ดาวน์โหลดเอกสารใบสมัคพรรคสัมมาธิปไตย กดที่นี่  ดูขั้นตอนการสมัคร กดที่นี่ 

ดาวน์โหลดเอกสารลงชื่อคัดค้านกาสิโนถูกกฎหมาย และไม่เห็นด้วยกับการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร กดที่นี่  ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ที่นี่

630418_อาจารย์หมอเขียว

ดร.ใจเพชร กล้าจน

อาคารดอยฟ้า พุทธสถานภูผาฟ้าน้ำ

บ้านแม่เลา แม่แตง เชียงใหม่

18 เมษายน 2563

13.00-15.00 น.

สถานการณ์โควิดทั่วโลก ติดเชื้อ 2 ล้านคน อันดับ 1 สหรัฐเอมริกา ไทย ติดเชื้อ 2,371 ราย เป็นอันดับที่ 53 เป็นทิศทางที่ดีขึ้น สรุปแล้ว โควิดยังออกฤทธิ์แรงกระจายไปทั่วโลกอยู่ โควิดมาเป็นพลังที่

  • ช่วยทำลายหรือหยุดสิ่งที่ไม่ดีได้
  • เป็นตัวชี้วัดว่าอะไรเป็นสิ่งดีหรือไม่ดี
  • เป็นตัวชี้วัดว่าพฤติกรรมอะไรที่ทำไปแล้วทำให้โรคโควิดระบาดหรือไม่ระบาด
  • เป็นตัวชี้วัดที่แม่นที่สุดเลย

จีนออกกฎการไม่กินเนื้อสัตวป่า เนื่องจากเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้โควิดระบาด ปาณาติบาต ศีลข้อที่ 1 ส่วนศีลข้อ 5 ก็เป็นอีกหนึ่งข้อ ที่เป็นแหล่งอบายมุขที่เป็นจุดกระจายโควิดได้ชัด คือ ผับ บาร์ เสพสุราเหล้า เมายา และอีกที่คือ ที่เป็นที่อยู่แออัด เป็นที่เสพอบายมุข เสพอัตตาที่แรง

หรือประเทศที่ก้าวหน้าที่เศรษฐกิจดี ประเทศเหล่านี้ ก็ไม่ได้ช่วยหยุดยั้งโควิดเลย เป็นประเทศที่โควิดระบาดได้มากกระจายตัว เป็นประเทศที่ไม่ได้มุ่งกสิกรรม มุ่งไปในทางเบียดเบียน เชื้อกระจายได้มากกว่าประเทศที่มีกสิกรรม เป็นประเทศที่มีการปรุงแต่ง ใส่สารเคมีเยอะ เป็นประเทศที่โรคระบาดได้เยอะ แต่ถ้าประเทศที่มาทางกสิกรรม ประวัติโรคภัยไข้เจ็บน้อย

ประเทศที่ไปรบไปเข่นฆ่าประเทศอื่น ๆ เขา ก็จะมีโรคระบาดมาก นี่เป็นการตั้งข้อสังเกต นี่คือการเบียดเบียน ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสในจูฬกัมมวิภังคสูตรว่า การมีโรคมากเกิดจากการเบียดเบียน

พระไตรปิฎก 14/579 จูฬกัมมวิภังคสูตร

[580]  สุภมาณพ  โตเทยยบุตร  พอนั่งเรียบร้อยแล้ว  ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า  ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ  อะไรหนอแล  เป็นเหตุ  เป็นปัจจัยให้พวกมนุษย์ที่เกิดเป็นมนุษย์อยู่  ปรากฏความเลวและความประณีต  คือ  มนุษย์  ทั้งหลายย่อมปรากฏมีอายุสั้น  มีอายุยืน  มีโรคมาก  มีโรคน้อย  มีผิวพรรณทราม  มีผิวพรรณงาม  มีศักดาน้อย  มีศักดามาก  มีโภคะน้อย มีโภคะมาก  เกิดในสกุลต่ำ  เกิดในสกุลสูง  ไร้ปัญญา  มีปัญญา  ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรหนอแล  เป็นเหตุ  เป็นปัจจัย  ให้พวกมนุษย์ที่เกิดเป็นมนุษย์อยู่  ปรากฏความเลวและ ความประณีต  ฯ

[581]  พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  ดูกรมาณพ  สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน  เป็นทายาทแห่งกรรม  มีกรรมเป็นกำเนิด  มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์  มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย  กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้เลวและประณีตได้  ฯ

สุภมาณพ :  ข้าพระองค์ย่อมไม่ทราบเนื้อความโดยพิสดารของอุเทศที่พระโคดมผู้เจริญตรัสโดยย่อ มิได้จำแนกเนื้อความโดยพิสดารนี้ได้  ขอพระโคดมผู้เจริญ  ได้โปรดแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์ โดยประการที่ข้าพระองค์จะพึงทราบเนื้อความแห่งอุเทศนี้โดยพิสดารได้เถิด  ฯ
พระพุทธเจ้า : ดูกรมาณพ  ถ้าอย่างนั้นท่านจงฟัง  จงใส่ใจให้ดี  เราจะกล่าวต่อไป 
สุภมาณพโตเทยยบุตร  ทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า  ชอบแล้ว  พระเจ้าข้า  ฯ

[582]  พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า  ดูกรมาณพ  บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม เป็นผู้มักทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง  เป็นคนเหี้ยมโหด  มีมือเปื้อนเลือดหมกมุ่นในการประหัตประหาร  ไม่เอ็นดูในเหล่าสัตว์มีชีวิต  เขาตายไป  จะเข้าถึงอบาย  ทุคติวินิบาต นรก เพราะกรรมนั้น  อันเขาให้พรั่งพร้อม  สมาทานไว้อย่างนี้  หากตายไปไม่เข้าถึงอบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรกถ้ามาเป็นมนุษย์  เกิด  ณ  ที่ใด ๆ  ในภายหลัง  จะเป็นคนมีอายุสั้น  ดูกรมาณพปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีอายุสั้นนี้  คือ  เป็นผู้มักทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง  เป็นคนเหี้ยมโหด  มีมือเปื้อนเลือด  หมกมุ่นในการประหัตประหาร  ไม่เอ็นดูในเหล่าสัตว์มีชีวิต  ฯ

[583]  ดูกรมาณพ  ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม  บุรุษก็ตาม  ละปาณาติบาตแล้ว  เป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต  วางอาชญา  วางศาตราได้  มีความละอายถึงความเอ็นดู  อนุเคราะห์ด้วยความเกื้อกูลในสรรพสัตว์และภูตอยู่  เขาตายไป  จะเข้าถึงสุคติโลก สวรรค์  เพราะกรรมนั้น  อันเขาให้พรั่งพร้อมสมาทานไว้อย่างนี้  หากตายไป  ไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์  ถ้ามาเป็นมนุษย์เกิด  ณ  ที่ใด ๆ ในภายหลัง  จะเป็นคนมีอายุยืน  ดูกรมาณพ ปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีอายุยืนนี้  คือ  ละปาณาติบาตแล้ว  เป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต  วางอาชญาวางศาตราได้  มีความละอาย  ถึงความเอ็นดู  อนุเคราะห์ด้วยความเกื้อกูลในสรรพสัตว์และภูตอยู่  ฯ

[584]  ดูกรมาณพ  บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม  บุรุษก็ตาม  เป็นผู้มีปรกติเบียดเบียนสัตว์ด้วยฝ่ามือ  หรือก้อนดิน  หรือท่อนไม้  หรือศาตราเขาตายไป  จะเข้าถึงอบายทุคติ  วินิบาต  นรก  เพราะกรรมนั้น  อันเขาให้พรั่งพร้อม  สมาทานไว้อย่างนี้  หากตายไปไม่เข้าถึงอบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก  ถ้ามาเป็นมนุษย์  เกิด  ณ  ที่ใด ๆ  ในภายหลังจะเป็นคนมีโรคมาก  ดูกรมาณพปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีโรคมากนี้  คือ  เป็นผู้มีปรกติเบียดเบียนสัตว์ด้วยฝ่ามือ หรือ  ก้อนดิน  หรือท่อนไม้  หรือศาตรา  ฯ

ประเทศใดที่เป็นเรื่องความเบียดเบียน ประเทศนั้นจะเป็นโรคมากชัดเลย อบายมุขนี้เป็นความเบียดเบียนคนอื่นสัตว์อื่น อาชีพที่มาทางไม่เบียดเบียน ก็จะมีโรคน้อย มิจฉาวณิชชา ทำแล้วเบียดเบียน จะมีวิบากร้าย

