1. บันทึกการสัมภาษณ์กรณีศึกษากลุ่มตัวอย่างจาก ผู้ใช้การแพทย์วิถีพุทธสำหรับผู้ที่มาเข้าอบรมค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีพุทธ 5-7 วัน
ณ ศูนย์เรียนรู้สุขภาพพึ่งตนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง สวนป่านาบุญ 1 อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร และเครือข่ายแพทย์วิถีพุทธทั่วโลก
ระหว่างปี พ.ศ. 2552 – 2558
(ประเภทข้อมูลที่ 7 การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ ผ่านสื่อออนไลน์ – ยูทูบประเภทข้อมูลที่ 9 แบบบันทึกสัมภาษณ์แลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ และ ประเภทข้อมูลที่ 12 แบบสอบถามประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ เทคนิค 9 ข้อ)
กรณีศึกษาที่ | 1.34 |
ชื่อ | อารีพัฒน์ |
เพศ | ชาย |
โรค | โรคมะเร็งตับ |
วันสัมภาษณ์ | 5 เมษายน 2555 |
คุณอารีพัฒน์: เจริญธรรมสำนึกดีครับท่านครับขออนุญาตนิดนึงนะครับ ขออนุญาตว่าเวลาผมพูดนี่ผมจะไม่พูดเหมือนคนป่วยสักเท่าไร ผมจะพูดเสียงดังนะครับผมเป็นไวรัสบีลงตับเป็นพร้อมกันกับ… เป็นก่อนกับยอดรักครับ เชื่อหรือไม่ว่าหมอที่สถาบันที่กรุงเทพ ไม่ต้องระบุเนาะที่สถาบันที่กรุงเทพบอกว่าอายุผมจะอยู่ได้อีก 1-6 เดือนไม่เกิน 3 ปี ผมคีโมครั้งแรกปี 2549 ผมจะอยู่ 1-6 เดือน 1-3 ปี ผมก็บอกว่าเกินนั้นไม่ได้เหรอ ไม่ได้ไม่มีทาง ไม่มีทางรักษาหรอก เชื่อไหมนับปี 49 มาถึงปี 55 แล้ว 6 ปี ปีนี้เป็นปีที่ 7 ผมก็ยังไม่ตายเลยครับท่านครับ ผมไม่ใช่เป็นโรคไวรัสบีเฉย ๆ นะครับ ไวรัสซี ตับแข็งมะเร็งตับ ผมน่าจะตายตั้งแต่ 3 ปีที่แล้ว เดี๋ยวนี้ 6 ปีแล้วครับ (นับนิ้วมือ) 49 50 51 52 53 54 ปีนี้เป็นปีที่ 7 มะเร็งไม่ได้ตายทุกคนด้วยโรคมะเร็งเสมอไปนะครับท่าน จะบอกอย่างนี้เลยนะครับคือ ผมไม่ได้บังคับให้ท่านตั้งใจฟังผม แต่ว่าบอกตรง ๆ นะครับว่า เราเนี่ยไม่เคยรู้จักหมอเขียว บังเอิญนี่มันมีร้านมังสวิรัติร้านนึงอยู่ที่อุดรธานี ตรงสี่แยกบ้านห้วยเขาเรียกสี่แยกบ้านห้วยเพราะผมทำงานที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดที่อุดร ผมก็ไปจับดูเล่มละร้อยบาท เล่มละร้อยสิบบาท เล่มละร้อยห้าสิบ มีเล่มนี้สิบสองบาท (ชูหนังสือ) เออ มันน่าซื้อสิบสองบาทก็เลยซื้อมาหน้าที่สิบสองไลน์ที่สามจำได้ชื่อแม่ส้มจีน หรืออะไรยิ้มใส อะไรนี่แหละ ยังไม่เปิดแต่ว่าน่าจะจำแม่นนะครับ เล่มละสิบสองบาท หน้าที่สิบสอง ไลน์ที่สามเป็นมะเร็งตับแล้วไปกินน้ำใบย่านาง แล้วเห็นบอกว่าไปเอกซเรย์แล้ว มันฝ่อลงผมก็เลยปฏิบัติตามมาว่า เอ๊ะมันน่าจะได้ผลนะ บางทีก็อาย ๆ อ้าวพี่แกงหน่อไม้ทุกวันเหรอ ไม่กำละ 5 บาทก็ซื้อไปอย่างนั้นแหละ แต่วันนี้อยากจะบอก ผมคีโมมาแล้ว 7 ครั้ง ครั้งนี้ครั้งที่ 8 หมอนัดให้ผมไปคีโมวันที่ 13 กุมภาพันธ์บังเอิญผมขออนุญาตหมอบอกว่า ผมมีธุระสำคัญมาก สำคัญอะไรล่ะ ในเมื่อคุณ Early คุณออกจากราชการแล้ว สำคัญมากเลยครับ คุณต้องรีบมาด่วนเลยนะ ผลเลือดคุณสูงจังเลย ผมก็เลยตัดสินใจว่าระหว่างไปคีโมวันที่ 13 กับวันที่ 13 มาเข้าค่ายนี่ผมเลยเลือกเอาเลือกเอา ท่านครับผมเรียนอย่างนี้นะครับว่าท่านไหนเคยคีโม ไม่ต้องยกมือครับ รู้ว่ามันทรมานขนาดไหนเวลาเข้าไปในห้องคีโม เวลาเข้าไปในห้องคีโมครับเราไปนอนอยู่ในอุโมงค์ เหมือนเข้าไปในเมรุน่ะเหมือนอยู่ในโลงศพแล้วมีสวิตซ์กดไฟ แล้วก็ตื๊ดขึ้นมา แล้วก็ไหลเข้าไปในช่องอุโมงค์นะครับ ผมคิดว่าวันนึงต้องขึ้นเมรุก็ต้องน่าจะเป็นแบบนี้แหละผมก็คิดในใจว่า เราเป็นรายต่อไปเราน่าจะเป็นรายต่อไปจริง ๆ แล้วท่านครับ ท่านคิดอย่างผมได้ไหมเมื่อก่อนรบกวนครอบครัวมากเลย เราต้องตายเราจะตาย ถ้าเราตายแล้วรูปที่ตั้งหน้าศพไม่ต้องตั้งนะ ธรณีกรรแสง ไม่ต้องเปิดนะโลงศพไม่ต้องมีลายทองลายอะไรนะ เอากล่องมาใส่ แล้วขึ้นเมรุเผาเลยไม่ต้องเอาไว้ศาลาผมบอกขนาดนั้นครับลูกสาว 2 คนที่เรียนอยู่กรุงเทพร้องไห้ขนาดนั้นเลยนะเอ๊ะ เราอยู่มามันก็ยังไม่ตายนี่เลยมาฟังซีดีหมอเขียวที่ทางอำเภอสว่างแดนดินกับเจริญศิลป์มันห่างกัน 