ถาม : ทำอย่างไรเราจึงจะมีวิธีการเลือกว่าชีวิตเราจะเลือกในโลกีย์หรือโลกุตระ เพราะตอนนี้ตนเองเหมือนกับยังไม่ชัดเจนกับทางธรรม หมือนเหยียบเรือ 2 ลำ
ดูคำตอบได้จาก เริ่มนาทีที่ 02:22
ย่อคำตอบ เพิ่มศีลไปเรื่อยๆ ตรวจสอบว่าเราติดอะไรอยู่ อะไรที่เรารู้สึกว่าถ้าได้ดั่งใจแล้วจะสุขใจจะชอบใจ ไม่ได้ดั่งใจจะทุกข์ใจไม่ชอบใจ อ่านกิเลสตัณหาของเรา เมื่อเราอ่านกิเลสตัณหาของเราให้มันออก นั่นแหละคือ สิ่งที่เราต้องกำจัด ตั้งแต่สิ่งที่หยาบไปจนถึงละเอียดหรือตั้งแต่ที่มันเป็นสิ่งที่้เราติดน้อยที่สุด อะไรที่เราติดน้อยที่สุดแต่มันเป็นภัย ก็กำจัดไปเรื่อยๆ ไปจนถึงเราติดมากขึ้นๆ ก็กำจัดกิเลสนั้นไปเรื่อยๆ พอเรากำจัดกิเลสมากขึ้นไปเรื่อยๆ ได้แล้ว ก็ทำความดีช่วยเหลือผู้คนไปเรื่อยๆ สานพลังกับหมู่มิตรดี กำจัดกิเลสไปเรื่อยๆ ช่วยเหลือผู้อื่นไปเรื่อยๆ พอเรากำจัดกิเลส เครื่องกังวล เครื่องเบียดเบียนไปเรื่อยๆ ช่วยเหลือผู้อื่นไปเรื่อยๆ เราจะเข้าใจกรรมดีกรรมชั่วแจ่มแจ้ง เมื่อเราเข้าใจกรรมดีกรรมชั่วแจ่มแจ้ง เราก็จะเชื่อมั่นในพุทธะมากขึ้นว่าโอ้.. ชีวิตนี้ต้องเอาโลกุตระนี่แหละเป็นหลัก เราจะรู้เอง … เส้นทางของชีวิตจริงๆ ทางโลกียะก็มีแต่ทุกข์มากขึ้นๆ นั่นแหละ มาทางโลกุตระก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะก้าวหน้าอย่างเดียวโดยที่ไม่มีวิบากร้ายเล่นงาน …อย่าไปคาดหวังว่ามาแล้วจะไม่มีอุปสรรคอะไร อย่าไปคาดหวัง เป็นไปไม่ได้ ปัญหาอุปสรรคจะมีเป็นลำดับๆ แล้วก็จะโล่งไปเป็นลำดับๆ โล่งแล้วก็มีๆ จะเป็นอย่างเนี่ย มันจะโล่งไปตลอดเลยไม่มี เป็นไปไม่ได้ ด้านร่างกายด้านเหตุการณ์จะมีปัญหาเป็นระยะๆ เป็นธรรมดา ที่จะไม่มีปัญหาเลยคือ ในใจเราเท่านั้น ถ้ากำจัดกิเลสได้ก็หมดปัญหาไปตลอดเลย และปัญหาที่เข้ามาก็แรงเท่าปลายเล็บ ไม่ต้องกลัวถ้ากำจัดกิเลสได้ …สรุปแล้วถ้ายังไม่มั่นใจก็อย่าเพิ่งอย่าโถมเข้ามา ยังไม่มั่นใจเราก็ทำแบบไม่มั่นใจนั่นแหละ แล้วก็มาบ้างกลับบ้างๆ ยังไม่มั่นใจอย่าเพิ่งโถม โถมเข้ามาแล้วไปเจอวิบากเป็นชั้นๆ