ประเทศที่ขายสัตว์ สัตว์ตาย เป็นบาป ทั้งประวัติศาสตร์และปัจจุบันสังเคราะห์ร่วมกัน เบียดเบียนจะทำให้มีวิบาก ประเทศที่ชอบกินสัตว์ ขายสัตว์ ฆ่าสัตว์ ก็เบียดเบียนได้มากกว่าประเทศที่ไม่กินสัตว์ กินผัก ก็จะแข็งแรง โรคระบาดน้อย

ในงานวิจัยของอาจารย์ ก็มีตัวอย่างกว่า 6 หมื่นคน มากินอาหารที่ไม่เบียดเบียนต่อชีวิต ก็มีโรคภัยไข้เจ็บลดลง มีความแข็งแรงขึ้นเป็นลำดับ ช่วยคนได้กว่า 3 แสนคน ชัดเจนว่าอาชีพที่ดีที่สุดในโลก คือ อาชีพที่ไม่เบียดเบียน อาชีพที่ไม่มัวเมา ไม่ค้าของของเมา ไม่เมาในกิเลส อบายมุข กาม รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ที่ไม่เป็นประโยชน์ โลกธรรม อัตตา

ประเทศที่มีมิจฉาวณิชชา จะมีโรคระบาดที่มาก สิ่งนี้ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไร ก็จะมีแต่สร้างความทุกข์ทรมาน ฉะนั้น สิ่งที่เขาทำไม่ได้ช่วยอะไรได้ ถ้าเขาเข้าใจ เขามีปัญญา ว่าการเบียดเบียนไม่ได้ช่วยอะไร ฉะนั้น ที่ไม่เบียดเบียนคนอื่นสัตว์อื่น นี้เป็นอาชีพที่ดี

การทำกสิกรรมเป็นอาชีพที่มั่นคง เราไม่มีความเดือดร้อนใด ๆ กับโควิดระบาด เราทำอาชีพกสิกรรมไร้สารพิษเป็นหลัก อาหารเป็นหนึ่งในโลก เราทำกสิกรรมไร้สารพิษเป็นหลัก ชีวิตเราก็อยู่ด้วยอาหาร สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงดำรงอยู่ด้วยอาหาร

เราไม่มีเงิน เราอยู่ได้ถ้าเรามีอาหาร แต่ถ้าเราไม่มีอาหาร เราอยู่ไม่ได้ เรามีเงิน มีชื่อเสียง มีอำนาจ มีอบายมุข มีสารพัดเรื่อง แต่เราไม่มีอาหาร อยู่ไม่ได้ ชีวิตต้องกลับมาอยู่กับสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิต ถ้าเรากลับมาเน้นสิ่งที่เป็นประโยชน์กับชีวิต ใช้สมดุลร้อนเย็น นี้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ที่สุดในชีวิตเลย ถ้าเข้าใจแล้ว ชีวิตเราก็จะอยู่อย่างสร้างสรรค์ที่เป็นประโยชน์ต่อทุกชีวิต

ถ้าเรามาเน้นที่อาชีพกสิกรรมไร้สารพิษ ก็จะมั่นคง เป็นความเจริญที่อุดมสมบูรณ์ กสิกรรมจะทำให้เราเป็นอิสระจากเงิน ปลดแอกจากเงิน จะมีก็มีน้อย ๆ เรามีกสิกรรม เรากินอยู่รอด ช่วยเหลือเกื้อกูล ไม่มีกสิกรรมไร้สารพิษ มีแต่เงิน ก็อยู่ไม่รอ คนที่ช่วยให้คนอื่นรอดตาย คือ คนที่ผลิตอาหาร ไม่ใช่คนที่ผลิตเงิน ที่ทำให้คนอยู่รอด หยุดผลิตอาหาร ไม่เลี้ยงคนอื่น เลี้ยงตัวเองก็พอ คนตายเลย

แต่ตอนนี้ ถ้าหยุดผลิตเงิน คนไม่ตาย แต่ถ้าหยุดผลิตอาหาร เร่งผลิตเงิน ผลิตอาวุธ ผลิตอบายมุข เร่งผลิตให้มาก ๆ นี้ คนตาย แต่ถ้าไปเร่งผลิตอาหาร คนก็ไม่ตาย ฉะนั้น ถ้าไปเร่งสิ่งอื่นที่ไม่จำเป็นในชีวิต คนก็จะตาย นี้อาหารขาดแคลน เคนย่า ก็ขาดแคลนอาหาร

ฉะนั้น ถ้ามุ่งไปทำอย่างอื่น ที่ไม่ใช่อาหารไร้สารพิษ ไม่มีเวลามาผลิตอาหาร ในขณะที่ประชากรโลก มากขึ้น ก็เข่นฆ่ากันตาย ยิ่งไปสู่การทำอย่างอื่นมากๆ เท่านั้น นี้ก็จะทำให้อาหารขาด คนแย่งชิงตาย แล้วคนก็อดตาย คนเรายิ่งเรียนก็ยิ่งโง่ ยิ่งทันสมัย ยิ่งโง่ ส่งหากันตาลายหมดเลย ไม่ได้พาให้ฉลาด ให้คนอยู่รอดเลย ไม่พาทำสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิต มีอาหารการกินที่ดี มีเศรษฐกิจดี เงินไม่มีก็ได้ มีน้อย ๆ ก็ได้ ไม่มีก็เอาอาหารไร้สารพิษไปแลกก็ได้ เราอยู่กับความมั่นคงของชีวิต ไม่เดือดร้อน

กสิกรรมไร้สารพิษ จะเป็นความไม่เดือดร้อน ครบหมด ถ้าเราใช้เป็น อาหารไร้สารพิษ นี้ช่วยผู้คนให้สุขภาพที่ดีขึ้นได้ 90% ช่วยคนได้กว่า 3 แสนคน มีตัวอย่างกว่า 6 หมื่นคน ขายบ้าง แจกฟรีบ้าง ถ้าชีวิตหนึ่งเกิดมาไม่ทำประโยชน์ตน พึ่งตนไม่ได้ ช่วยผู้อื่นก็ไม่ได้ นี้เกิดมาเสียชาติเกิด แต่อาจารย์ก็ปรุงไปอีกอันหนึ่งคือ ชิงหมาเกิด

ตอนนี้โลกก็ร้อนขึ้น อากาศก็เปลี่ยนแปลงเร็ว ถ้าไม่รู้วิธีการ ก็จะปลูกยาก อาจารย์ค้นพบบารายคัลเจอร์ มี 3 อย่าง คือ ดิน หิน อินทรียวัตถุ (เศษใบไม้ เศษอาหาร) เอามาคลุกกัน และปลูกพืชเลย เป็นดินอย่างดี ยิ่งถ้ามีปุ๋ยยูเรีย ปัสสวาะ ของเราเลย ผสมกับน้ำ 1: 5 กรณีเอาไปรดผัก แต่ถ้ารดใส่กองปุ๋ยก็ใส่ได้เลย ไม่ต้องผสมน้ำ การทำบารายคัลเจอร์ ความสำคัญอยู่ที่หิน เป็นตัวปรับสมดุลร้อนเย็น

ชีวิตไม่มีอะไรยาก ไปหลงกิเลส หลงสิ่งที่ไม่จำเป็นในชีวิต อยากได้ก็ทุกข์ เสียเวลา เสียแรงงาน ไปไขว่คว้ามา เก็บไม่ได้ ไม่มีสาระ มีแต่วิบาก สุขภาพก็เสีย วิบากร้ายก็เพิ่ม อยากได้ก็แย่งชิง ก็เสีย ไปหลงอบายมุข กาม โลกธรรม อัตตา ไปหลงทำสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อชีวิต ถ้าไม่ไปหลงกิเลส ก็ปรุงแต่งขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ปรุงแต่ง ก็มีเวลาไปทำสิ่งที่เป็นสาระของชีวิต

ทำอย่างไรคนจะแม่นประเด็น ใครแม่นไม่แม่น เราอยู่รอดก็พอแล้ว ถ้าไม่แม่นเราจะหลงไป และไม่มั่นคง คนที่ไม่มั่นคงต่อชีวิตนี้ แกว่งหมด ใครไม่มีอาหารกิน นี้ไม่มั่นคงหมด ใครที่ไม่มุ่งมาทำกสิกรรมไร้สารพิษ อาหารหมดก็ตาย ถ้าหนีจากสิ่งนี้ คนรวยก็ตาย ถ้าไม่สำนึกคราวนี้ก็ตาย มัวไปทำอย่างอื่น นี้ก็ตาย เอามาสนับสนุนทำอาหาร ใช้ชีวิตที่จำเป็น เราก็อยู่รอด ทำอย่างไรชีวิตเราจะอยู่ผาสุกได้