17 กิโลเมตร เขาเอาซีดีให้ ก็มาฟังคุณหมอเขียวบอกว่าคนที่เป็นมะเร็งเนี่ย คุณสมมติก็แล้วกันว่า มันมีบ้านหลังนึงที่มันมีหนูเกิดเราจะฆ่าหนูแล้วคุณเผาทั้งบ้านเลย แมวที่มันจะจับหนูนี่เป็นเม็ดเลือดขาวมันฆ่าแมวด้วยฆ่าหนูด้วย แล้วก็เผาบ้านด้วยอ้าว หมออยากให้ผมตายเหรอทำไมฉีดเข้าไปในตับผมประจำเลยใช่ไหมครับ ผมเลยตัดสินใจว่าถ้ามาถ้าไปหาหมอผมนอนคีโมแล้วครับนี่แต่ผมยังมีพลังเดินอยู่ ไม่เคยบอกใครเลยว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายตั้งแต่ปี 2552 แล้วผมก็ปฏิบัติตัวเรื่อยมา จากใบย่านางเล่มนี้ เล่มละ 12 บาท เล่มถูก ๆ นี้เอ๊ ผมก็ไล่ดูนะประวัติท่าน ผมรับราชการอยู่ที่จังหวัดมุกดาหารปี 43-44 ดูประวัติท่าน ท่านก็รับราชการอยู่ที่อำเภอหว้านใหญ่ก็น่าจะไปเจอกันเพราะสมัยนั้นออกท้องที่ก็น่าจะเจอกัน เพราะว่ามันมีเขาเรียกว่าบูรณาการงานกันอยู่ ระหว่างกระทรวงสาธารณะสุขกับกระทรวงพาณิชย์อะไรนี่ ก็เจอท่านอยู่แต่สมัยนั้นท่านยังไม่ดัง ก็เลยไม่รู้จัก พอมาอ่านดูแล้ว เอ๊ะมันปี พ.ศ. ที่ผมอยู่มุกดาหารนี่ มันจะน่าเชื่อถืออะไรน้อใบย่านางผมก็ไปตลาดมันมีตลาดบ้านห้วยที่อุดรธานี เขาจะกำละ 5 บาท แต่เดี๋ยวนี้เขาขึ้น 7 บาทแล้วผมก็แนะนำไปหลายคนแล้วเออ มันขายดีโดยที่ผมไม่บอกเลยนะ เอ้าพี่แกงหน่อไม่ทุกวันเหรอ อืมหน่อไม้ผมกินไม่ได้หรอก ผมก็กินผมก็เอาไปทำธุระของผมนี่แหละขนาดน้องที่เขาถามว่าพี่กินฉี่ยัง เฮ้ยเยี่ยมนะ ไม่ ยังไม่กล้าลองเลยที่ไหนได้ตัวเองทำทุกอย่าง ถามว่าเรื่องใบย่านางเนี่ยดีจริงไหมมันก็ปฏิบัติอยู่เรื่อย ๆ มาผมอยู่ได้เพราะใบย่านางหรือเปล่าไม่ทราบ ไม่ทราบแต่ก็ปฏิบัติถ้าเรามีเวลาเราก็ทาน ไม่มีเวลาเราก็ไม่ทานแต่บังเอิญนี่ผมเพิ่งมารู้สูตรว่า อย่าให้มันเข้มขนาดนั้นเข้มเกินไปมันก็ไม่ดีกินบ่อยมันก็ไม่ดี เราก็แล้วแต่มีเวลานะครับกินอาหารจืดเรื่อยมาท่านครับ มันอยู่ได้เพราะอาหารจืดจริง ๆ มาอยู่ที่นี่คนอื่นมีปัญหา เขาพูดแซวแม่ครัวที่นี่ไม่มีฝีมือเลย เห็นอาหารไม่อร่อยจริง ๆ เขาแซวเล่น แต่จริง ๆ แล้วผมทานได้สบาย ภรรยาผมก็ทานได้ขออนุญาตเพิ่มเติมนิดนึงไปนอนอยู่ที่โรงพยาบาลที่กรุงเทพห้องมันเป็นห้องพิเศษห้องรวมนะครับ มันจะมีอยู่ 6 เตียง ห้องรวมคือห้องแอร์ ก็คือนอนอยู่ 6 เตียง ทุกครั้งที่ไปนอน 7 ครั้งนี่มีตายทุกวันเลย มันมีรายนึงยกนิ้วบอกว่าผมจะออกไปเลือก ส.ส.พอเช้ามาหมอเขาก็มาดู พยาบาลก็วิ่งมาดู ญาติเขาก็บอกว่าไม่ไหวแล้วสักพักนึงเขาก็เอาอะไรมาบีบช่วยหายใจ แพ้บ ๆผมก็เรียก ลุงดล ลุงดล เลือกตั้งก่อน ไป ๆ มา ๆ ก็เหมือนปลาที่โดนทุบหัวน่ะผมก็มองดู อ้าว ไปแล้ว ไปแล้วทุกครั้งก็ต้องเห็นคนเสียชีวิตไม่รู้วันไหนจะเป็นรายของเรา ผมก็เลยตัดสินใจว่าถ้าคีโมครั้งที่ 8 นี่ผมจะรอดไหม ไอ้คีโม 2 ครั้งตายแล้ว คีโม ไม่ทราบว่ามีคน 7 ครั้งเหมือนผมมีไหมมะเร็งตับนะ แต่ว่าอย่างอื่นคงไม่อันตรายเพราะว่าเข้าเส้นเลือดใช่ไหม ของผมต้องนอนแล้วมาเจาะตรงขาหนีบแล้วก็สอดสายยางเข้าไปเป็นเหมือนไส้ปากกา ยาวเข้าไปประมาณศอกนึง เจ็บนิดเดียวนะคุณอารีพัฒน์นะ หมอก็พูดเพราะอยู่ เจ็บนิดเดียวนะ มันสะดุ้งเลย ไอ้นิดเดียวของหมอแต่เจ็บของเรามันที่สุดเลยนะ แล้วก็ใส่ชุดอวกาศเหมือนกับจะขึ้นอพอลโล 11 ดังควั่ก ๆ เอ๊ะ ถ้ามันดีแล้วพวกคุณมาป้องกันตัวเองทำไม ใช่ไหมเสร็จแล้วนี่หายเงียบ เงียบไปเลย ได้ยินแต่เสียงลำโพงอ้าว หายใจเข้า หยุดหายใจนิ่ง ปั๊บ แล้วก็ปล่อยมามือขวาใส่น้ำเกลือ เอ๊ยมือซ้ายใส่น้ำเกลือ มือขวามันจะมีตัวที่ เอ่อ อะไรน่ะหายใจนะ ผมไม่ ชีพจรผมก็เลยเอามือนี้มาเขี่ยตาดูว่า ผมจะแอบดูจอคอมพิวเตอร์ พอหายใจเข้า หยุดหายใจนิ่ง เขาจะปล่อยคีโมมามันเหมือนกับเราหยดหมึกเข้าไปในแก้วน้ำ ปึ้ง แล้วก็ร้อนทั้งตัวเลยโอ๊ย สบายแล้วเราแล้วก็ให้นับอีก ปล่อยอยู่ 3-4 ครั้ง มันจะรอดไหมนี่ พอขึ้นไปบนห้องเขาจะไม่ให้เดินเลยนะครับ ให้นอนยาวไปตลอด แล้วก็จะไปมัดขาเรา 8 ชั่วโมง ไม่ให้เราทานอะไรเลยไม่ให้เรากระดุกกระดิกเลย 8 ชั่วโมงนะครับ ไม่ได้ทานข้าวไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วอีกอย่างนึงก็คือว่ามันหายใจไม่ได้แล้ว พยาบาลก็วิ่งมาดึงผ้าล้อมผม ผมก็เงียบไปแสดงว่าผมตายไปแล้ว ตายไปแล้วสักพักนึงก็เห็นหน้าคุณหมอบอกว่า เอ้าพยาบาลดูก็แล้วกันเรียบร้อยแล้ว เรียบร้อยหมายถึงผมยังไม่ตายนะครับ ให้คีโมทีไรพลังชีวิตตกทันทีเลย ต้องนอนอยู่บนเตียงหนึ่งสัปดาห์ ไปนอนอยู่ที่บ้านอีกหนึ่งสัปดาห์ ถึงถือกระเป๋าผูกเนคไทใส่สูทไปทำงาน ล่อกแล่ก ๆ เครื่องหมายกรมยังอยู่เลย ออกจากราชการมา 4 เดือนกับ 19 วัน ทำไมพลังชีวิตเราตกอย่างนั้นใช่ไหม ถ้าเราไม่คีโมโทษทีผมพูดถึงเรื่องพบหมอเขียว ท่านบอกว่าจะตอบครั้งเดียว ตอบครั้งเดียว ท่านก็ตอบไปแล้ววันนั้นแหละตอบว่า ถ้าเป็นผม ผมไม่คีโมหรอก เพราะว่ามันฉีดเข้าไปมันจะฆ่ามะเร็ง มะเร็งตายแน่นอน แต่คุณก็ต้องตายแน่นอนถามว่าเม็ดเลือดขาว มันก็ต้องตายเผาบ้านให้หนูตายแมวก็ต้องตายประเด็นเนี้ย 50/50 แต่พอมาถึงวันนี้แล้ว 100 % ผมจะไม่ไปคีโมแล้ว เมื่อผมยังเดินได้เรื่องยา 9 เม็ดนะครับผมทำมา ถามว่าครบไหมผมมา เดินมา หลายคนที่ไปเดินซื้อเทปน่ะนะ ผมสะดุดเพลงนึง ที่หมอเขียวบอกว่า เหนือตายนั้นไม่ตาย เหนือจุดหมายนั้นไม่มี เหนือทุกข์ไม่ทุกข์กว่า เหนือเงินตราคือความดี ผมติดใจอยู่เพลงเดียวติดใจอยู่เพลงเดียว คำร้อง ทำนองหมอใจเพชร กล้าจน แล้วมาดู อ๋อ มันสะดุดเดินมานี่ก็สะดุด ไปอยู่ในห้องน้ำก็ได้ยินเพลงนี้ มันเพลงอะไรเราไม่ถามครับมันช่วยเหลือตัวเองครับพึ่งตัวเองจริง ๆ นะครับ แล้วจะฝากครั้งสุดท้ายก็คือว่า เราอย่ารบกวนครอบครัวมาก เราไปบอกว่าเราจะตาย เราไปบอกว่าลูกพ่อจะตายแล้วนะ วันนึงกินอาหารแล้วมันเรอออกมาครับ บังเอิญนี่ก็เลยไปบอกครอบครัวว่า ลูกสาวขึ้นมาจากกรุงเทพสองคนแล้วภรรยาก็อยู่อยู่ครบกันทุกคนเลย พ่อไม่ได้อยู่แล้วพ่อเห็นเขาอ้วกที่โรงพยาบาล ออกเป็นเลือดอย่างนี้แหละ แล้วแป๊บเดียวก็เอาผ้ามาล้อมแล้วก็เข็นออกไป เขาตาย พ่อก็ลักษณะอาการเดียวกันเลย พอดีลูกสาวคนโตก็เป็นอีก เป็นเหมือนกันเลย พ่อมันไม่ใช่หรอก ที่พ่ออ้วกออกมานี่เพราะเรากินอาหารในตู้เย็นแล้ว ไม่อุ่นแล้วไอ้แดง ๆ นี่คือน้ำแดงที่พ่อชงกับหนูนี่แหละ หนูก็เป็นผมก็เลยไม่ตาย ลูกสาวก็ไม่ตาย ผมยังอยู่เลยอย่าไปอุปาทานมากครับ อย่าไปอุปาทานมาก ผมคิดว่าตัวเองต้องตายวันนั้น แต่ว่าลูกสาวก็เป็นเพราะมันเป็นน้ำเฮลซ์บลูบอยครับ แต่คนที่อยู่โรงพยาบาลมันเป็นเลือดครับแต่เรา เอ๊เราเดินไปเดินมา เราสั่งเสียลูกแล้วเราไม่ตายนะครับ สุดท้ายนะครับอย่ากลัวตายใช่ไหมครับ อย่ากลัวโรคแล้วก็แม้แต่อยู่ตรงนี้ มาตรงนี้ ผมก็ไม่หวังผล ผมไม่ได้หมิ่นคุณหมอเขียวแต่ท่านบอกว่า อย่ากลัวตาย อย่ากลัวโรค อย่าหวังผล อย่ากังวล ผมก็เลยเขียนไว้ฝากพิธีกรว่าฝากทุกท่านด้วยนะครับ จำง่าย ๆ เอาไปติดข้างฝาไว้ว่าอย่ากลัวตาย มันทำให้ใจเศร้าโศก อย่ากลัวโรคมันทำให้ใจสับสน อย่าเร่งแม้สุขภาพพึ่งตน อย่ากังวลปล่อยวางไว้หายทุกข์เอง เราปฏิบัติตั้งแต่แรก ตั้งแต่ฟังซีดีคุณหมอเขียว ตั้งแต่ดูใน Google นะครับ เพราะเราไม่รู้สื่อมันจะไปเอาตรงไหน เพราะว่าเราไม่มีซีดีใช่ไหมครับ พอเราไปฟังตรงนั้นแล้ว หมอเขียวบอกว่าถ้าเราฆ่ามะเร็ง มะเร็งตายแน่นอน แต่คุณต้องตาย แล้วอย่าไปกลัวตาย ผมก็เลยบอกว่า ได้ยินคุณหมอพูดในซีดีบอกว่าตายไม่กลัวหรอก แต่คนเรากลัวตาย เอ๊ะคุณหมอนี่พูดแปลก ตายไม่กลัวหรอกแต่คนเรากลัวตาย พอมาฟังตรงนี้แล้ว 4 ข้อนี้มันเข้าเป๊ะเลยครับ ผมก็เลยแต่งเป็นกลอนไว้นะครับ ว่าจิตใจมีผลต่อสุขภาพอย่างยิ่ง แล้วเชื่อไหมครับว่าพอผมไปเอ็กซเรย์รู้ผลมะเร็ง เมื่อไรผมกลับคืนมา ผมกลับมาบ้านผมไม่ได้นั่งเครื่องมา นั่งรถทัวร์มาผมป่วยทุกทีเลยครับ เพราะอุปาทานจิตใจมีผลต่อสุขภาพอย่างยิ่งครับ จิตใจมีผลต่อสุขภาพอย่างยิ่ง คุณหมอก็ย้ำแล้ว มันตรงกับผมพอนั่งรถทัวร์กลับมาบ้านนะครับ มันก็คงจะกระแทกกระเทือนคนที่ไปอบรมบ่อย ๆ อายุสั้นผมก็ฟังแล้วพอมาถึงบ้านเจ็บครับ เจ็บตรงนี้ พอตั้งใจจะมาหาหมอเขียวขับรถยังไม่ถึงมุกดาหารเลย ไอ กระแอม หรือว่าพูดดัง ๆ ไม่เจ็บ มันเป็นเพราะอุปาทานหรือเปล่า เพราะคุณหมอก็มาพูดบอกว่าคนที่มีสุขภาพที่ย่ำแย่มานอนอยู่ตรงนี้สบายใจ ไม่มีทุกข์บางทีอาจจะหาย พอคุณหมอออกนอกค่ายเมื่อไรก็อาการเพิ่มขึ้นผมว่าอยู่ที่จิตใจผมกลัวตาย ทุกคนกลัวตายครับ คนที่บอกว่าไม่กลัวตายหรอกคนนั้นโกหกครับ ผมกลัวตายแต่ว่าอย่าไปกลัว อย่าไปคิดมาก จิตใจสำคัญที่สุดครับ ครับสวัสดีครับ ขอให้โชคดีทุกท่านครับ สวัสดีครับ