ตอบ : เพิ่มศีลไปเรื่อยๆ ตรวจสอบว่าเราติดอะไรอยู่ อะไรที่เรารู้สึกว่าถ้าได้ดั่งใจแล้วจะสุขใจจะชอบใจ ไม่ได้ดั่งใจจะทุกข์ใจไม่ชอบใจ อ่านกิเลสตัณหาของเรา เมื่อเราอ่านกิเลสตัณหาของเราให้มันออก นั่นแหละคือ สิ่งที่เราต้องกำจัด ตั้งแต่สิ่งที่หยาบไปจนถึงละเอียดหรือตั้งแต่ที่มันเป็นสิ่งที่้เราติดน้อยที่สุด อะไรที่เราติดน้อยที่สุดแต่มันเป็นภัย ก็กำจัดไปเรื่อยๆ ไปจนถึงเราติดมากขึ้นๆ ก็กำจัดกิเลสนั้นไปเรื่อยๆ พอเรากำจัดกิเลสมากขึ้นไปเรื่อยๆ ได้แล้ว ก็ทำความดีช่วยเหลือผู้คนไปเรื่อยๆ สานพลังกับหมู่มิตรดี กำจัดกิเลสไปเรื่อยๆ ช่วยเหลือผู้อื่นไปเรื่อยๆ พอเรากำจัดกิเลส เครื่องกังวล เครื่องเบียดเบียนไปเรื่อยๆ ช่วยเหลือผู้อื่นไปเรื่อยๆ เราจะเข้าใจกรรมดีกรรมชั่วแจ่มแจ้ง เมื่อเราเข้าใจกรรมดีกรรมชั่วแจ่มแจ้ง เราก็จะเชื่อมั่นในพุทธะมากขึ้นว่าโอ้.. ชีวิตนี้ต้องเอาโลกุตระนี่แหละเป็นหลัก เราจะรู้เอง เราจะรู้เองว่า เอ้อ..ถ้าเราจะไปใช้ชีวิตแบบโลกียะ หรือเอาแบบกิเลสนี่มันทุกข์ มันเป็นภัยต่อตนเองต่อผู้อื่น เราจะมีญาณปัญญามากขึ้นๆ มากขึ้นๆ เมื่อเรามีปัญญามากขึ้นแล้วก็มีบารมีมากขึ้น มีญาณปัญญามากขึ้น มีกุศลมากขึ้น ถึงตอนนั้นเราก็สามารถที่จะรู้ว่า ต้องมาทางโลกุตระ มาทางพุทธะ มันจะรู้เอง มันจะสุกงอมเองของมัน บางท่านล้างกิเลสได้แล้วก็อยากจะมาอยู่กับหมู่โลกุตระ หมู่พุทธะแต่ว่าภารกิจทางบ้าน วิบากยังไม่ปล่อย ยังไม่ยอมก็มี เราก็ต้องบำเพ็ญไปเรื่อยๆ สั่งสมไปเรื่อยๆ เขาจะค่อยๆปล่อยเรามากขึ้นๆ ไปเป็นลำดับๆ จนจะชาตินี้หรือชาติใดชาติหนึ่งในภายภาคหน้า เขาก็จะให้อิสระเรา เราจะมาบำเพ็ญได้เต็มที่เลย อย่างนี้เป็นต้น ไม่ใช่ว่าเราล้างกิเลสได้แล้วในจะมาได้เลยนะ บางทีวิบากก็ไม่ปล่อยมา อยากมานะแต่วิบากไม่ปล่อยมา โอ้ย..มาก็เรียกกลับ มาก็ต้องมาตามโควต้าที่เขาให้มา มาเท่าไหร่ก็แล้วแต่ หมดโควต้าเขาก็เรียกกลับ ไปต่อวีซ่าก่อน ไปใช้วิบาก ไปต่อวีซ่าก่อน ต่อวีซ่าได้แล้วก็ค่อยมาใหม่ มันจะเป็นอย่างนี้สลับไปสลับมา แล้วพอทำไปหลายวันเดือนปีเข้า เขาก็จะค่อยๆ ปล่อยมากขึ้น หรือว่าหลายภพหลายชาติไป เขาก็จะปล่อยมากขึ้นๆ มากขึ้นๆ เป็นอย่างนั้น
มันก็จะมีหลายแบบนะ บางท่านก็จะเป็นอีกแบบนึง บางท่านทั้งลดกิเลสได้ด้วย พลังกุศลมากพอด้วย ลดกิเลสคือบุญ ลดกิเลสได้ชำระกิเลสได้ดี ใจก็ไม่ติดไม่ยึดทางบ้านหรอก กุศลคือ ช่วยเหลือผู้อื่นเป็นวิบากดีก็มากพอ เขาก็ปล่อยมาด้วยนะ อย่างนั้นก็มาได้เลย ลดกิเลสก็ลดได้แล้ว ไม่ติดยึดอะไรทางบ้าน กุศลก็ปล่อยมาด้วยนะ วิบากดีก็ปล่อย อันนี้ก็มาได้เต็มที่เลย อย่างนี้เป็นต้น แต่บางท่านลดกิเลสได้ดี แต่ว่าวิบากร้ายยังไม่ปล่อย อกุศลยังไม่ปล่อย วิบากยังไม่ปล่อย ก็จะมาไม่ได้ หรือเขาปล่อยมาบางคราว ก็มาได้บางคราว อย่างนี้เป็นต้น ไปๆ มาๆ ก็จะเป็นอย่างนี้ ก็บำเพ็ญไปเรื่อยๆ เขาจะปล่อยมามากขึ้นเอง ไม่ชาตินี้ก็ชาติต่อๆ ไป หรือชาติอื่นๆ สืบไป ไม่ต้องคิดมาก ได้มาพบก็ดีนักหนาแล้ว บางท่านกิเลสก็ลดได้ วิบากร้ายเขาก็ปล่อย วิบากดีก็ออกฤทธิ์ คือ กุศลออกฤทธิ์ดี ทางบ้านก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรหรอกที่เราจะมาบำเพ็ญ แต่ว่ากิเลสตัวเองมันไม่ยอมให้มา .นั่นก็คาอยู่นั่นแหละนั่นๆ อ้างนู่นอ้างนี่อยู่นั่นแหละ อันนี้ก็ซวยหน่อย โง่หน่อย ไม่หน่อยหรอก มาก โอ้ย..ภาระอะไรก็ไม่มี ฟ้าก็ปล่อย เขาก็ไม่ได้รั้งไม่ได้ดึงไว้ มีแต่กิเลสตัวเองนี่แหละที่ไม่ปล่อยตัวเอง ก็มัดอยู่อย่างนั้นแหละ มัดอยู่กับอะไรก็ไม่รู้ โอ้ย…เวรกรรม ก็เรานี่แหละไม่กำจัดกิเลสตัวเอง เราไม่ปล่อยกิเลส กิเลสไม่ปล่อยเรา จับไม้จับมือกันทำ MOU กันอยู่อย่างนั้นน่ะนะ MOU ถาวรด้วย ทำความร่วมไม้ร่วมมือกับกิเลสอยู่นั่นแหละ ทำ MOU อยู่นั่นแหละ จับไม้จับมือกัน วันไหนๆ ก็เซ็นความร่วมมือกันกับกิเลส เราก็ไม่ปล่อยกิเลส กิเลสก็ไม่ปล่อยเรา ไปด้วยกันอ๊อมล๊อมๆ เลยไม่ได้มา ก็เป็นอย่างนี้ ก็ไปตรวจเอา เราเป็นประเภทไหนใน 3 ประเภท และมีอีกประเภทหนึ่งเป็น 4 ประเภทนะ คือ กิเลสก็ไม่ลด วิบากก็ไม่ละ ประเภทนี้กิเลสก็เต็มไปหมดเลย วิบากก็ไม่ละ คือ วิบากร้ายก็มัดๆไว้ โอ้ย…แล้วเลยประเภทนี้จอดไม่ต้องแจวเลย ไม่มีกุศลช่วย