พระไตรปิฎก 23/144 ทีฆชาณุสูตร

[144] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิคมแห่งชาวโกฬิยะชื่อ กักกรปัตตะ ใกล้เมืองโกฬิยะ ครั้งนั้นแล โกฬิยบุตรชื่อทีฆชาณุ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เป็นคฤหัสถ์ยังบริโภคกาม อยู่ครองเรือน นอนเบียดบุตร ใช้จันทน์ในแคว้นกาสี ยังทรงดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้ ยังยินดีเงินและทองอยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดแสดงธรรมที่เหมาะแก่ข้าพระองค์ อันจะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขในปัจจุบัน เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขในภายหน้าเถิด ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพยัคฆปัชชะ ธรรม 4 ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขในปัจจุบันแก่กุลบุตร 4 ประการเป็นไฉนคือ อุฏฐานสัมปทา 1 อารักขสัมปทา 1 กัลยาณมิตตตา 1 สมชีวิตา 1 ฯ

ดูกรพยัคฆปัชชะ ก็อุฏฐานสัมปทาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้ เลี้ยงชีพด้วยการหมั่นประกอบการงาน คือ กสิกรรม พาณิชยกรรม โครักขกรรม รับราชการฝ่ายทหาร รับราชการ ฝ่ายพลเรือน หรือศิลปอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นผู้ขยันไม่เกียจคร้านในการงานนั้น ประกอบด้วยปัญญาเครื่องสอดส่องอันเป็นอุบายในการงานนั้น สามารถจัดทำได้ ดูกรพยัคฆปัชชะ นี้เรียกว่าอุฏฐานสัมปทา ฯ

ดูกรพยัคฆปัชชะ ก็อารักขสัมปทาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้ มีโภคทรัพย์ที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร สั่งสมด้วยกำลังแขน มีเหงื่อโทรมตัวชอบธรรม ได้มาโดยธรรม เขารักษาคุ้มครองโภคทรัพย์เหล่านั้นไว้ได้พร้อมมูลด้วยทำไว้ในใจว่า ไฉนหนอ พระราชาไม่พึงบริโภคทรัพย์เหล่านี้ของเรา โจรไม่พึงลัก ไฟไม่พึงไหม้ น้ำไม่พึงพัดไป ทายาทผู้ไม่เป็นที่รักจะไม่พึงลักไป ดูกรพยัคฆปัชชะ นี้เรียกว่าอารักขสัมปทา ฯ

ดูกรพยัคฆปัชชะ ก็กัลยาณมิตตตาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้ อยู่อาศัยในบ้านหรือนิคมใด ย่อมดำรงตน เจรจา สั่งสนทนากับบุคคลในบ้านหรือนิคมนั้น ซึ่งเป็นคฤหบดี หรือบุตรคฤหบดี เป็นคนหนุ่มหรือคนแก่ ผู้มีสมาจารบริสุทธิ์ ผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ศึกษาศรัทธาสัมปทาตามผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ศึกษาศีลสัมปทาตามผู้ถึงพร้อมด้วยศีลศึกษาจาคสัมปทาตามผู้ถึงพร้อมด้วยจาคะ ศึกษาปัญญาสัมปทาตามผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา ดูกรพยัคฆปัชชะนี้เรียกว่ากัลยาณมิตตตา ฯ

ดูกรพยัคฆปัชชะ ก็สมชีวิตเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้ รู้ทางเจริญทรัพย์และทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์ แล้วเลี้ยงชีพพอเหมาะ ไม่ให้ฟูมฟายนักไม่ให้ฝืดเคืองนัก ด้วยคิดว่า รายได้ของเราจักต้องเหนือรายจ่าย และรายจ่ายของเราจักต้องไม่เหนือรายได้

ดูกรพยัคฆปัชชะ เปรียบเหมือนคนชั่งตราชั่งหรือลูกมือคนชั่งตราชั่ง ยกตราชั่งขึ้นแล้ว ย่อมลดออกเท่านี้ หรือต้องเพิ่มเข้าเท่านี้ ฉันใด กุลบุตรก็ฉันนั้นเหมือนกัน รู้ทางเจริญและทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์ แล้วเลี้ยงชีพพอเหมาะ ไม่ให้ฟูมฟายนัก ไม่ให้ฝืดเคืองนัก ด้วยคิดว่า รายได้ของเราจักต้องเหนือรายจ่าย และรายจ่ายของเราจักต้องไม่เหนือรายได้ ดูกรพยัคฆปัชชะ ถ้ากุลบุตรผู้นี้มีรายได้น้อย แต่เลี้ยงชีวิตอย่างโอ่โถงจะมีผู้ว่าเขาว่า กุลบุตรผู้นี้ใช้โภคทรัพย์เหมือนคนเคี้ยวกินผลมะเดื่อ

….

พระพุทธเจ้าให้ทำกสิกรรมเป็นหลัก เป็นกสิกร เป็นทางแห่งความสุข เป็นทางนำหน้าเลย การงานอื่น ๆ เป็นรอง ขยันด้วย แล้วผาสุก ฉลาดที่จะทำการงานให้เจริญ ผู้ที่จะมีปัญญา ต้องมีศรัทธา ศีล และแบ่งปัน จึงจะมีปัญญาศึกษาการแบ่งปันตามผู้ที่แบ่งปันได้ ศึกษาปัญญาทำตามผู้ที่ทำได้ มีปัญญาที่จะบำเพ็ญบุญกุศลได้

ดูกรพยัคฆปัชชะนี้เรียกว่ากัลยาณมิตตตาฯ นี้ถึงจะมีความสุขได้ ดูกรพยัคฆปัชชะ ก็สมชีวิตเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้ รู้ทางเจริญทรัพย์และทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์ แล้วเลี้ยงชีพพอเหมาะ ไม่ให้ฟูมฟายนักไม่ให้ฝืดเคืองนัก ด้วยคิดว่า รายได้ของเราจักต้องเหนือรายจ่าย และรายจ่ายของเราจักต้องไม่เหนือรายได้

นี้พระพุทธเจ้าสอนมาตั้งนานแล้ว ชีวิตนี้ถ้าไม่มีรายจ่ายมากกว่ารายได้ ก็ไม่ทุกข์หรอก แต่ถ้ามีรายจ่ายมากกว่ารายได้ ก็เป็นหนี้สิ นี้เสื่อมด้วย ไปจ่ายดอกด้วย รายได้ไม่พอรายจ่าย คนเราถ้าอยู่กับสิ่งจำเป็นในชีวิต ชีวิตไม่ต้องไปทุกข์อะไรเลย ไปอยากได้งานนั้นงานนี้ ไปอยากได้ ๆ อยากได้รถ ทีวี เครื่องเสียง ไอแพด ฯลฯ อยากไปเที่ยว อยากไปนั่นนี้ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ตอนนั้น ก็ไม่ตาย ไม่ได้ ก็ไม่เดือดร้อนแล้วชีวิต

แค่นี้ไม่อยากได้ ก็รอดแล้ว ชีวิตไอ้ที่คนไปอยากได้อะไร ข้าวของต่าง ๆ สัตว์เดรัจฉาน มันไม่ได้ไปอยากได้อะไร มันแค่มีกินก็พอแล้ว คนเรานี้ไปหลอกตัวเอง หลอกคนอื่นอยู่ได้ ไม่น่าเชื่อเลย ว่าคนยุคนี้ ที่มีการศึกษา มีข้อมูลที่เติมกัน แต่เป็นข้อมูลที่เติมความโง่ โง่ยกกำลังโง่ ไม่รู้จะโง่ไปถึงไหน โดนกามหลอก โลกธรรมหลอก หน้าตาชื่อเสียงศักดิ์ศรี มันหลอกบีบคอเอา ว่าต้องได้หน้าได้ตา ได้หน้าเป็นหนี้ ขอเป็นหนี้เพื่อหน้าเป็นหนี้เท่าไร ก็ยอม นี่เป็นทาสของโลกธรรมอัตตา ใครจะว่าเราต้อยต่ำ แต่เรามีอยู่มีกิน เราก็สบาย เรามีอาหารกิน มีมิตรดี มีศีล เราเบิกบาน แจ่มใส สบายไร้กังวล