3 ปีที่แล้วผมน่าจะขึ้นเมรุไปแล้วแต่อันนี้เข้าปีที่ 7 แล้วครับยังอยู่ ยังมีชีวิตอยู่ ยังเดินอยู่เพิ่งบอกวันนี้เองว่าตัวเองเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายครับขอบคุณครับ สวัสดีครับ
เข้าค่ายครั้งที่ 2
จิตอาสา: ค่ะเจริญธรรมสำนึกดีนะคะ วันนี้เรามาที่สวนป่านาบุญ อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหารนะคะ ซึ่งมีการจัดค่ายสุขภาพแพทย์วิถีธรรมขึ้นในวันที่ 12-18 มีนาคมนะคะ วันนี้ก็ตรงกับวันที่ 3 ของค่ายนะคะ คือวันที่ 14 มีนาคมนะคะ เราก็ได้เกียรตินะคะจากท่านผู้ที่มาเข้าค่ายกับเราซึ่งคราวนี้เป็นครั้งที่ 2 ของท่านผู้นี้แล้วนะคะเรียนเชิญค่ะ
คุณอารีพัฒน์: สวัสดีครับ ผมชื่อ อารีพัฒน์ สายมาครับ ก็เคยรับราชการมา 26 ปีแต่ตอนนี้เป็นข้าราชการบำนาญครับไม่ทำงานแล้วครับ ออกมาพักผ่อนครับ
จิตอาสา: ค่ะแล้วตอนที่คุณอารีพัฒน์ มาเข้าค่ายกับทางแพทย์วิถีธรรมครั้งแรกนะคะ มีอาการป่วยไม่สบายเป็นอะไรมา แล้วก็ผลการเปลี่ยนแปลงจากที่มาเข้าค่ายครั้งแรกกับครั้งนี้มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้างคะ
คุณอารีพัฒน์: มีความแตกต่างก็คือไอ้ช่วงที่เดินทางมาเนี่ย เรารู้จิตใจเราไม่ดีก็จะขับรถ จะไอ จะจาม จะพูด จะจุกชายโครงด้านขวา ก็รู้อยู่ว่าตัวเองเป็นอะไร ก็รู้อยู่ แต่หลังจากนั้นมา ก็ลงไปที่กรุงเทพอีกครั้งหนึ่ง ก็สุขภาพก็ดูแล้วมันเหมือนปกติอยู่นะ แต่ว่าหลังจากที่รับผลของเอ็กซเรย์ก็คือ MRI มาจากโรงพยาบาลที่กรุงเทพแล้วนี่ก็หมอนัดไปคีโมกับผ่าตัดแต่ให้รีบตัดสินใจ เพราะว่าหมอต้องรีบเดินทางไปอเมริกา ต้องตัดสินใจภายในเดือนมีนาคม แต่บังเอิญมาที่สวนป่านาบุญ ทางโรงพยาบาลอำนาจเจริญก็มีการเช็คเลือด ผมก็ได้ติ๊กไปว่าเช็ค SGOT เช็ค SGPT นี่ แล้วก็ผลการทำงานของตับ แล้วก็มี AST ผลมะเร็งก็รู้สึกว่าผลของมะเร็งนี่ 50,366 ก็ตกใจเหมือนกัน
จิตอาสา: ค่ะ งั้นแสดงว่าก็คือ จากที่จบค่ายครั้งแรกไปก็คือประมาณเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก็ระยะเวลามันก็ห่างกันประมาณ 1 เดือน
คุณอารีพัฒน์: ครับ ประมาณ 1 เดือนได้เองครับ
จิตอาสา: ค่ะแล้วทีนี้พอทางคุณอารีพัฒน์กลับไป ได้ปฏิบัติในเรื่องของหลัก 9 เม็ด หรือว่าเทคนิค 9 ข้อของคุณหมออย่างไรบ้าง หรือว่ามีตัวไหนที่เราทำเป็นพิเศษไหม แล้วเห็นถึงความแตกต่างอย่างไรบ้างคะ
คุณอารีพัฒน์: ทำเป็นพิเศษก็คือเรื่องปรับสมดุลทางสมุนไพร ก็คือเราบังเอิญนี่อยู่ข้างบ้านนี่ก่อนที่จะมานี่ ไปรู้จักหนังสือหมอเขียวในเรื่องของใบย่านางอยู่แล้ว ก็เลยไปซื้อมาปลูก ปลูกก็ไม่ได้ทันกินหรอกเพราะว่า 22 ต้นนี่มันก็ไม่ทันหรอก นอกจากว่าเราไปเอาข้างนอกมาปั่นนะครับ หลังจากที่กลับไปก็รู้จักเพิ่มขึ้นก็คือ มีอ่อมแซบ มีนมราชสีห์ มีว่านกาบหอย มีใบย่านาง ก็ใช้ในส่วนนี้
จิตอาสา: ค่ะ ผสมผสานกัน
คุณอารีพัฒน์: เกือบทุกวัน
จิตอาสา: ค่ะ ก็คือเหมือนว่าดื่มแทบจะทุกวันเลย
คุณอารีพัฒน์: แทบทุกวัน ครับ ไม่เว้นเลย
จิตอาสา: ค่ะ แล้วในเรื่องของน้ำสมุนไพรรวมหรือที่เราเรียกกันว่าน้ำปัสสาวะนี่ค่ะ ได้ใช้บ้างไหมคะ
คุณอารีพัฒน์: ดื่มครับ
จิตอาสา: ดื่มใช่ไหมคะ แล้วคราวนี้พอเราได้ดื่มสมุนไพรปรับสมดุลมีความเปลี่ยนแปลงหรือว่ารู้สึกว่า เอ๊ะร่างกายเราเป็นยังไงบ้าง
คุณอารีพัฒน์: เปลี่ยนแปลงนี่ไม่ได้จุกเสียด ไม่มีผลกระทบอะไร เพียงแต่ว่าตกใจตรงที่ผลเลือดของโรงพยาบาลอำนาจเจริญ
จิตอาสา: ค่ะ แล้วไอ้อาการตกใจของเรานี่คือ เพิ่งจะมาเป็นตอนที่อยู่ในค่าย แต่ว่าตอนที่อยู่ที่บ้านนี่ก็ยังใช้ชีวิตปกติ ?