ไม่มีวิบากดีช่วย มีแต่วิบากร้ายเล่นงาน มัดไว้อยู่กับภาระต่างๆ ยุ่งไปหมดเลย กิเลสก็ลดไม่ได้อีก ประเภท 4 นี้จอดเลย นี่แหละคน 4 ประเภท พี่น้องจะเป็นประเภทไหนก็ตรวจสอบดู แล้วก็พัฒนาให้มันรุ่งเรือง ให้มันดีเอาให้มันก้าวหน้าๆ ไป ให้มันถูกต้อง ก็พุทธะนี่แหละดีที่สุดในโลก ขนาดพระพุทธเจ้าท่านก็ยังทิ้งทรัพย์สมบัติ อำนาจวาสนา อะไรต่างๆทางโลก ท่านก็ทิ้งหมดเลย มาเอาพุทธะ ท่านก็ได้วิชาพึ่งตนและช่วยคนให้พ้นทุกข์ได้ อย่างนี้เป็นต้น จะไปเสียดายอะไรกับโลกียะ คนในโลกียะก็ไม่เห็นมีใครพาตัวเองและคนอื่นพ้นทุกข์ได้ แต่คนโลกุตระ คนพุทธะพาตัวเองและคนอื่นพ้นทุกข์ได้ เราก็เอาความพ้นทุกข์สิ เป็นความผาสุกที่สุดในชีวิต ไปตรวจสอบดีๆ เพิ่มศีลดีๆ เพิ่มปัญญาดีๆ แล้วก็จะรู้ว่าเราควรจะอยู่กับโลกีย์หรือโลกุตระ อยู่ที่ปัญญาของเรานั่นแหละ ถ้าปัญญาเราไม่ชัดก็อย่าเพิ่ง ก็ต้องลดกิเลสจนปัญญามันชัด ถ้าปัญญายังไม่ชัดก็อย่าเพิ่งมาเลย อย่าเพิ่งมา เอ๊ะ..จะเอาอะไรดีนะ โลกียะ โลกุตระ หรืออะไรดีนะ ว่าแล้วก็กระโดดมาโลกุตระเลย ถ้าปัญญายังไม่ชัดนะระวังเถอะ เดี๋ยวเขาจะดึงกลับ เดี๋ยวเขาเรียกกลับ ปัญญายังไม่เต็มรอบก็อย่าเพิ่ง ไปๆมาๆก่อน อย่างน้อยมันก็ไม่ขายขี้หน้าอะไรเท่าไหร่ ปัญญายังไม่เต็มรอบ ยังไม่ชัดเจนว่าพุทธะดีแท้ สุขแท้ ไม่ชัดเจนว่าตัวเองจะปฏิบัติได้ดี อย่าเพิ่งคิดจะโจนเข้ามานะ ถ้าโจนเข้ามาแล้วพบว่า เส้นทางแห่งพุทธะไม่ใช่โรยด้วยกลีบกุหลาบนะ แต่โรยด้วยหนามกุหลาบ ฉะนั้นระวังจะไปเหยียบหนามกุหลาบเข้า เจ็บๆ
อาจารย์จะนำเรียนพี่น้องอย่างนี้ว่า เส้นทางของชีวิตจริงๆ ทางโลกียะก็มีแต่ทุกข์มากขึ้นๆ นั่นแหละ มาทางโลกุตระก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะก้าวหน้าอย่างเดียวโดยที่ไม่มีวิบากร้ายเล่นงาน มาทางนี้แล้วมันจะไม่ได้ก้าวหน้าแบบพรวดๆ พรวดๆ เป็นอรหันต์เลย พ้นทุกข์เลย มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ มันไม่ใช่อย่างนั้นนะ ยกเว้นเรามีบารมีเก่ามามาก ก็พรวดๆ พรวดๆ เป็นอรหันต์เลย เท่าที่เห็นในสมัยพุทธกาลมีกี่องค์นะ มีพระพาหิยะฟังธรรมะไม่กี่ประโยคเป็นอรหันต์เลย อย่างนี้เป็นต้น ก็มีไม่กี่องค์นะ ที่บรรลุเร็วๆ ส่วนใหญ่ก็หืดขึ้นคอแอ๊ดอั๊ดๆ