เราอยู่อย่างต่ำ กระทำอย่างสูง เราอยู่เหนือโลกธรรม อัตตา ไม่มีใครมากระแทกเราได้ เรามีมิตรดี เราเป็นประโยชน์ต่อคนที่เราอยู่ร่วมกัน เราก็สบายแล้ว ถ้าเราไปอยู่กับโลกธรรม อัตตา ความทุกข์ไม่ได้สูญหายนะ ไปหลงกับโลกธรรมอัตตา

ทำไมสถาบันศึกษาก็มากมาย แต่ก็ไม่มีฤทธิ์เดช สอนให้คนอยู่เหนือโลกธรรม อัตตา และก็ไปอยู่ใต้อำนาจเหล่านี้ ให้ถูกบังคับ กลัวจะไม่ได้เสพกิเลสเหล่านี้ ตะเกียกตะกาย แย่งชิงสิ่งเหล่านี้มา เสพกิเลสนี้ เหมือนหมาแทะกระดูก มันไม่มีเนื้อ แล้วเอาไปซ่อน แล้วมาเลียใหม่ เสพกิเลส ก็เหมือนหมาแทะกิเลส เก็บสุขไม่ได้เลย มีแต่แก่งแย่งกัน เป็นวิบากร้าย ไม่เชื่อว่า คนในยุคนี้มันน่ามืด วิ่งลงนรก วิ่งไปสู่ความเดือดร้อน สุขปลอม ทุกข์จริง

ชีวิตไม่น่าจะยุ่งยากขนาดนั้น วุ่นวาย ยุ่งเหยิงไปหมด ประโยคทองของพระพุทธเจ้า เราจักต้องมีรายได้เหนือรายจ่าย ไม่ได้มีรายจ่ายเหนือรายได้ เราอยู่ได้ตามความจำเป็นของชีวิต เราอยู่ตามเหมาะตามควร ให้พอเหมาะกับชีวิต อยู่ตามความจำเป็นกับชีวิต อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค ถ้าเราทำแต่ความจำเป็นของชีวิต เราไม่ใช้สิ่งฟุ้งเฟ้อเกินความจำเป็นของชีวิต ยิ่งเราอยู่แบบสาธารณโภคี เราก็จะมีรายได้เหนือรายจ่าย

อะไรที่เกินฟุ้งเฟ้อเกินความจำเป็นในชีวิต ให้พยายามตัดออก แล้วสร้างสิ่งจำเป็นในชีวิต ให้ทำเอง ไม่ได้ไปขี้เหนียว รู้ว่าอะไรจำเป็นต้องใช้ ก็ใช้ แต่ไม่ใช่เกินความจำเป็น ไปเป็นทาสของความคิดของคนมีกิเลส ให้คนมีกิเลสครอบงำเราได้ ต้องทำอย่างนี้ ถึงจะมีศักดิ์ศรี ไปเป็นขี้ข้านี้ต้อยต่ำ ไปเป็นขี้ข้านี้ทุกข์ ลำบากไม่รู้จัก เป็นอิสระอยู่เหนือศักดิ์ศรี โลกธรรม อัตตา บ้า ๆ อยู่เหนือกิเลส ไปเป็นทาสของคนชั่วคนโง่ นี้บ้า โง่ อยู่เหนือโลกธรรม

ศักดิ์ศรีเราคือ มีรายได้ เหนือรายจ่าย ไม่ใช่ต้องเงินทองนะ แต่เป็นการมีรายได้เหนือรายจ่าย ไม่หลงโลกธรรมกับอัตตา อาจารย์จึงว่า เพราะโลกธรรมและอัตตา ความมีหน้ามีตานี้แหละ ที่ทำให้คนไทยต้องไปเป็นลูกจ้างเขา ต้องไปหาเงินมามาก ๆ ส่งเงินมาให้แม่ ได้มีบ้าน มีอาหารการกินนั้นนี้ จะได้เท่ ซื้อรถ ซื้อบ้าน ทีวี โก้ ๆ มาโชว์ มาออกงานสังคม ให้โก้ทันสมัย ส่งเงินมาจัดงานเลี้ยงมีเหล้ามียา เป็นระยะ ๆ พร้อมหมด เอามหรสพครบงาน ฉลองงานนั้นนี้มา ได้หน้าได้ตา บริจาคเยอะ เอาหน้า ทำเอาหน้า ชีวิตวัน ๆ เอาแต่หนี้ หนี้เต็มหัว คนก็หยุดทำกสิกรรม เร่งให้ไปเลี้ยงทำงานให้สูง ๆ นะ

อย่ามาเป็นกสิกร เหมือนปู่ย่าตายายนะ เป็นอาชีพต้อยต่ำ เป็นอาชีพลำบาก ไม่มีชื่อเสียง เป็นคนด้วยในสังคม ให้ไปรับราชการมีเงินเดือน มีหน้าตา หาเงินมาก ๆ ไปซื้ออาหารมากิน แล้วก็ซื้อยามากิน พอเศรษฐกิจพังมา ก็อดตาย พอไม่มีกิน เขาก็ปลดออก ชีวิตก็พังหมดแล้ว เขาออกรถอะไรออกมา มือถือ ทีวี อะไรก็เปลี่ยนชีวิตก็เจริญที่สุด พอเศรษฐกิจพังมา ไม่มีอะไรกิน นี่อดตายเลย นั่นใคร ต้นความคิดแบบนี้

ทำไมไปเชื่อกันได้ เชื่อได้เชื่อดี แล้วก็ทำกันจัง ตั้งแต่อนุบาล นี้ทำไมต้องไปเรียนเป็นแสนเลยหรือ ทำไมเอาชีวิตไปแขวนไว้กับค่านิยม แขวนไว้กับสิ่งนั้น สิ่งนี้ แขวนไว้กับคำสั่งของเจ้านาย ทำไมชีวิตนี้ถูกเขาหลอกได้ขนาดนี้ หลอกให้เป็นทาสของคนมีกิเลส ทางของคนชั่วได้ขนาดนี้ ทำไมโง่ได้ขนาดนี้

ชีวิตแต่ละวัน กลัวกังวลหวั่นไหวหมดเลย ชีวิตก้าวไปสู่สภาพที่รายจ่ายมากกว่ารายได้ เป็นจุดที่ทิ้งจุดที่แข็งแกร่งของชีวิตออกไปหมดเลย ทิ้งจุดที่เป็นความอิสรเสรีของตัวเอง ไปเป็นทาสของกิเลส ทาสของนายทุน เรียนหนังสือ เรียนถูก ๆ ไม่ได้หรือ

อาจารย์ก็เรียนโรงเรียนบ้านนอก พอ ม.4 ไม่มี โรงเรียนบ้านนอก ก็ไปเรียนในเมือง ก็ไม่ต้องไปเรียนโก้ ๆ เรียนมหาวิทยาลัย ก็เรียนถูก ๆ เรียนมาจนจบดอกเตอร์ ก็เรียนถูก ๆ ไม่ได้ต้องไปเรียนแพง ๆ

ทุกวันนี้ ก็เปิดทำสถาบันการศึกษาของเราเอง เรียนของเราแบบนี้ มีศักดิ์ศรี พ้นทุกข์ เรียนแบบนี้ เรายิ่งมีรายได้ มวลรวม เราอยู่รอด เราลดค่าใช้จ่าย โลกธรรมและอัตตา มันค้ำคอเราอยู่ มันเผาลนทิ่มแทงเรา ต้องทำสิ่งนั้นนี้ ทำตามไม่รู้จบ เสียแรงงาน เสียเวลา เสียทุนรอน เสียสุขภาพ โลกธรรมและอัตตา นี้คือ การเสียที่ใหญ่มาก

ใครตื่น ก็ตื่นเถอะ ถ้ามัวหลับมัวหลง เราก็คงมลาย ตื่นเถิดชาวไทย ตื่นขึ้นมาจากโลกียะ มาสู่โลกุตระได้แล้ว ตื่นจากการไม่พึ่งตน มาสู่การพึ่งตนได้แล้ว ตื่นจากการไม่ทำกสิกรรมไร้สารพิษ มาทำกสิกรรมไร้สารพิษได้แล้ว

