1. บันทึกการสัมภาษณ์กรณีศึกษากลุ่มตัวอย่างจาก ผู้ใช้การแพทย์วิถีพุทธสำหรับผู้ที่มาเข้าอบรมค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีพุทธ 5-7 วัน
ณ ศูนย์เรียนรู้สุขภาพพึ่งตนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง สวนป่านาบุญ 1 อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร และเครือข่ายแพทย์วิถีพุทธทั่วโลก
ระหว่างปี พ.ศ. 2552 – 2558
(ประเภทข้อมูลที่ 7 การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ ผ่านสื่อออนไลน์ – ยูทูบประเภทข้อมูลที่ 9 แบบบันทึกสัมภาษณ์แลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ และ ประเภทข้อมูลที่ 12 แบบสอบถามประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ เทคนิค 9 ข้อ)
กรณีศึกษาที่ | 1.39 |
ชื่อ | สุชนา ทิวถนอม |
เพศ | หญิง |
จังหวัด | ระยอง |
อายุ | 44 |
โรค | โรคมะเร็งตับอ่อน |
วันสัมภาษณ์ | 4 กันยายน 2555 |
คุณหญิง: ชื่อหญิงนะคะ หญิงจบการศึกษาพยาบาลศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยมหิดล คณะพยาบาลศาสตร์ศิริราชนานมาแล้ว จำปีไม่ได้แล้วก็หลังจากเรียนจบนี่จริง ๆ แล้วหญิงควรที่จะต้องอยู่ใช้ทุนที่รัฐบาลให้มาเรียนพยาบาล เราก็ต้องจบไปใช้ทุนอย่างน้อยก็ต้องมี 2 ปี แต่เนื่องจากว่าตอนนั้นนี่ที่เรียนจบไปแล้ว ยังสภาวธรรมยังไม่ได้ก็เกิดอาการว่าเวลาที่ได้มีโอกาสดูแลรักษาคนไข้นี่ แล้วมีคนไข้ที่ป่วยหนักหรือเจ็บหนักจนกระทั่งเสียชีวิตนี่หญิงยังทำใจไม่ได้ คิดไม่ได้ก็จะเกิดอาการป่วย ป่วยหนักแบบคล้าย ๆ เหมือนคนเป็นโรคจิต แบบดีแตกอะไรประมาณอย่างนี้เลย ทำให้ไม่สามารถทำวิชาชีพนี้ต่อได้ก็เลยต้องใช้เป็นเงิน แล้วก็ออกมาหาอาชีพอย่างอื่นทำที่มันไม่เกี่ยวกับทางสายสุขภาพ แต่ปรากฏว่าพอหญิงตัดสินใจที่จะเปลี่ยนสายวิชาชีพจากสุขภาพมาเป็นทางสายธุรกิจที่เราคิดว่าเราถนัดนี่ ก็ได้มีโอกาสนะคะเข้ามาอยู่ในสายธุรกิจมาเรียนต่อทางด้านการเงินการธนาคาร หญิงจบบริหารธุรกิจจากสหรัฐอเมริกานะคะ แล้วก็กลับมาทำงานที่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ในเมืองไทยอีก 3-4 ปี แล้วหลังจากนั้นก็ได้มีโอกาสไปทำงานต่อต่างประเทศ จะใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา ลาว หรือว่าสิงคโปร์นะคะ ก็ใช้ชีวิตทางโลกอย่างเรียกว่าโชกโชนเลยล่ะ แล้วตอนนั้นก็มีความสุขกับการทำงานเป็นคนที่ทำงานแบบบ้าระห่ำ เรียกว่า เวิร์คคาฮอลิค คือทำมัน 3 วัน 3 คืน ไม่หลับไม่นอนต่อเนื่องกันแล้วก็ตั้งใจทำงานมากแล้วก็ใช้ชีวิตคือเวลากินไม่กินเวลานอนไม่นอน ทำอะไรที่ไม่ได้ดูแลสุขภาพเลยทั้ง ๆ ที่ตัวเองนี่จบทางสายสุขภาพมา แต่เราคิดว่าเราได้โอกาสแล้ว ที่หลังจากที่เราจบสายสุขภาพแล้วมีแต่เรื่องเครียด ๆ เรื่องคนตายคราวนี้เรามาเจอเรื่องอะไรที่เป็นเกี่ยวกับธุรกิจเรื่องเกี่ยวกับการเงิน เรื่องอะไรที่ทำให้เราเหมือนกับสร้างความภาคภูมิใจในการทำงาน ชื่อเสียง หรือว่าสะสมวัตถุเงินทองที่ตอนนั้นหญิงยังคิดว่ามันเป็นสิ่งที่มนุษย์เราทั่วไปวิ่งหาแล้วได้มาจะมีความสุข