อาจารย์จะนำเรียนความจริงว่า คือ เรากำจัดกิเลสได้ชุดนึง เราก็จะมีความผาสุกไปชุดนึง เสร็จแล้วจากนั้นน่ะมันก็จะไปชนกับวิบาก 11 ประการ คนเราทำชั่วมาหาที่ต้นที่สุดไม่ได้ พระพุทธเจ้าตรัสในคงคาสูตร ติงสมัตตาสูตรว่า คนเราทำชั่วมาหาที่ต้นที่สุดไม่ได้ แล้วก็ทำดีมาหาที่ต้นที่สุดไม่ได้ ในสุคิตะสูตรท่านก็ตรัสอย่างนี้ ชีวิตก็เป็นอย่างนี้ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายๆ เราลดกิเลสได้ ทำความดีได้ มันจะมีพลังความดีชุดหนึ่งทำให้เราสุขสบายใจไร้กังวลไปเป็นลำดับ มีความผาสุกเป็นลำดับ มีวิบากดีช่วยแง่นั้นเชิงนี้ แต่อีกสักระยะนึงวิบากที่เราเคยทำมาแต่ปางไหนๆ จะแทรกมา พอมันลึ๊ม! เข้ามานี่มันจะมีเรื่องร้ายแง่นั้นเชิงนี้ กิเลสเราก็จะลดยากนะถึงตอนนั้น มันก็จะลดยากอยู่เหมือนกัน มันมีวิบาก 11 ประการที่จะปิดกั้นไม่ให้เราบรรลุธรรม เอาวิบากร้ายมากระหน่ำเราเปรี้ยงๆ เราจะงง จะเมาไป มันจะยุ่งจะงง จะเมาอยู่นะ มันไม่ใช่จะผ่านไปได้ง่ายๆ เราก็ต้องทน ต้องพิงเชือกอยู่กับหมู่มิตรดี มิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีเป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ พิงเชือกอยู่กับหมู่มิตรดีให้ได้ อย่าให้ตกเวที เกาะเชือกอยู่ กิเลสกับวิบากจะซัดเราขนาดไหนก็เกาะเชือกอยู่ ตั้งการ์ด (guard) ดีๆ อย่าให้มันถีบเราลงเวที พิงเชือกอยู่กับหมู่มิตรดีให้ได้ พิงเชือกอยู่แล้วก็พยายามสานพลังกับหมู่มิตรดีให้ได้ อย่างงี้แหละ รอจังหวะ ใช้วิบากชุดนั้นให้หมดไปด้วย แล้วก็๋พยายามทำความดีร่วมกับหมู่มิตรดีไป พยายามฟังธรรม ทบทวนธรรม สนทนาธรรมไป พิจารณาอย่างแยบคายทำไป ทีนี้พอเราทำความดีมากเข้าๆ วิบากที่เรารับมันก็ลดลงๆ ความดีมากเข้าก็จะดันวิบากร้ายออก แล้วปัญญาเราก็จะเพิ่มขึ้นๆ พอถึงรอบหนึ่งวิบาก 11 ประการจะเบาไป ซึ่งวิบาก 11 ประการจะปิดกั้นไม่ให้บรรลุธรรม