คุณอารีพัฒน์: ใช้ชีวิตปกติ ตกใจเมื่อกี้นี่เองครับ รอผลเลือดก็มาหาจิตอาสานี่แหละ
จิตอาสา: ค่ะ แล้วไม่ทราบว่าตอนแรกที่กลับไปหลังจากที่จบค่ายครั้งแรกคือเดือนกุมภาพันธ์ คุณอารีพัฒน์ได้ไปตรวจผลแล็บของแพทย์แผนปัจจุบัน แล้วคราวนี้นี่ได้ทานยาหรือว่าเขาได้รักษาอะไรยังไงบ้าง หลังจากที่เราพอเราตัดสินใจว่าพอมาจบค่ายปุ๊บแล้วเราไปลองเช็คผลกับแพทย์แผนปัจจุบันด้วยค่ะ
คุณอารีพัฒน์: จบค่ายคือ หมอนัดวันที่ 12 กุมภาพันธ์ แต่บังเอิญโกหกหมอว่าไปธุระก็เลยเลื่อนเป็นวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พอถึงวันที่ 22 เดินทาง วันที่ 23 ก็ไป MRI มาผลก็ออกวันนั้นเลยหมอก็นัดคีโมนัดคีโมหมายความว่า ให้เราตัดสินใจว่าจะคีโมหรือผ่าตัดในวันที่ 23 แต่ว่าให้นัดวันนั้นแต่ยังมีใจผูกพันว่า จะต้องมาปฏิบัติดูแลตนเองทางนี้อยู่ ก็เลยบอกว่าขอตัดสินใจได้ไหมก่อนที่คุณหมอจะเดินทางไปอเมริกาก็เลยมาทางนี้อยู่ เสร็จแล้วมาเห็นผลเลือดนี่แหละว่า มันก็เลย 50/50 ตอนนั้นคิดว่าจะ 100 % แล้วว่าจะไม่คีโมกับผ่าตัด
จิตอาสา: ค่ะ แล้วก็คือ ตอนนี้ก็ยังตัดสินใจอีกครั้ง
คุณอารีพัฒน์: ก็เลยเมื่อกี้ สักครู่นี่เองก็ลังเล ที่เห็นใบสีเหลืองของโรงพยาบาล
จิตอาสา: ค่ะ ๆ ก็ไม่เป็นไร แล้วคราวนี้นี่พอสิ่งที่พี่อารีพัฒน์ได้เรียนไปครั้งแรก ก็คือมาเข้าค่ายสุขภาพนะคะ ก็รู้ว่าวิธีการเอาพิษออกทั้งหมด 9 วิธีของคุณหมอเขียวนี่ พอได้ไปดื่มน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสด ความแตกต่างที่บอกว่ามันไม่มีอาการจุกเสียดเหมือนเดิมแล้วนะคะ คราวนี้ยาเม็ดตัวอื่น ๆ อย่างเช่น ดีท็อกซ์ หรือว่าในเรื่องของการแช่มือแช่เท้า การพอกทาหรืออย่างนี้นะคะ ได้มีการทำบ้างไหมคะ
คุณอารีพัฒน์: ที่พูดมาทั้งหมดนี่ ทำหมดเลยครับ พอกก็ทำครับ แช่เมือแช่เท้าก็ต้องไปหาสมุนไพรมา แล้วน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสดก็ทำ อาหารที่เป็นรสไม่จัด
จิตอาสา: ฤทธิ์เย็น รสจืด
คุณอารีพัฒน์: รสจืดก็ทำอีกข้อหนึ่ง เมื่อกี้ว่าอะไรนะ ก็ทำ รู้สึกว่าคำถามมานี่จะทำหมดทุกข้อ เพียงแต่เรื่องของการนั่งสมาธิการปฏิบัติธรรม บางทีมันมันไม่ค่อยจะ โอกาสไม่ค่อยเหมาะสมกันเท่าไร ก็พยายามอยู่
จิตอาสา: ค่ะ แล้วตอนช่วงที่กลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้าน ไปปฏิบัติตัวเองต่อที่บ้านอะไรอย่างนี้น่ะค่ะ ความเปลี่ยนแปลงของร่างกายของเรา ที่เรารู้สึกว่ามันพัฒนาขึ้นไหมหรือว่ามีความรู้สึกว่าอาการมันยังคงที่อยู่อย่างไรหรือไม่คะ
คุณอารีพัฒน์: พัฒนาขึ้นไหม จะดูไม่แตกต่างนอกจากจิตใจเรา จิตใจเราว่าเราจะไม่โกรธ ไม่กังวล อีกอย่างหนึ่งก็คือว่าเราตัดสินใจแล้วว่า เพราะไปเห็นเพื่อนล้มหายตายจากมาหลายคนที่มันเป็นห้องพิเศษ 6 คนเนี่ยเข้าไปห้องพิเศษ 6 คนนี่ตายต่อหน้าต่อตา ก็มีโทรศัพท์มา นึกว่าเบอร์ของเขาโทรมา ญาติโทรมาบอกว่าเสียแล้ว ก็มีทำให้เราไม่อยากจะกลับไปอีก แต่มาถึงตอนนี้ก็ ก็บอกตรง ๆ ว่ามันก็ยังคิดอยู่ในใจว่า จะเชื่อหมอเขียวทั้งหมดเลย หรือว่าต้องกลับไปคิดที่บ้านก่อน
จิตอาสา: อืม… ได้ค่ะ ก็ไม่เป็นไร ก็คืออันนี้ก็อาจจะเป็นอีกข้อหนึ่งในการประกอบการตัดสินใจในเรื่องของการที่จะทำการดูแล เป็นหมอดูแลตัวเองต่อไหม หรือว่าจะใช้ทั้งสองทางควบคู่กันไปหรือยังไง ก็เป็นเรื่องที่ทางคุณอารีพัฒน์กำลังตัดสินใจอยู่
คุณอารีพัฒน์: กำลังตัดสินใจ
จิตอาสา: ค่ะ แล้วทีนี้นี่คิดว่าการที่เข้ามาอยู่ในค่าย ณ ตอนนี้น่ะค่ะ ที่พอเราเริ่มค่ายเป็นวันที่ 3 แล้ว พออยู่ในค่ายคุณอารีพัฒน์ได้มีการปฏิบัติตัวยังไงบ้าง หรือว่าทำแบบเดิมอยู่ หรือว่ามีอะไรเป็นพิเศษไหมน่ะค่ะ ในเรื่องของยา 9 ข้อค่ะ
