่องของจิตในด้วยนะ คุณจรัญคิดยังไงตอนที่หมอบอกว่าเป็นมะเร็งคุณจรัญคิดยังไงคะ
คุณจรัญ: คือผมก็ตอนที่หมอบอกนี่ ตอนแรกหมอไม่กล้าบอก เขาถามว่ารู้ไหมว่าเป็นอะไร ผมบอกมะเร็งลำไส้ ก็บอกไม่กลัว จะต้องกลัวทำไม
จิตอาสา: เวลาที่คุณหมอเขาจะบอกความจริงเรื่องใครเป็นมะเร็งเขาเหมือนคำพิพากษานะ เขาก็จะต้องดูดี ๆ ว่าคน ๆ นั้นน่ะพร้อมที่จะรับข้อมูลนี้หรือยัง พร้อมที่จะรับรู้พร้อมที่จะรู้หรือยังว่าตัวเองนี่เป็นมะเร็งนะคะ เพราะฉะนั้นหมอเขาก็จะไม่กล้าบอกง่าย ๆ เหมือนกันต้องดูสภาพความพร้อมของคนไข้ด้วย แสดงว่าคุณจรัญนี่ทำใจไปแล้วอาจจะใช่เรื่องนี้นะคะ คุณหมอก็เลยยอมที่จะบอก พอคุณหมอบอกว่าเป็นมะเร็งตอนนั้นนี่ถ้าเป็นแบบนี้นี่กลัวไหม พอรู้ว่าเป็นมะเร็งตอนนั้นกลัวไหมคะ
คุณจรัญ: ถามว่ากลัวไหม มัน คือตอนผมว่าผมรู้ก่อนแล้วว่าเป็น ก็ทำใจไว้แล้ว
จิตอาสา: อ๋อ ทำใจไว้แล้ว
คุณจรัญ: ไม่ได้ตกใจอะไรเตรียมที่จะรักษาแล้วก็ไม่ได้กลัวอะไรมาก
จิตอาสา: นี่เป็นการตั้งรับสถานการณ์ที่ดีนะคะ ไม่ว่าเป็นโรคอะไรมาก็ตามนะคะ ถ้าเราเตรียมใจเอาไว้แล้วนี่เราก็จะไม่กลัวมัน เหมือนคุณหมอบอกเราใช่ไหมคะ อย่ากลัวโรค อย่ากลัวตาย อย่าเร่งหายอันนี้ล่ะค่ะเรื่องของจิตใจเป็นเรื่องที่สำคัญจริง ๆ ฉะนั้นถ้าหากว่าคุณจรัญกล้าที่จะเผชิญอย่างนี้นะคะ ก็เหมือนพร้อมที่จะดูแลตัวเองให้ดีขึ้น ไม่ได้พร้อมจะตายหรอกนะ พร้อมจะดูแลตัวเองเพื่อที่จะให้ตัวเองดีขึ้นใช่ไหมคะ คุณจรัญใช้เวลาในการดูแลตัวเองนานแค่ไหนนะคะ ตั้งแต่เดือนกันยายนที่ออกมา
คุณจรัญ: เดือนกันยาแล้วก็ หลังจากนั้นก็ประมาณเกือบ 3 เดือน
จิตอาสา: เกือบ 3 เดือนค่ะ
คุณจรัญ: 3 เดือนก็
จิตอาสา: คุณหมอนัดหรือเปล่าคะ หรือว่า
คุณจรัญ: หมอนัดให้ไปตรวจเลือด
จิตอาสา: หมอนัดให้ไปตรวจเลือด
คุณจรัญ: ตรวจเลือดปรากฏว่าปกติ
จิตอาสา: ค่ะ ตรวจเลือดแล้วปรากฏว่าปกติ
คุณจรัญ: ตรวจเลือดเสร็จ
จิตอาสา: ตอนนั้นไม่ได้รับคีโมแล้วคุณหมอเขาก็ยังดูแลเรานะคะ คุณหมอก็ไม่ได้ใจจืดใจดำว่าไม่รับคีโมก็ไม่ดูแลต่อ ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ เอาล่ะทีนี้ 3 เดือนค่ะ
คุณจรัญ: ตรวจเลือดเสร็จก็ไปที่เขาเรียกว่าสแกน ไปเอ็กซเรย์ในอุโมงค์
จิตอาสา: ค่ะ ทำ MRI
คุณจรัญ: ก็ฟังผลตรงนั้นแต่ผมนี่ค่อนข้างจะมั่นใจมากเลยว่า
จิตอาสา: ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการที่จะตรวจดูว่าเรายังมีอะไรผิดปกติในร่างกายบ้างใช่ไหมคะ ผลการตรวจเป็นยังไงคะ
คุณจรัญ: ผลการตรวจก็ไม่มี
จิตอาสา: ไม่มีอะไร
คุณจรัญ: หมอก็นัดว่าผ่าตัดกลับ เตรียมปิดทวารเตรียม
จิตอาสา: ปิดทวารเตรียมที่ออกทางหน้าท้อง ภายในเวลาแค่ 3 เดือนใช่ไหมคะ สุดยอดมากเลย
คุณจรัญ: ไม่ถึง 3 เดือน
จิตอาสา: ไม่ถึง 3 เดือน
คุณจรัญ: หมอก็งงครับ ตอนที่หมอเขาดูฟิล์มเอกซเรย์ผมว่า เขาก็งง