กิเลสนี้แหละ ข่มแหง กิเลสของคนมีกิเลส อย่าไปเป็นทาสของคนชั่วคนทุกข์ ปลดแอกมาอย่างอิสระ แล้วทำตามแรงของตนเอง ประมาณของตนเอง เรามีอิสระ เราลาพักของเราได้ ป่วยเป็นปีได้ ถ้าป่วยจริง เขาให้ลากิจนั้นนี้ได้ ของเราไม่มีกำหนด จะมาก็มา จะไปก็ไป เป็นอิสระ ขอให้มีศีล มีธรรมแบบนี้ อยู่แบบอิสระ ทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ก็บอกเพื่อน

ชีวิตเป็นอิสระที่สุดเลย นี้สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 อปริหานิยธรรม 7 มีแต่ให้รู้เพียรรู้พัก ขยันมากไปหรือเปล่า เจ็บป่วยมาก็ดูแลกัน ใครทำเกิน ขี้เกียจขี้คร้าน ก็บาปเอง โรงเรียนของเราเป็นแบบนี้ มีศีลมีธรรมดีที่สุด

เคี้ยวกินผลมะเดื่อ หมายถึง กินเกินพอดี นี้จะฝืดคอ ทรมานตัวเอง นี้เป็นผลเสีย

ผู้มีรายได้มาก แต่เลี้ยงชีพอย่างฝืดเคือง นี้คือ ขี้เหนียวเกิน นี้จะอยู่อย่างอนาถา

ผลมะเดื่อดิบนี้จะฝาด ถ้าใช้มากไป จะติดคอตายได้

แต่ผู้มีสมบัติแล้วไม่ยอมใช้ ขี้เหนียวเกิน ก็จะตายได้เหมือนกัน

(ต่อ) ….ฉะนั้น ก็ถ้ากุลบุตรผู้ที่มีรายได้มาก แต่เลี้ยงชีพอย่างฝืดเคือง จะมีผู้ว่าเขาว่า กุลบุตรผู้นี้จักตาย

อย่างอนาถา แต่เพราะกุลบุตรผู้นี้รู้ทางเจริญและทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์แล้วเลี้ยงชีพพอเหมาะ

ไม่ให้ฟูมฟายนัก ไม่ให้ฝืดเคืองนัก ด้วยคิดว่า รายได้ของเราจักต้องเหนือรายจ่าย และรายจ่าย

ของเราจักต้องไม่เหนือรายได้ ดูกรพยัคฆปัชชะ นี้เรียกว่าสมชีวิตา ฯ

ดูกรพยัคฆปัชชะ โภคทรัพย์ที่เกิดโดยชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมมีทางเสื่อม ๔ ประการ

คือ เป็นนักเลงหญิง ๑ เป็นนักเลงสุรา ๑ เป็นนักเลงการพนัน ๑มีมิตรชั่ว สหายชั่ว เพื่อนชั่ว ๑

ดูกรพยัคฆปัชชะ เปรียบเหมือนสระน้ำใหญ่มีทางไหลเข้า ๔ ทาง ทางไหลออก ๔ ทาง บุรุษ

พึงปิดทางไหลเข้า เปิดทางไหลออกของสระนั้น ฝนก็มิตกต้องตามฤดูกาล ด้วยประการฉะนี้

สระน้ำใหญ่นั้นพึงหวังความเสื่อมอย่างเดียว ไม่มีความเจริญเลย ฉันใด โภคทรัพย์ที่เกิดโดยชอบ

อย่างนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมมีทางเสื่อม ๔ ประการ คือ เป็นนักเลงหญิง ๑ เป็นนักเลง

สุรา ๑ เป็นนักเลงการพนัน ๑ มีมิตรชั่ว สหายชั่วเพื่อนชั่ว ๑ ฯ

ดูกรพยัคฆปัชชะ โภคทรัพย์ที่เกิดโดยชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมมีทางเจริญ ๔ ประการ

คือ ไม่เป็นนักเลงหญิง ๑ ไม่เป็นนักเลงสุรา ๑ ไม่เป็นนักเลงการพนัน ๑ มีมิตรดี สหายดี

เพื่อนดี ๑ ดูกรพยัคฆปัชชะ เปรียบเหมือนสระน้ำใหญ่ มีทางไหลเข้า ๔ ทาง ไหลออก ๔ ทาง

บุรุษพึงเปิดทางไหลเข้าปิดทางไหลออกของสระนั้น ทั้งฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล ด้วยประการ

ฉะนี้สระน้ำใหญ่นั้นพึงหวังความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม ฉันใด โภคทรัพย์ที่เกิดโดยชอบ

อย่างนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมมีทางเจริญ ๔ ประการ คือ ไม่เป็นนักเลงหญิง ๑ ไม่เป็น

นักเลงสุรา ๑ ไม่เป็นนักเลงการพนัน ๑ มีมิตรดีสหายดี เพื่อนดี ๑ ดูกรพยัคฆปัชชะ

ธรรม ๔ ประการนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขในปัจจุบันแก่กุลบุตร ฯ

ดูกรพยัคฆปัชชะ ธรรม ๔ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขในภายหน้า

แก่กุลบุตร ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ สัทธาสัมปทา ๑ สีลสัมปทา ๑ จาคสัมปทา ๑

ปัญญาสัมปทา ๑ ฯ

ดูกรพยัคฆปัชชะ ก็สัทธาสัมปทาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้มีศรัทธาคือ เชื่อ

พระปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคตว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ฯลฯ เป็น

ผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม ดูกรพยัคฆปัชชะนี้เรียกว่าสัทธาสัมปทา ฯ

นักเลงสุรา นี้คือ เมาในอบายมุข กาม โลกธรรม อัตตา

สุราไม่ได้แปลว่า เหล้าอย่างเดียว

สุราแปลว่า เมาเมาในอบายมุข กาม โลกธรรม อัตตา

ก็ไปเป็นหนี้ กระตุ้นอยู่เรื่อย

นักเศรษฐศาสตร์ ถ้าไม่ศึกษาธรรมะ สุดท้าย ก็ฆ่าตัวตาย เหมือนรัฐมนตรีคลัง เยอรมัน

ถ้าไม่มาศึกษาและให้คนลดกิเลส มันก็มีแต่พัง ไม่จบด้วย

มันจะพอได้อย่างไร เพราะมันเป็นทางเสื่อม

แต่ให้คนมาลดกิเลส แค่นี้ก็อยู่ได้

ชีวิตนี้ไม่ต้องไปเป็นทาสเงิน

คนลดกิเลสได้มาก จะไม่เป็นทาสเงิน

แต่คนที่ลดกิเลสไม่ได้ จะเป็นทางเงิน

เพราะกิเลสจะง้อเงิน ง้อคนมีอำนาจ

ถ้าลดกิเลสไม่ได้ ปลดแอกกิเลสตนเองไม่ได้

คนที่เป็นทาสคือ คนเห็นแก่ตัว

คนทาส คนชั่ว คนทุกข์

ถ้าลดกิเลสได้ ก็ไม่ต้องไปเป็นทาสของคนมีกิเลส

ทำไมคนเราชอบไปเป็นทาสคนมีกิเลส

มาเป็นอิสระ ผ่องใสไร้กังวล

มาช่วยเกื้อกูลกัน กับคนไม่มีกิเลส เพียรพักกินใช้ให้พอดี นี้ยอดที่สุดแล้ว

พระพุทธเจ้า เป็นนักปลดปล่อยอิสระ

ถ้าปลดปล่อยไม่ได้ ก็จะถูกควบคุม

ต้องไปพึ่งเขาอยู่ ไปขึ้นเขาอยู่ ไม่มั่นคง ไม่ปลอดภัย

อยู่แล้วก็ไม่ได้สร้างสรรค์ พาใครลดกิเลสไม่ได้ วิบากมาก็เจอแต่วิบากร้าย

มาทีไรก็ลึ่มๆ

ถ้าอาจารย์อธิบายได้ดีกว่านี้ มันจะดีกว่านี้ ยังรู้สึกว่าอธิบายไม่เก่ง ซ้อมไปเรื่อยๆ มีเวลาอยู่เท่าไร จะเชาะไชทะลวง ความเป็นทาสของคน พยายามกระแทกเข้าไป ให้เขาพ้นจากความเสื่อม ความทุกข์ ความทรมาน