คุณอารีพัฒน์: ยา 9 ข้อนี่กินน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสด แล้วก็ทานอาหารที่ค่ายจัด กัวซาทำ แต่ว่าพอกกับดีท็อกซ์มันไม่สะดวก เราเห็นว่าห้องน้ำไม่สะดวก ใช่ไหมครับ กับพอกนี่มันต้องไปล้าง คือมันจะทำให้สกปรก เห็นมีผู้หญิงเยอะก็เลยไม่ได้ปฏิบัติถ้าจะลองอีกครั้งหนึ่ง ก็น่าจะเป็นพรุ่งนี้เป็นต้นไป
จิตอาสา: ค่ะ ก็คืออันนี้อาจจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกก็ได้ ที่พอเรามีการตรวจไปแล้ว แล้วก็ลองปฏิบัติใหม่อีกทีหนึ่งทำแบบอย่างเข้มข้น ผลอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงก็ได้ภายใน 7 วันนี้นะคะ ก็ยังต้องลองดูนะคะถ้าอย่างนั้นท้ายที่สุดนะคะ อยากจะให้พี่อารีพัฒน์น่ะค่ะฝากบอกอะไรสำหรับคนที่อาจจะเป็นเหมือนเราก็ได้ แล้วก็รู้สึกว่าการเดินทางที่จะมารักษาเส้นทางนี้เป็นอย่างไร หรือว่าอาจจะควบคู่กันไประหว่างแพทย์แผนปัจจุบันกับแพทย์ทางเลือกค่ะ เชิญบอกได้เลยค่ะ
คุณอารีพัฒน์: ครับ ความจริงแล้วเนี่ยคนที่ป่วยรุ่นเดียวกันที่พยาบาลทักเวลาผมลงไปรักษาที่กรุงเทพ พยาบาลก็จะทักว่าเพื่อนคนนั้นไปแล้วนะ เพื่อนคนนี้ไปแล้วนะ นักเรียนร่วมรุ่นเดียวกัน เราก็ไม่สบายใจ แต่ว่าพยาบาลเขาอาจจะไม่ได้นึกถึงจิตใจว่าเราเป็นมะเร็งตับนี่มันอยู่ไม่ได้นาน ทุกคนที่พูดไม่ว่าจะเป็นวิทยากรหรือว่าจิตอาสาบางท่าน ก็พูดถึงว่ามะเร็งตับนี่อยู่ไม่ได้นาน แต่บังเอิญนี่หมอบอกว่าอยู่ได้ 1-6 ปี ผมก็เลยมา พอมาถึงอยู่ได้ 3 ปี ก็ ตอนแรกบอกว่า 1-6 เดือน แต่ไม่เกิน 3 ปีแต่พอเกิน 3 ปีแล้ว อื้ม สู้ต่อเถอะ พอ 49 มาถึง 54 มัน 6 ปีแล้ว พอถามหมอเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ที่ลงไป MRI หมอก็บอกว่าสู้อีกสักปีเถอะเป็นปีที่ 7 ผมเลยตัดสินใจที่จะมาทางคุณหมอเขียวมาทางเลือกขอดูแลชีวิตยังจดไว้เลยว่า ปริ๊นออกมาเลยว่า คุณหมอบอกว่า อย่ากลัวตาย อย่ากลัวโรค อย่าเร่งผล และอย่างกังวล นะครับผมก็จะยึดทางนี้มานะครับ ก็คงจะเป็นผลดีอยู่บ้างในเรื่องของจิตใจ มาก็มาคนเดียวด้วย ขับรถมาเองนะครับ มาคนเดียว แล้วก็คงต้องขับกลับคนเดียวอีกนะครับ สิ่งที่อยากจะบอกท่านผู้มีเกียรติที่กำลังดูตอนนี้ก็คือว่าท่านตัดสินใจอันไหนเป็นการดีที่สุด จะตัดสินใจรักษาทางแผนปัจจุบันก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่ว่าถ้าท่านตัดสินใจมาทางหมอทางเลือกวิถีธรรมก็เป็นเรื่องของการตัดสินใจที่ดีที่สุด ผมยังตัดสินใจว่าผมจะไม่กลับไปแล้ว ผมเลยมาตั้งปณิธานกับตัวเองไว้นะครับ เผื่อมีประโยชน์สำหรับท่านผู้มีเกียรติทุกท่านนะครับ พี่น้องทุกท่านผมก็เขียนไว้บอกว่าจะทำตามคุณหมอเขียวแนะนำไว้ จะไม่ให้ความตั้งใจนั้นจางหายจะท่องจำอยู่เสมอว่า ไม่กลัวตาย จะไม่อายแม้เพื่อนเราเขานินทาใคร จะว่าเราโง่งี่เง่าช่างเขาเถิด ยาดีเลิศสมัยใหม่เลิกแล้วหนาคีโมฉายแสง ผ่าตัดผมขอลาเพราะศรัทธาคุณหมอเขียว ท่านเชี่ยวชาญนะครับ ขอบคุณมากครับ สวัสดีครับ
(อารีพัฒน์. สัมภาษณ์ 2555, เมษายน 5)
สนทนาปัญหาคาใจ กับค่าผลตรวจของมะเร็ง
อ.หมอเขียว: ค่าสัมพันธ์มะเร็งนี่ไม่ใช่ตัวบ่งบอกว่ามะเร็ง 100 % นะ มันไม่ใช่นะ ต่อให้มันว่าใช่ แล้วมันจะเกี่ยวอะไรก็ในเมื่อชีวิตเราไม่ได้แพ้มัน แล้วเราก็เป็นมิตรกับมันบางทีร่างกายเราเขาจะบอกว่าเขาปรับตัวหรือว่าค่าต่าง ๆ มันคือค่าปกติของเขา ถ้าเขาสภาพร่างกาย วิญญาณมาแบบนี้เขาต้องมีธาตุอันนี้เท่านี้ ๆ เขาถึงจะอยู่ได้ เขาต้องมีสารเท่านี้ ๆ แบบนี้ สถานการณ์โลกแบบนี้สถานการณ์ความร้อนของโลกขนาดนี้เขาก็ต้องมีสารขนาดนี้ ๆ เขาถึงจะอยู่ได้ไม่งั้นเขาก็อยู่ไม่ได้ อะไรอย่างงี้ ร่างกายก็ปรับตัวของเขาจริง ๆ แล้วค่าที่มันมีค่าที่สุดคือค่าของพลังชีวิต ค่าของวิญญาณ ค่าของสัญญา ของเวทนาความหมายรู้ ค่าของเวทนาคือความรู้สึกสุขทุกข์ความรู้สึกสบายไม่สบาย
คุณอารีพัฒน์: ผมเรียนคุณหมอตั้งแต่ครั้งแรกแล้วว่ามันโทรมหนักเลย
อ.หมอเขียว: ใช่