ธรรมที่บรรลุแล้วเสื่อม เกิดโรคภัยไข้เจ็บ เกิดหลงผิดมันจะคิดผิดหลงผิดนะ แล้วเกิดความทุกข์ทรมานขึ้น มันบังเราอยู่ตรงนี้ ทีนี้พอวิบากชุดนั้นมันเบา ความดีที่เราทำมาออกฤทธิ์ ธรรมะที่เราพิจารณาไปออกฤทธิ์ ที่เราฟัง เราพิจารณา เราสนทนาและพิจารณาไปออกฤทธิ์ มันก็จะพั๊วะเลยนะ ถึงตอนนั้นก็ชนะกิเลส ก็ค่อยเลื่อนขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง พอเลื่อนขึ้นไปอีกชั้นหนึ่งมันก็จะโล่ง มีความสุข ก็นึกว่าจะไม่มีภัยอะไร แต่เดี๋ยวมันก็มาอีกแล้ว มันเป็นด่านอยู่นะ นี่แหละเขาเรียกด่านอรหันต์ เราต้องฝ่าด่านอรหันต์ไปให้ได้ ด่านแต่ละด่านๆ ด่านโสดาบัน สกิทาคามี อคามี อรหันต์ เขามีด่านของมารอยู่ เป็นหลุมพรางบนทางพุทธ มีค่ายกลดักเราเป็นระยะๆ มันไม่โรยด้วยกลีบกุหลาบนะ มันมีหนามกุหลาบเป็นระยะๆ อยู่ แต่คนก็ไม่ค่อยหลาบเท่าไหร่ มีแต่โดดใส่ๆ หนามนะ มันเป็นยังไงก็ไม่รู้ มันหนาม”กูหลาบ” กูก็ไม่ค่อยหลาบ ไม่ค่อยหลาบไม่ค่อยจำเท่าไหร่ โดดลงไปเรื่อบ เหยียบหนามไปเรื่อย หอก 300 เล่มแทงเรื่อย โดดใส่หอก 300 เล่มเรื่อย
เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่มั่นใจในทางพุทธะนี้นะ พอไปเจอด่านเหล่านี้ เจอค่ายกลของมารเหล่านี้ จะทุกข์แล้วก็จะถอยเลย ฉันไม่น่ามาเลยๆ ใครชวนฉันมา ยิ่งถ้าใครไปชวนเพื่อนมา ไปโน้มน้าวมา ไปผลักดัน ไปกดดัน ไปโน้มน้าว ไปหว่านล้อมมา แล้วคราวที่เพื่อนไปเจอด่านเหล่านี้ เขาจะโทษเราล่ะทีนี้ ถ้าใครไปกดดัน หว่านล้อมเพื่อนมา ถ้าเขาไม่ได้เต็มใจมาด้วยตัวเขาเองนะ จะไปเจอด่านนี้เข้า เจอด่านนี้แล้วเขาไม่ได้มีความสุขนะทีนี้ คราวนี้เขาจะโทษเราเลย เธอเป็นคนชวนฉันมา ไหนว่าจะมีความสุข ทุกข์จะตาย อันนั้นอันนี้ก็ทิ้งมาหมดแล้ว แล้วจะกลับไปยังไงล่ะเนี่ย ตายเลยทีนี้ๆ อายุก็มากขึ้น อะไรๆ ก็ทิ้งมาแล้ว จะกลับไปตั้งหลักใหม่ก็ลำบากๆ แล้วทีนี้ โอ้ย..