ไปเป็นทาสทำไม

ออกมาสิ

ออกมามันจะอิสรเสรีภาพมากเลย

แผนงานเรา คือ ดูทุกปัจจุบัน

เราจะทำ ก็ทำ ไม่ทำก็ไม่ทำ เราวางแผนของเราได้

อย่าไปแคร์กระแสสังคม กระแสกิเลส อย่าไปแคร์

อยากมีความสุขอย่าไปแคร์กระแสกิเลส

อยากพูด ก็พูดไป เราก็ทำๆๆๆ

อยากพูด พูดไป พอไม่มีสิ่งที่เป็นประโยชน์ วันหนึ่งมาตายเลย

เราก็พูด ทำ ใช้ สิ่งที่มีประโยชน์ วันนี้ก็อยู่รอดแล้ว

อยากพูด ก็พูดไป

กินใช้สิ่งที่ไม่มีประโยชน์ พอหมดแรง เขาก็ตายแล้ว

บอกแล้ว ไม่เชื่อ อยากตาย ก็ตาย

ชีวิตแต่ละคนมีอิสระ อย่าไปเป็นทาสของความทุกข์ทรมาน ทาสความเห็นแก่ตัว

อย่าไปเป็นอย่างนั้น

พุทธะเป็นอิสระ ดีที่สุดในโลก

ให้มันรู้ไปว่าใครจะอยู่รอด หรืออยู่ไม่รอด

ใครเป็นพุทธะ พุทธะอิสระจากกิเลส

ดูว่าใครจะอยู่รอดกว่ากัน พิสูจน์ให้โลกรู้เลย

ทำความจริงของเรา

พุทธะอยู่รอด

ฉะนั้น อย่าเป็นนักเลงสุร

เป็นนักเลง ที่เมา อบายมุข กาม โลกธรรม อัตตา

ไปเสพอบายมุข เงินทองหายหมด อย่าไปคบมิตรชั่ว

มาคบมิตรดี พาทำ มาลด อบายมุข กาม โลกธรรม อัตตา

สัทธาสัมปทา ให้เชื่อในปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

ศีลสัมปทา คือ มีศีล

จาคะสัมปทา คือ ลดกิเลสได้

ปัญญาสัมปทา ปัญญาในการชำแรกกิเลส

(ต่อ)… ดูกรพยัคฆปัชชะ สีลสัมปทาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้ เป็นผู้งดเว้น จากปาณา

ติบาต ฯลฯ เป็นผู้งดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ดูกร

พยัคฆปัชชะ นี้เรียกว่าสีลสัมปทา ฯ

ดูกรพยัคฆปัชชะ ก็จาคสัมปทาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้ มีจิตปราศจากมลทินคือ

ความตระหนี่ อยู่ครองเรือน มีจาคะอันปล่อยแล้ว มีฝ่ามือชุ่มยินดีในการสละ ควรแก่การขอ

ยินดีในการจำแนกทาน ดูกรพยัคฆปัชชะนี้เรียกว่าจาคสัมปทา ฯ

ดูกรพยัคฆปัชชะ ก็ปัญญาสัมปทาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้ เป็นผู้มีปัญญา คือ

ประกอบด้วยปัญญาที่เห็นความเกิดและความดับ เป็นอริยะ ชำแรกกิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์

โดยชอบ ดูกรพยัคฆปัชชะ นี้เรียกว่าปัญญาสัมปทาดูกรพยัคฆปัชชะ ธรรม ๔ ประการนี้แล

ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขในภายหน้าแก่กุลบุตร ฯ

คนหมั่นในการทำงาน ไม่ประมาท จัดการงานเหมาะสม

เลี้ยงชีพพอเหมาะ รักษาทรัพย์ที่หามาได้ มีศรัทธา

ถึงพร้อมด้วยศีล รู้ถ้อยคำ ปราศจากความตระหนี่ ชำระทาง

สัมปรายิกประโยชน์เป็นนิตย์ ธรรม ๘ ประการดังกล่าว

นี้ของผู้ครองเรือน ผู้มีศรัทธา อันพระพุทธเจ้าผู้มีพระนาม

อันแท้จริงตรัสว่า นำสุขมาให้ในโลกทั้งสอง คือ ประโยชน์

ในปัจจุบันนี้และความสุขในภายหน้า บุญ คือ จาคะนี้

ย่อมเจริญแก่คฤหัสถ์ด้วยประการฉะนี้ ฯ

จบสูตรที่ ๔

เป็นนักแบ่งปัน ยินดีในการจำแนกทาน

เห็นความเกิดและความดับของกิเลสได้

เป็นอริยะ ชำแรกกิเลส มีปัญญาแยกกิเลสได้

ใช้วิถีชีวิตที่ถูกต้องก็สนุก

ก็เรียนรู้และใช้ชีวิตให้ถูกต้อง ก็จะได้สภาพแบบนี้

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ ข้อ ๒๖

[๒๖] ครั้นปัจจุสสมัยแห่งราตรี พระผู้มีพระภาคตื่นบรรทมแล้วเสด็จจงกรมอยู่ ณ ที่แจ้ง

ได้ทอดพระเนตรเห็นยสกุลบุตรเดินมาแต่ไกล ครั้นแล้วเสด็จลงจากที่จงกรมประทับนั่งบนอาสนะ

ที่ปูลาดไว้.  ขณะนั้น  ยสกุลบุตรเปล่งอุทานในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคว่า  ท่านผู้เจริญ  ที่นี่

วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ. ทันทีนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสกะยสกุลบุตรว่า ดูกรยส ที่นี่ไม่วุ่นวาย

ที่นี่ไม่ขัดข้อง  มาเถิดยส  นั่งลง  เราจักแสดงธรรมแก่เธอ.  ที่นั้น ยสกุลบุตรร่าเริงบันเทิงใจว่า

ได้ยินว่า  ที่นี่ไม่วุ่นวาย  ที่นี่ไม่ขัดข้อง  ดังนี้  แล้วถอดรองเท้าทองเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค

ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง   เมื่อยสกุลบุตรนั่งเรียบร้อยแล้ว

พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงอนุปุพพิกถา คือ ทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา  โทษ

ความต่ำทราม ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย และอานิสงส์ในความออกจากกาม. เมื่อพระองค์

ทรงทราบว่า ยสกุลบุตรมีจิตสงบ มีจิตอ่อน มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว

จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนา ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์

สมุทัย  นิโรธ  มรรค. ดวงตาเห็นธรรม  ปราศจากธุลี  ปราศจากมลทิน ว่า  สิ่งใดสิ่งหนึ่ง

มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา  ได้เกิดแก่ยสกุลบุตร ณ ที่นั่ง

นั้นแล ดุจผ้าที่สะอาดปราศจากมลทิน ควรได้รับน้ำย้อมเป็นอย่างดี ฉะนั้น.

เจตนาให้เห็นว่าเป็นลูกคนรวย มีรองเท้าทอง ชีวิตก็ทุกข์ วุ่นวายหนอ

แต่พระพุทธเจ้า ก็บอกว่า ที่นี่ ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง

คนเขาจะมาฟังบ้างไหมหนอ

ท่านประกาศทานถกา เรื่องการแบ่งปัน

ศีลกถา ศีลสมาธิปัญญา ปฏิบัติที่ถูกต้อง เป็นอย่างไร

ประกาศสุขปลอม ความเพลิดเพลิน เป็นอย่างไร

โทษกามต่ำทราม เป็นอย่างไร

สิ่งที่เกินความจำเป็น เป็นอย่างไร

อานิสงส์ในการออกจากกาม ถ้าไม่ติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสได้เป็นอย่างไร

บิดาของยสกุลบุตรตามหา

[๒๗] ครั้นรุ่งเช้า มารดาของยสกุลบุตรขึ้นไปยังปราสาท  ไม่เห็นยสกุลบุตร จึงเข้า

ไปหาเศรษฐีผู้คหบดี แล้วได้ถามว่า ท่านคหบดีเจ้าข้า พ่อยสกุลบุตรของท่านหายไปไหน? ฝ่ายเศรษฐีผู้คหบดีส่งทูตขี่ม้าไปตามหาทั้ง ๔ ทิศแล้ว  ส่วนตัวเองไปหาทางป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน.

ได้พบรองเท้าทองวางอยู่  ครั้นแล้วจึงตามไปสู่ที่นั้น.  พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรเห็น

เศรษฐีผู้คหบดีมาแต่ไกล. ครั้นแล้วทรงพระดำริว่า  ไฉนหนอ  เราพึงบันดาลอิทธาภิสังขารให้

เศรษฐีคหบดีนั่งอยู่ ณ ที่นี้  ไม่เห็นยสกุลบุตรผู้นั่งอยู่ ณ ที่นี้  แล้วทรงบันดาลอิทธาภิสังขาร

ดังพระพุทธดำริ. ครั้งนั้น เศรษฐีผู้คหบดีได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วทูลถามว่า พระผู้มีพระภาค

ทรงเห็นยสกุลบุตรบ้างไหม พระพุทธเจ้าข้า?