คุณอารีพัฒน์: โทรมแบบพอปล่อยเข้าไปนี่มันจะร้อนทั้งตัว หมอที่ฉีดจะไม่รู้หรอกว่ามันร้อนขนาดไหนเพราะหมอไม่เคยโดนฉีด เจ็บนิดเดียวคุณอารีพัฒน์ เจ็บแค่เหมือนไม่เท่าผู้หญิงคลอดลูกด้วยซ้ำไป เราก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงคลอดลูกเขาเจ็บขนาดไหน แต่ว่าพอฉีดเข้าไปแล้วนิ่งเลยครับ ตอนเขามากดแผลก็เจ็บเบาลงแต่ว่าตอนไปมัดขาไว้ 8 ชั่วโมง ไม่ให้งอ ไม่ให้นั่นเลย คือตรงนั้นแหละทรมาน มันหลายชั่วโมงกว่าจะเดินได้
อ.หมอเขียว: นั่นก็คือความชัดเจนว่า ถ้าหลักการของพระพุทธเจ้า สิ่งนั้นน่ะ ทำให้ทุกข์ใช่ไหม สิ่งนั้นทุกข์หรือไม่ทุกข์ล่ะ ที่ให้คีโมน่ะ มันทุกข์นะ
คุณอารีพัฒน์: ทุกข์ ทรมาน
อ.หมอเขียว: ทุกข์ทรมาน แล้วพระพุทธเจ้าตรัสว่าทุกข์นี่มันจะเพิ่มโรค ทุกข์นี่คือการเบียดเบียน ความเบียดเบียนคือการเพิ่มโรค ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 14 ท่านก็ตรัส วงการแพทย์ก็ไปไม่ถึงไง เขามีวิบากมันอยู่ที่เราจะเดินใช้วิบากตามเขาไหมล่ะ นั่นล่ะค่อย ๆ ทบทวนข้อมูลดี ๆ เราจะรู้ ถ้าเราไปเคมีมันก็ทุกข์มากขึ้นทันที
คุณอารีพัฒน์: กว่ามันจะใช้งานปกติได้
อ.หมอเขียว: ใช่พอทุกข์มากขึ้น พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าอะไรที่ทำให้ทุกข์มากขึ้นคือการเบียดเบียน การเบียดเบียนทำให้มีโรคมาก มันก็เพิ่มโรคทันที สถิติก็มีให้เห็นชัด ๆ อยู่แล้วคนไปทำที่ทุกข์ทรมาน ตายเกือบ 100 % อายุสั้นกว่าปกติด้วยซ้ำ
คุณอารีพัฒน์: ตามแขนขานี่ไหม้ไปหมดเลยครับอยู่ห้องเดียวกัน
อ.หมอเขียว: ไหม้ไปไหมด ใช่แต่ถ้าเราอะไรที่เราสบาย สบายคือไม่เบียดเบียน
คุณอารีพัฒน์: ตอนนี้ก็สบายครับ
อ.หมอเขียว: ก็สบาย ก็ไม่เบียดเบียน ไม่เบียดเบียนโรคก็ลดลง โรคก็ลดลงทุกครั้งนั่นแหละ อันนี้ไม่ใช่โรคนะ นี่มันเป็นค่าทางวัตถุ
คุณอารีพัฒน์: เอ้า ผมรบกวนคุณหมอ เห็นยอดสูงขนาดนี้ไหมครับ AST
อ.หมอเขียว: ผมไม่ได้ตกใจอะไรมันจะล้านนึงผมก็ไม่ตกใจมันเลยนะ ผมอยากจะพิสูจน์ให้เห็นว่าผมอยากให้มันค่าเป็นล้านแล้วคนไม่ตาย นี่ทำความเข้าใจกับสัจจะกับธรรมะไปเรื่อย ๆ พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องอะไร มันเป็นเรื่องลึกซึ้ง
คุณอารีพัฒน์: มันไม่สามารถบอกได้ว่า ถ้าไปแล้วอายุยืน ถ้าอยู่ตรงนี้อายุยืนกว่า มันไม่มีใครบอกได้
อ.หมอเขียว: ไม่มีใครบอกได้
คุณอารีพัฒน์: ครับ
อ.หมอเขียว: มันอยู่ที่ว่าแบบไหนเรามีความสุขกว่า
คุณอารีพัฒน์: ก็อยู่อย่างนี้มีความสุข จะสังเกตตัวเองว่าถ้าไปนอนโรงพยาบาลนี่ มันจะเดี้ยง มันจะไปห้องน้ำต้องลากน้ำเกลือ ลากน้ำเกลือแล้วก็เข้าห้องน้ำ ไม่สามารถที่จะทำปกติได้ จะใส่เสื้อ จะเช็ดตัวมาอย่างนี้มันมีความสุข เดินไปไหน เดินเข้าห้องน้ำก็สบาย ๆ เดินไปแล้วก็มานั่งฟังอาจารย์ต่อ การที่มาค่ายกับไปโรงพยาบาล ตรงนี้มีความสุขมากกว่า 100 % ครับ
อ.หมอเขียว: ชีวิต อะไรมีค่าที่สุด ก็คือความสุขมีค่าที่สุด อะไรมีค่าที่สุดในชีวิตล่ะ
คุณอารีพัฒน์: ครับ ถ้าไปแล้วนี่ ทรุดโทรมกว่าจะทำงานปกติได้ กว่าจะกลับจะปกติได้นี่มันรู้สึกว่าจะเพลียจะเหนื่อยมาก ๆ แต่มาตรงนี้แล้วนี่ผมขับรถมาเองขับไปกลับเอง มาคนเดียวเหมือนคนปกติแต่คนอื่นถามก็ไม่อยากบอก พอบอกแล้วก็ ผมบอกว่าเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้ายนะ เพราะว่าหมอบอกว่า 3 ไป 4 แล้วไป 4 แล้วก็คือเป็นระยะที่ 4 แต่ในตัวเองยังเชื่อว่าไม่ใช่คนทรุดขนาดนั้น เรามีความเชื่อว่าอย่างนั้น คุณหมอดูให้หน่อยว่ามันน่าจะตายภายในปีนี้ไหม (หัวเราะ) เอาตรง ๆ เลย
อ.หมอเขียว: ดูไม่ได้หรอก มันตอบไม่ได้หรอก อย่างนี้นะมันจะตายหรือไม่ตายนี่ สมมติว่าเรามีความสุขดีแล้วเราตาย สุดท้ายชีวิตมันต้องตายอยู่ดี ฟังให้ชัด ๆ นะ เราไปคีโมเราก็ต้องตาย เราไม่ คีโมเราก็ต้องตาย ป่วยก็ตายไม่ป่วยก็ตาย คนน่ะมันตายอยู่ดี แต่ก่อนจะตาย จะทำชีวิตให้มันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์พอสุดท้ายมันก็ไม่เหลืออะไร