คราวนี้เขาโทษเราแหลกลาญเลยนะ เพราะฉะนั้นใครจะมาก็ต้องมาเองนะ แล้วก็ต้องเข้าใจเอง ไปโทษใครไม่ได้ จะมาก็อย่าไปโทษใคร เพราะยังไงมันเจออยู่แล้ว มันจะเจอค่ายกลของมารเป็นระยะๆ อยู่แล้ว มันจะแย่อยู่แล้วด่านของมารที่เราต้องฝ่าไปๆ เป็นลำดับๆ แล้วพ้นทุกข์ไปเป็นลำดับๆ แม้อยู่ข้างนอกก็เจอไม่ใช่ไม่เจอ เจอหนักกว่า ข้างนอกจะเจอหนักกว่าแน่นอน เพราะว่าเพิ่มแต่กิเลส เพิ่มแต่กิเลสน่ะหนักกว่าแน่นอน ทำไปสักพักโอ้โห..เรื่องร้ายแง่นั้นเชิงนี้ซัดเละเลย อยู่ทางโลกียะหนักกว่าแน่นอน เพิ่มแต่กิเลสน่ะหนักกว่าแน่นอน จะหนักและทรมานยาวนานชั่วกัปชั่วกัลป์ แต่พุทธะเจอเป็นระยะๆ ระยะๆ เดี๋ยวก็หมด ถ้าเราสู้อดทนรอคอยให้อภัยทำดีเรื่อยไปใจเย็นข้ามชาติ เขาจะหมดไปเป็นลำดับๆ มันเป็นด่านๆ อยู่ ให้เราได้เพียรได้พักอยู่ จังหวะที่เราชนะมันก็ได้พัก เออ..ได้หายใจกายคอ ได้มีความสุข อีกสักพักเขามาอีกแล้วๆ ปัญหาโน้นปัญหานี้มาอีกแล้ว เราก็ต้องอดทนรอคอยให้อภัยทำดีเรื่อยไปใจเย็นข้ามชาติ เมื่อไหร่เมื่อนั้น ก็ทำดีกับหมู่มิตรดีไป ใจเย็นข้ามชาติไป ฟังธรรม สนทนาธรรม ทบทวนธรรมไป อย่างนี้เป็นต้น เติมปัญญาเข้าไป ถึงวันหนึ่งวิบากชุดนั้นเบาบางก็ทะลุขึ้นไปอีกๆ มันจะบรรลุขึ้นไป มันจะโล่งขึ้นไป อีกสักพักมาอีกแล้ว ปัญหานั้นปัญหานี้มาอีกแล้ว เป็นอย่างนี้จนกว่าจะพ้นทุกข์ จนกว่าจะหมดกิเลส หมดกิเลสก็ไม่ใช่จะไม่มานะ หมดกิเลส หมดความกลัว กังวล หวั่นไหวแล้ว ได้พลังผาสุกผ่องใสไร้กังวลในทุกสถานการณ์แล้ว มั่นคงยั่งยืน ก็ไม่ได้หมายความว่าปัญหาจะไม่มานะ เขายังจะมาเป็นระยะๆ เพียงแต่ใจไร้ทุกข์ ไม่ใช่เขาจะไม่มา เขาก็มา พระพุทธเจ้าก็ยังมาเลย พระโพธิสัตว์เขาก็มา วิบากเขาจะมาเป็นระยะนะ การเกิดเป็นทุกข์อย่างนี้ ปรินิพพานแล้วถึงจะไม่มา ก็ยังมาเป็นระยะๆ แต่พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ ท่านก็จะไม่ทุกข์ใจเท่านั้นเอง ท่านใจไร้ทุกข์ และท่านก็ทำความดีมาก จะมีความดีคอยช่วย ใจไร้ทุกข์ด้วยมีความดีคอยช่วยด้วย ดันวิบากร้ายไปเขาก็จะเบา ถ้าไม่ทำความดีก็จะหนักกว่านั้น มันจะเบา ใจไร้ทุกข์ด้วย พอใจไร้ทุกข์พอมันมาก็จะรู้สึกว่ามันแรงเท่ากับฝุ่นปลายเล็บ มันก็มานี่แหละแต่แรงเท่ากับฝุ่นปลายเล็บจะไปกลัวอะไร