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  ดูกรคหบดี ถ้าอย่างนั้น เชิญนั่ง  บางทีท่านนั่งอยู่ ณ ที่นี้

จะพึงได้เห็นยสกุลบุตรผู้นั่งอยู่ ณ ที่นี้.

ครั้งนั้น เศรษฐีผู้คหบดีร่าเริงบันเทิงใจว่า  ได้ยินว่า  เรานั่งอยู่ ณ ที่นี้แหละ จักเห็น

ยสกุลบุตรผู้นั่งอยู่ ณ ที่นี้  จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาค  แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. เมื่อ

เศรษฐีผู้คหบดีนั่งเรียบร้อยแล้ว  พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงอนุปุพพิกถา คือ ทรงประกาศ

ทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษ ความต่ำทราม ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย และ

อานิสงส์ในความออกจากกาม.  เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า  เศรษฐีผู้คหบดี  มีจิตสงบ

มีจิตอ่อน  มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนา

ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค. ดวงตา

เห็นธรรม  ปราศจากธุลี  ปราศจากมลทินว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้น

ทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา ได้เกิดแก่เศรษฐีผู้คหบดี ณ ที่นั่งนั้นแล  ดุจผ้าที่สะอาดปราศจาก

มลทิน  ควรได้รับน้ำย้อม ฉะนั้น.

ครั้นเศรษฐีผู้คหบดี  ได้เห็นธรรมแล้ว  ได้บรรลุธรรมแล้ว  ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว

มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย ถึงความเป็น

ผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา ได้ทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า  ข้าแต่

พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก  ภาษิตของพระองค์ไพเราะนัก พระพุทธเจ้าข้า

พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยายอย่างนี้  เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ  เปิดของ

ที่ปิด  บอกทางแก่คนหลงทาง  หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่า  คนมีจักษุจักเห็นรูปดังนี้

ข้าพระพุทธเจ้านี้  ขอถึงพระผู้มีพระภาค  พระธรรม  และพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ  ขอพระองค์

จงทรงจำข้าพระพุทธเจ้าว่า เป็นอุบาสกผู้มอบชีวิตถึงสรณะจำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป.

ก็เศรษฐีผู้คหบดีนั้น  ได้เป็นอุบาสกกล่าวอ้างพระรัตนตรัย เป็นคนแรกในโลก.

ยสกุลบุตรสำเร็จพระอรหัตต์

[๒๘] คราวเมื่อพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมแก่บิดาของยสกุลบุตร จิตของยสกุลบุตร

ผู้พิจารณาภูมิธรรมตามที่ตนได้เห็นแล้ว  ได้รู้แจ้งแล้ว ก็พ้นจากอาสวะทั้งหลาย  เพราะไม่ถือมั่น.

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า เมื่อเราแสดงธรรมแก่บิดาของยสกุลบุตรอยู่  จิตของ

ยสกุลบุตร ผู้พิจารณาเห็นภูมิธรรมตามที่ตนได้เห็นแล้ว  ได้รู้แจ้งแล้ว  พ้นแล้วจากอาสวะ

ทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น. ยสกุลบุตรไม่ควรจะกลับเป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม เหมือนเป็นคฤหัสถ์

ครั้งก่อน  ถ้ากระไร เราพึงคลายอิทธาภิสังขารนั้นได้แล้ว.  พระองค์ก็ได้ทรงคลายอิทธาภิสังขาร

นั้น.  เศรษฐีผู้คหบดีได้เห็นยสกุลบุตรนั่งอยู่  ครั้นแล้วได้พูดกะยสกุลบุตรว่า พ่อยส มารดา

ของเจ้าโศกเศร้าคร่ำครวญถึง  เจ้าจงให้ชีวิตแก่มารดาของเจ้าเถิด. ครั้งนั้น ยสกุลบุตรได้ชำเลืองดู

พระผู้มีพระภาคๆ  ได้ตรัสแก่เศรษฐีผู้คหบดีว่า  ดูกรคหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน?

ยสกุลบุตรได้เห็นธรรมด้วยญาณทัสสนะเพียงเสขภูมิเหมือนท่าน  เมื่อเธอพิจารณาภูมิธรรมตามที่

ตนได้เห็นแล้ว  ได้รู้แจ้งแล้ว  จิตพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย  เพราะไม่ถือมั่น  ดูกรคหบดี

ยสกุลบุตรควรหรือเพื่อจะกลับเป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม  เหมือนเป็นคฤหัสถ์ครั้งก่อน?.

เศรษฐีผู้คหบดีกราบทูลว่า  ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.

พระผู้มีพระภาคตรัสรับรองว่า   ดูกรคหบดี  ยสกุลบุตรได้เห็นธรรมด้วยญาณทัสสนะ

เพียงเสขภูมิเหมือนท่าน เมื่อเธอพิจารณาภูมิธรรมตามที่ตนได้เห็นแล้ว ได้รู้แจ้งแล้ว จิตพ้นแล้ว

จากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น ดูกรคหบดี ยสกุลบุตรไม่ควรจะกลับเป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม

เหมือนเป็นคฤหัสถ์ครั้งก่อน.

เศรษฐีผู้คหบดีกราบทูลว่า การที่จิตของยสกุลบุตรพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น

นั้น เป็นลาภของยสกุลบุตร ยสกุลบุตรได้ดีแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคมียสกุลบุตร

เป็นปัจฉาสมณะ  จงทรงรับภัตตาหารของข้าพระพุทธเจ้า เพื่อเสวยในวันนี้เถิด  พระพุทธเจ้าข้า.

พระผู้มีพระภาคทรงรับโดยดุษณีภาพ.  ครั้นเศรษฐีผู้คหบดีทราบการรับนิมนต์ของพระผู้มีพระภาค

แล้ว  ได้ลุกจากที่นั่ง  ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณแล้วกลับไป.

กาลเมื่อเศรษฐีผู้คหบดีกลับไปแล้วไม่นาน  ยสกุลบุตรได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า

พระพุทธเจ้าข้า  ขอข้าพระองค์พึงได้บรรพชา  พึงได้อุปสมบทในสำนักพระผู้มีพระภาค.

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด  แล้วได้ตรัสต่อไปว่า  ธรรมอันเรากล่าว

ดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด.

พระวาจานั้นแล  ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุนั้น

สมัยนั้น  มีพระอรหันต์เกิดขึ้นในโลก ๗ องค์.

ยสบรรพชา  จบ

พวกเป็นหนี้ เพราะอยากได้หน้า ถ้าไม่อยากได้หน้า ไม่เป็นหนี้ขนาดนี้หรอก เด็ก ๆ อยากได้หน้า อ้อนเอามือถือ เมื่อก่อน แต่ละบ้านมีโทรศัพท์เครื่องเดียวก็พอแล้ว อยากได้หน้าจึงเป็นหนี้

นี้กินเงินหมดเลย

คนอื่นเดือดร้อนกันหมด แต่เราผาสุกจังเลย

ที่เราผาสุก ก็เพราะเราปฏิบัติถูกทางไง

ถ้าปฏิบัติผิด ก็ทุกข์

วิบากเพราะทำลายสัตว์ คน และสิ่งแวดล้อม

เขาจึงแปลงมาเป็นโควิด มากำจัดคน

ฉะนั้น เราก็ทำสิ่งไม่ลำบาก

หมดเวลา

ขอให้พี่น้องได้มีความพ้นทุกข์ในการพึ่งตนและช่วยเหลือผู้อื่นกันทุกท่าน

สาธุ

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

รวมคำถามคำตอบรายการสุขภาพดีวิถีธรรม ตอบปัญหาเพิ่มปัญญากับหมอเขียว

รายการสุขภาพดีกับแพทย์วิถีธรรม ตอบปัญหาเพิ่มปัญญากับหมอเขียว ออกอากาศเวลา 9:30 -11:30 น. ทุกวัน ทางหมอเขียวทีวี ทางทีมสื่อแพทย์วิถีธรรมได้จัดทำวิดีโอแยกแต่ละคำถาม เพื่อสะดวกในการสืบค้นต่อไป

ให้ด้วยใจบริสุทธิ์ที่สุด เป็นวิบากดีที่สุดต่อทุกชีวิต

ให้ด้วยใจบริสุทธิ์ที่สุด เป็นวิบากดีที่สุดต่อทุกชีวิต

#ให้ด้วยใจบริสุทธิ์ที่สุด_เป็นวิบากดีที่สุดต่อทุกชีวิต คำถามขอสัมมาทิฎฐิจากอาจารย์หมอเขียว อยู่บ้านตอนติดโควิด...