คุณอารีพัฒน์: อยากทำชีวิตให้เป็นสุข
อ.หมอเขียว: เอ้อ เราก็ต้องก็เลือกเอาสิ จะเลือกสุขหรือเลือกทุกข์
คุณอารีพัฒน์: เลือก แต่ว่าเรายังไม่มีความมั่นใจว่าอันไหนจะยืนกว่า
อ.หมอเขียว: อย่าไปสนใจว่าอะไรจะยืนกว่าความยั่งยืนของชีวิตไม่ใช่เรื่องสำคัญ สำคัญที่ความสุข ความยั่งยืนของชีวิตไม่ใช่เรื่องสำคัญนะ เพราะสุดท้ายทุกอย่างก็ดับไป แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้อะไรนะ สุดท้ายท่านก็ไม่มีความรู้สึกอะไรสุดท้ายก็ไม่มีความรู้สึกอะไร คนเราแค่เดินไปสู่ความไม่มีความรู้สึกเท่านั้น เอาให้ชัด ๆ นะ เดินทางไปสู่ความไม่มีความรู้สึกเท่านั้น ในขณะที่เดินไปสู่ความรู้สึกไม่มีความรู้สึกน่ะ ไอ้สิ่งที่อยู่ในระหว่างทางน่ะมันก็แค่ความจำเท่านั้นแหละเราก็แค่จำได้ว่าเราทุกข์หรือสุข ทุกข์หรือสุข ทุกข์หรือสุข แค่นั้นแหละ ทุกอย่างมันก็แค่นั้นน่ะ สุดท้ายทุกอย่างมันมีแค่สัญญา คือความหมายรู้ จำได้หมายรู้ จำว่ามันคืออะไร สุขหรือทุกข์ สุขหรือทุกข์ สุขหรือทุกข์ สุขหรือทุกข์มันก็เท่านั้นเองนะ มีแค่ความรู้สึกสุขรู้สึกทุกข์แค่นั้นนะ แต่สุดท้ายก็ไม่มีความรู้สึกอะไร
คุณอารีพัฒน์: เมื่อสักครู่นี้ก็บอกน้องจิ๊บอยู่เหมือนกันว่าตอนนั้น 100 % นะน้องจิ๊บที่คิดว่าจะไม่กลับไป พอมาเห็นผลเลือดแล้วขออนุญาตว่ามันยัง 50 อยู่ เพราะว่ามันความคิดยังไม่เปลี่ยนหรอก แต่ว่ามันยังไม่มั่นคงเท่าไร ยังเป๋ ๆ อยู่ เพราะจำได้ว่าเมื่อไปคีโมแล้วนี่ กระทบหลายอย่างเลยครับผมไม่เคยหงอกก็หงอก หูอื้อตาไม่เคยใส่แว่นมันเป็นไปหมดครับ ฉีดเข้าไปในในตับนี่มันจะร้อนร้อนเสร็จแล้วนี่กว่าเขาจะทำงานปกติได้ต้องนอนพักผ่อนเป็น 2 อาทิตย์ 2 อาทิตย์ก็คือ 14 วัน ก็ครึ่งเดือนน่ะ อยู่อย่างนี้เดี๋ยวเรากลับไปก็ทำอะไรก็ได้ ก็นั่นสิผมว่าทางเลือกที่เราจะต้องตัดสินใจ
อ.หมอเขียว: ใช่ อยู่ที่เราต้องการความสุขหรือความทุกข์แค่นั้น ก่อนที่จะไม่มีความรู้สึกอะไร
คุณอารีพัฒน์: ต้องการความสุข
อ.หมอเขียว: ก็ต้องไปค้นว่าอะไรคือความสุข ทำพลังชีวิตให้ดี ทำใจให้ดี
คุณอารีพัฒน์: ใจดีแล้ว พลังชีวิตก็ดีขึ้น
อ.หมอเขียว: จบทุกอย่างเชื่อมั่นในชีวิตของตัวเอง อย่าไปเอาชีวิตไปแขวนไว้กับความคิดของคนอื่นมาก เชื่อมั่นในชีวิตของตัวเอง ผล (การตรวจ) ก็เป็นการวัดใจว่าแกว่งกับวัตถุไหม วัตถุไม่เที่ยงบอกไว้แค่นี้ ตัวเที่ยงคือจิตวิญญาณ จิตวิญญาณที่มันเป็นทุกข์นั่นแหละมันถึงเที่ยง เอาพลังชีวิตนั่นล่ะคือของจริง พระพุทธเจ้าเชื่อพลังชีวิตนะ มันเป็นความรู้สึกจริงแล้วเราต้องอยู่กับความรู้สึกของเรานะ เราควรจะอยู่กับความรู้สึกที่ดี ๆ ที่เป็นสุข ก่อนที่จะไม่มีความรู้สึก สุดท้ายก็ไม่มีใครมีความรู้สึก มันจะอีก 100 ปีก็ไม่มีใครมีความรู้สึกอะไร เรามีความรู้สึกดี ๆ ไปจนกว่ามันจะไม่มีความรู้สึก มันดีที่สุดในโลก
คุณอารีพัฒน์: ครับ ผมจำได้ อยู่ในวีซีดีของเมืองกาญจน์หรือเปล่าไม่รู้ บอกว่า ตายไม่กลัวหรอก แต่คนเรามันกลัวตายหรือยังไงนี่แหละผมก็เลยว่า เอ๊ะ มันก็คล้าย ๆ กับว่า ทุกคนมันไปอยู่แล้วทำไมเราต้องกลัวด้วย เมื่อเราทำดีที่สุดกับชีวิตเรา เราไม่ได้เฉยกับชีวิตเมื่อคุณทำดีที่สุดแล้ว คุณตัดสินใจเรื่องไหนก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุดนะ ตัดสินใจคีโมก็ดีแล้ว มันต่อมา มันต่อได้ 6 ปี คุณตัดสินใจไม่คีโม อ๊ะมันต่อได้ 1 วันก็เป็นเรื่องของคุณ เพราะมันดีที่สุดแล้ว
อ.หมอเขียว: ใช่ ก็มันดีที่สุดแล้ว
คุณอารีพัฒน์: ถือว่าเราตัดสินใจ
อ.หมอเขียว: ใช่ ถือว่าเราได้เรียนรู้ในสิ่งที่เราตัดสินใจ มันจะออกมายังไงมันก็ดีที่สุดแล้ว ทุกคนตัดสินใจตามบุญของตัวเอง
คุณอารีพัฒน์: ครับ ขอบพระคุณคุณหมอครับ
อ.หมอเขียว: ไม่เป็นไรครับ สาธุ