ถึงตอนนี้เรากำจัดกิเลสได้แล้ว กำจัดทุกข์ใจได้แล้วเขาก็แรงแค่ฝุ่นปลายเล็บ มาแค่ไหนก็แรงเท่ากับฝุ่นปลายเล็บ เราก็แก้ไขไปเท่าที่ได้ เราไม่ได้ทำชั่วเพิ่มเขาจะหมดไปเรื่อยๆ แหละ เขาก็จะค่อยๆ หมดไปเรื่อยๆ ก็จะหมดไป 4 แบบ 1) หมดแบบหมด 2) หมดแบบลดลง 3) หมดแบบเท่าเดิม 4). หมดแบบเพิ่มขึ้น มี 4 แบบ เขาก็จะหมดไปแบบนี้แหละ ค่อยๆหมดไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นทำความเข้าใจให้ดี อย่าไปคาดหวังว่ามาแล้วจะไม่มีอุปสรรคอะไร อย่าไปคาดหวัง เป็นไปไม่ได้ ปัญหาอุปสรรคจะมีเป็นลำดับๆ แล้วก็จะโล่งไปเป็นลำดับๆ โล่งแล้วก็มีๆ จะเป็นอย่างเนี้ย มันจะโล่งไปตลอดเลยไม่มี เป็นไปไม่ได้ ด้านร่างกายด้านเหตุการณ์จะมีปัญหาเป็นระยะๆ เป็นธรรมดา ที่จะไม่มีปัญหาเลยคือ ในใจเราเท่านั้น ถ้ากำจัดกิเลสได้ก็หมดปัญหาไปตลอดเลย และปัญหาที่เข้ามาก็แรงเท่าปลายเล็บ ไม่ต้องกลัวถ้ากำจัดกิเลสได้ อาไปพิจารณาให้ดี สรุปแล้วถ้ายังไม่มั่นใจก็อย่าเพิ่งอย่าโถมเข้ามา ยังไม่มั่นใจเราก็ทำแบบไม่มั่นใจนั่นแหละ แล้วก็มาบ้างกลับบ้างๆ ยังไม่มั่นใจอย่าเพิ่งโถม โถมเข้ามาแล้วไปเจอวิบากเป็นชั้นๆ เหมือนที่อาจารย์ว่า ก็จะอกหักอกพังเอา เพราะเขารอเราอยู่ เขารอทุกคนอยู่นะๆ มารเขาจะส่งมาเป็นระยะๆ วิบากเขารออยู่เป็นระยะๆ นะ เขาไม่ได้ปล่อยให้เราอยู่สบายๆ ไปตลอดนะ เขารอเราเป็นระยะๆ อยู่ เพราะฉะนั้นจะเข้ามาก็ต้องรู้ว่า เขารอเป็นระยะๆ อยู่ แม้ไม่มาก็ยิ่งหลายระยะ เราไม่มาเขายิ่งซัดเราหลายระยะ แต่ถ้ามานี่มันจะมีจุดโล่งอยู่สักพักนึง .กำจัดกิเลสได้ วิบากดีช่วย มันจะโล่งไปสักพักนึงแล้วก็ไปเจอวิบากร้าย แล้วก็จะกำจัดกิเลสได้กำจัดวิบากนั้นได้ ก็อ้าว…โล่งไปอีกระยะหนึ่งแล้วก็ไปเจออีก เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็พ้นทุกข์ พ้นทุกข์แล้วก็ใจไร้ทุกข์ แล้วก็ยังจะมีวิบากมาอีก แต่ว่าเขาจะน้อยกว่าที่เราไม่ได้ทำความดี ไม่ได้ลดกิเลส เข้ามาแค่ปลายเล็บ คือความรู้สึกเราแค่ปลายเล็บ แต่เขาจะมาเอามาแรงมาเบาแค่ไหนก็เป็นไปตามวิบากเรา แต่เขาก็จะเบาไปเรื่อยๆ