รวมพลังแบ่งปันด้วยใจที่บริสุทธิ์

รวมพลังแบ่งปันด้วยใจที่บริสุทธิ์

การแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ระบาดไปทั่วโลก ทำให้มีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ประเทศไทย ทางรัฐบาลได้ประกาศนโยบาย...

ธรรมะพาพ้นทุกข์จากภัยโควิด 19

ธรรมะพาพ้นทุกข์จากภัยโควิด 19

พึงสละทรัพย์ เพื่อรักษาอวัยวะรักษาชีวิตก่อน สละได้ไหม สละการงานก่อนและเพื่อรักษาธรรม ด้วยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น...

ความซวยของคนดีที่ไม่ลดกิเลส 2/2

ความซวยของคนดีที่ไม่ลดกิเลส 2/2

ความซวยของคนดีที่ไม่ลดกิเลส ต่อ #2/2 (จบ) เทวดาโลกียะ(สมมติเทพ) คนดีที่เต็มไปด้วยการเสพ โลกธรรม กาม อัตตา อบายมุข...

ความซวยของคนดีที่ไม่ลดกิเลส 1/2

ความซวยของคนดีที่ไม่ลดกิเลส 1/2

คนที่ทำชั่วมามากทำไมไม่รู้สึกผิด?? *ไฮไลท์ #คนก็หลงว่าโอ้โหมันได้ดีก็ไปทำตามกันตามกัน ก็ยิ่งเป็นบาปบาปซ้ำซ้อนเข้าไปอีก...

ลิงค์เสียงบรรยายค่ายพระไตรปิฎก ครั้งที่ 27

ลิงค์เสียงบรรยายค่ายพระไตรปิฎก ครั้งที่ 27

เสียงบรรยายของอ.หมอเขียว ค่ายพระไตรปิฎก ครั้งที่ ๒๗ ระหว่างวันที่ 26  ตุลาคม - 3 พฤศจิกายน 2562 รุ่น ดับกิเลส ดับเครื่องกังวล 621026_1...

แพทย์วิถีธรรมอาสาเป็นสะพานบุญ

แพทย์วิถีธรรมอาสาเป็นสะพานบุญ

แพทย์วิถีธรรม อาสาเป็นสะพานบุญ ส่งต่อ “face shield และอุปกรณ์ป้องกันตัวเองอื่นๆ” สู่บุคลากรสาธารณสุข

ร่วมบริจาคได้ที่ ธนาคารกรุงไทย เลขที่ 679-1-73144-3 ชื่อบัญชี “รวมพลังแบ่งปันด้วยใจที่บริสุทธิ์”

สนใจร่วมบริจาคอุปกรณ์อื่นแจ้งความประสงค์ที่

https://forms.gle/Cic6ovakfJrfrwTs6

สำหรับบุคลากรสาธารณสุขที่สนใจface shield แจ้งความประสงค์ได้ที่

https://forms.gle/Us5iXabUYEaHyw2W6

ปล. เรามีศักยภาพเท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น ตามที่เรามีทุนมีรอน มีศักยภาพเท่าไหร่แล้วก็ทำไปเท่าที่เรามี

ถ้าใครมีธรรมะ จะไม่หวั่นไหวในสถานการณ์โควิด 19

ถ้าใครมีธรรมะ จะไม่หวั่นไหวในสถานการณ์โควิด 19

อ.หมอเขียวยกศิริมันทชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ 27 ข้อที่ 2084-2089 โดยนำข้อ 2089 มาขยายความ คนมีปัญญาน้อยมีเหตุการณ์สุขหรือทุกข์ก็สร้างความหวั่นไหวให้กับตัวเองได้ ในช่วงท้ายอ.หมอเขียวแนะนำวิธีคิดที่ไม่ทุกข์ ในเหตุการณ์การระบาดของโควิด ไม่ว่าเราจะติดเชื้อหรือไม่ติดเชื้อ ซึ่งหลักการดังกล่าวสามารถนำไปปรับใช้ได้กับทุกเหตุการณ์ ทุกปัญหาในชีวิต

อ่านรายละเอียดที่
https://morkeaw.net/?p=3742&preview=true

Playlists-Youtube แนะนำแพทย์วิถีธรรมกับโควิด-19

#เราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน

ถึงวันนี้การระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงดำเนินไป ความกลัว ระแวง หวั่นไหวเพิ่มขึ้นทั่วโลก แพทย์วิถีธรรม ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่าน และขอส่งลิงค์แนวทางการดำเนินชีวิตตามหลักการแพทย์วิถีธรรม ให้ทุกท่านได้พิจารณา

3 สิ่งสำคัญที่สุดในโลกของชีวิต

3 สิ่งสำคัญที่สุดในโลกของชีวิต

ฟังเสียงอ.หมอเขียวกล่าวถึงเรื่อง 3 สิ่งสำคัญของชีวิต ที่เป็นหัวใจของความแข็งแรง มั่นคง มีคุณค่า และผาสุกที่สุดในโลก คือปัจจัย4 มิตรดี มีศีล

การปฎิบัติของพระโพธิสัตว์ยามพบภัย

การปฎิบัติของพระโพธิสัตว์ยามพบภัย

อ.หมอเขียวเน้นย้ำว่า เมื่อเกิดวิกฤต ชาวพุทธจะตั้งและปฏิบัติอริยศีลที่ถูกตรง เพื่อเพิ่มพลังกุศล ครั้งนี้ อ.หมอเขียวยกตัวอย่างการปฎิบัติของพระโพธิสัตว์เมื่อเจอภัยพิบัติ ซึ่ง มีทีมจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมทำการตัดต่อเสียง และเผยแพร่ใน Morkeaw Podcast

ตามหลักแพทย์วิถีธรรม โควิด 19 เป็นโรคร้อนเกิน

ตามหลักแพทย์วิถีธรรม โควิด 19 เป็นโรคร้อนเกิน

อาการภาวะร้อนเกิน เช่น ไอ มีเสมหะ ไข้ขึ้นสูง เป็นต้น วัดอุณหภูมิได้เลยว่าร้อนหรือเปล่า วัดแบบปรอทหรือแบบยิงเลเซอร์ ถ้าร่างกายร้อน 37.5 c...

ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย

ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย

สถานการณ์ก็รุนแรงระบาดไปทั่ว และมีผู้เสียชีวิตก็ไม่น้อย ถ้าพี่น้องท่านใดสามารถที่จะจัดสรรตัวเอง ให้อยู่แต่ในพื้นที่ ในบ้านตัวเอง...

ใจที่กังวล ทำให้ภูมิต้านทานลด

ใจที่กังวล ทำให้ภูมิต้านทานลด

คนในสังคมตอนนี้หวั่นไหวมาก มีความสะทกสะท้าน หวาดวิตก ตอนนี้คนต้องการพลังรวมของความมั่นคงของความไม่หวั่นไหว บางคนเขาสับสนอลหม่านเลยนะ...

อาหารขาดแคลนอย่างหนักทั่วโลกในช่วงวิกฤตโควิด

อาหารขาดแคลนอย่างหนักทั่วโลกในช่วงวิกฤตโควิด

โควิด เข้ามา อาหารก็ขาดแคลน จะขาดแคลนอย่างหนักทั่วโลก ต่อให้อาหารเป็นพิษก็ยังขาดแคลน เพราะแรงงานที่จะผลิต ก็จะลำบาก เพราะเจอโควิด...

ร่วมด้วยช่วยกันหยุดยั้งโควิดด้วยแพทย์วิถีธรรม

ร่วมด้วยช่วยกันหยุดยั้งโควิดด้วยแพทย์วิถีธรรม

นโยบายแพทย์วิถีธรรม ขอชี้แจงประชาสัมพันธ์ ให้พี่น้องจิตอาสาและประชาชนทั้งในและต่างประเทศที่ติดตามเครือข่ายแพทย์วิถีธรรม...

ยังไม่ชัดเจนกับทางโลกทางธรรม มีวิธีการเลือกอย่างไร

ถาม : ทำอย่างไรเราจึงจะมีวิธีการเลือกว่าชีวิตเราจะเลือกในโลกีย์หรือโลกุตระ  เพราะตอนนี้ตนเองเหมือนกับยังไม่ชัดเจนกับทางธรรม...