จิตอาสา: เขาคงงงว่านี่มันฟิล์มของคนเดิมหรือเปล่านะ ยังดีนะที่เห็นว่าลำไส้ขาดอยู่ช่วงหนึ่งเพราะไม่อย่างนั้นก็ไม่น่าจะใช่ของคุณจรัญแล้ว ไม่รู้ไปเอาของใครมา ทีนี้หลังจากที่พอว่ารักษาแล้วในช่วง 3 เดือนนั้นพอกลับไปหาคุณหมอ คุณหมอถามคุณจรัญไหมว่าไปทำอะไรยังไงมาตอนนั้นหมอรู้แล้วว่ามาหาหมอเขียว
จิตอาสา: อ๋อ หมอรู้แล้วตั้งแต่ไม่ไปรับคีโมใช่ไหม
คุณจรัญ: คือทางหมอเขาก็รู้จากทางในข่าวของเขา แต่ว่าเขาก็เวลาไปตรวจไปอะไรเขาก็ไม่ได้บอกว่าไปรู้มาจากนู้นก็หลังจากนั้นหมอก็นัดไปผ่าตัด
จิตอาสา: ค่ะ ผ่าตัดเย็บปิดกลับเข้าเหมือนเดิมภายในเวลาแค่ 2 เดือนกว่า ๆ ขนาดเป็นมะเร็งระยะที่ 3 ที่ลุกลามไปที่ต่อมน้ำเหลืองแล้วนะคะ ซึ่งเวลาที่ลุกลามไปที่ต่อมน้ำเหลืองแล้วมันพร้อมจะแพร่ไปกระจายไปทั่วทุกที่ไปทั่วร่างกาย ถ้าเกิดว่าเขาตัดออก ก็คือเอามะเร็งเฉพาะตรงส่วนที่มีปัญหาออก แต่ส่วนที่มันลุกลามไปที่ต่อมน้ำเหลืองแล้ว มันก็จะไปของมันได้นะคะถ้าเราไม่คีโมนะคะ แต่อันนี้คุณจรัญเขาเลือกที่จะหันมาดูแลสุขภาพโดยแนววิถีธรรมนะคะก็เลยทำให้ ทำให้ยาเม็ดนี้นี่มีอานุภาพมากกว่าคีโมมากกว่าเคมีอีกหลายเท่า แล้วก็ดีกว่ามากมาย เพราะเราไม่ต้องรับอาการข้างเคียงความทุกข์ทรมานที่เกิดจากการได้รับคีโมเข้าไปในร่างกาย ซึ่งมันจะร้อน มันไปเผาไหม้เซลล์ที่ดี ๆ ด้วยนะคะ เพราะฉะนั้นตรงนี้ล่ะค่ะที่ทำให้เป็นประสบการณ์ที่ดีที่เกิดขึ้นกับชีวิตคุณจรัญนี่ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีที่มีทางออกนะคะ แล้วก็สามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ตอนนี้ ตอนนี้สุขภาพของคุณจรัญเป็นอย่างไรบ้างคะ
คุณจรัญ: ตอนนี้ผมว่าสุขภาพผมก็มันแค่ตึง ๆ ที่แผล ส่วนอื่นก็ปกติหมด
จิตอาสา: ค่ะ ตึง ๆ ที่แผล
คุณจรัญ: การระบบขับถ่ายก็ปกติทานอาหารก็ปกติ
จิตอาสา: สุดยอดมาก ๆ เลย
คุณจรัญ: ก็ดีใจผมบอกแล้วว่าผมมั่นใจกับคุณหมอตอนที่บอกผมที่นู้นน่ะครับทีนี้ผมก็ไปบอกกับเพื่อน ๆ ทางที่บ้านที่อยู่บ้างที่อื่นบ้าง บอกว่าถ้าใครไปรับรักษากับหมอเขียวนี่ต้อง ก็คือขออย่างเดียวคือให้เชื่อที่หมอบอกตรงนี้แล้วปฏิบัติตาม ผมว่าหาย
จิตอาสา: ตอนนี้ก็ได้ทางออกที่ดี สำหรับตัวเองนะคะ
คุณจรัญ: ครับ
จิตอาสา: ค่ะ ก็ต้องขอขอบคุณคุณจรัญมากเลยนะคะที่มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์วันนี้ ต้องถามว่าจริง ๆ แล้วนี่ตอนที่เขารับข้อมูลมาคราวแรกปั๊บ แล้วก็ตัดสินใจที่จะมาดูแลกัน ดูแลด้วยการแพทย์วิถีธรรม ตอนนั้นคุณจรัญก็ที่เล่าให้ฟังเมื่อกี้คุณจรัญก็เข้าไปเนื่องจากว่าสมาชิกนี่ได้บอกข่าวบอกต่อกันไปใช่ไหมคะ แต่พอเจอตัวคุณหมอจริง ๆ คุณหมอมาให้ความมั่นใจมากยิ่งขึ้นก็ทำให้มีความมั่นใจ ตรงนี้แหละค่ะจิตใจที่มีพลังและมีศรัทธาต่อการดูแลตามแนวการแพทย์วิถีธรรมนี่ค่ะ ที่ทำให้ภูมิต้านทานในร่างกายของคุณจรัญก็ดีขึ้นนะคะ บวกกับว่าปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลตัวเอง มาเป็นแนวของการแพทย์วิถีธรรมก็เลยทำให้สุขภาพดีจนถึงวันนี้นะคะ ขอบคุณคุณจรัญมากนะคะตรงนี้ค่ะ ขอเจริญธรรมค่ะ