ใช้ชีวิตวนเวียนอยู่อย่างนั้นนี่เรียกว่าเป็น 20 กว่าปี ก็มีทั้งสำเร็จบ้างล้มเหลวบ้างนะคะ แต่ก็ต้องยอมรับว่าส่วนใหญ่นี่มันอยู่กับความสำเร็จ จนทำให้เราเหมือนกับหลงไปว่า สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เราเป็นสุขกับความสำเร็จในงานที่เราทำแล้วปรากฏว่ามันทำให้เราเหมือนกับพอยิ่งสำเร็จยิ่งวิ่งหามันแต่จริง ๆ แล้วสำเร็จแล้วสุขนี่ หญิงถามบอกว่ามันสุขนานไหมมันก็สุขแค่แป๊บเดียวแหละ แล้วเดี๋ยวเราก็หาอะไรที่ท้าทายใหม่เข้ามาอีก เข้ามาใส่ตัวเราอีก ที่จะต้องเหมือนแบบท้าทายในชีวิต มันก็พอกพูนความคิดอย่างนี้มาเรื่อย ๆ แล้วเราก็ลืม ลืมที่จะดูแลสุขภาพของเรา ลืมที่จะให้เวลาสุขภาพของเราจนกระทั่งมีอยู่ครั้งหนึ่งที่หญิงได้มีโอกาสหลังจากเรียนจบทำงานต่างประเทศอะไรเสร็จ หญิงตัดสินใจในการทำธุรกิจของตัวเองแล้วก็ได้มีโอกาสทำในทั้งเมืองไทยแล้วก็ทำต่างประเทศ แล้วช่วงสุดท้ายที่หญิงไปทำในต่างประเทศนี่ หญิงไปทำธุรกิจทางด้านร้านอาหารที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ตอนนั้นต้องบอกเลยว่าเป็นงานที่หนักแล้วก็ท้าทายมาก แล้วก็ทำต่อสู้เรียกว่าดิ้นรน คร่ำเคร่งกับงานเป็นเวลาถึง 3 ปีกว่า แล้วมันก็มีเหตุการณ์ที่พลิกชีวิตหญิงเลยก็คือ หลังจากที่เราคร่ำเคร่ง คร่ำเครียดเกี่ยวกับการทำงาน การทำธุรกิจอะไรต่าง ๆ นี่ พอดีมีญาติก็เป็นคุณแม่บุญธรรมป่วยหนักนะคะ แล้วก็เราก็รักคุณแม่เรามาก เราก็อยากจะกลับมาดูแลคุณแม่ แต่ว่าตอนนั้นนี่เนื่องจากยังมีความรู้แต่ทางด้านสายแพทย์แผนปัจจุบัน ก็พยายามจะติดต่อทางแพทย์แผนปัจจุบัน แต่ก็ยังไม่ได้เรียกว่าแพทย์ที่ดูแล้วเรียกว่ามีความพิเศษอะไรมาก แต่มันแปลก คือหญิงเอาเรื่องคุณแม่ป่วยนี่ ไปปรึกษาเพื่อนบ้านที่เขาอยู่ที่วัดพระธรรมกายที่สหรัฐอเมริกา ที่แคลิฟอร์เนียเนี่ยปรากฏว่าคุณหมอเขียวนี่ดังมากเลยในวงการของวัดพระธรรมกายนะคะ เพราะวีซีดีของคุณหมอไปถึงแล้วเพื่อนก็เอามาให้เปิดให้ดูหญิงก็ เอ๊ะ ไอเดียเรื่องการการดูแลรักษาตัวเองที่เป็นแพทย์แผนทางเลือกแนวพุทธนี่เออมันแปลกดีนะ แล้วคุณหมอก็บูรณาการองค์ความรู้หลาย ๆ อย่างเข้าด้วยกันซึ่งเป็นอะไรที่น่าสนใจ หญิงก็เลยกะว่าจะจองค่ายแล้วกลับมาดูแลคุณแม่ มาเรียนก่อนแล้วกลับไปดูแลคุณแม่ที่เป็นมะเร็ง ปรากฏว่ามันไม่เป็นอย่างที่คิดคือ คุณแม่เสียก่อนแล้วหญิงเองนี่กว่าจะทำเรื่องกลับมาด้วยธุรกิจเรื่องอะไรต่าง ๆ ก็กลายเป็นตัวเองเริ่มป่วย คือพอเตรียมตัวจะมาแล้วพอรู้ว่าคุณแม่เสียแล้ว เราก็เกิดอะไรไม่ทราบตอนนั้นคือเราป่วย ลักษณะอาการป่วยของหญิงนี่คือ
จิตอาสา: เดี๋ยวนะคะตอนนั้นที่เกิดเหตุการณ์นี่เมื่อปีไหนคะ
คุณหญิง: อันนั้นในปี 2553 ค่ะ 2553
จิตอาสา: 2553 ก็ 2 ปี แล้วนะคะ
คุณหญิง: ค่ะใช่ค่ะ
จิตอาสา: แล้วตอนนี้โทษนะคะพี่หญิงอายุเท่าไรแล้วคะ
คุณหญิง: ตอนนี้ 42 ค่ะ
จิตอาสา: 42 ก็คือจากที่เมื่อกี้เล่ามาก็คือจบจากพยาบาลแล้วก็ต้องไปใช้ทุน 2 ปี
คุณหญิง: ไม่ได้ใช้ ใช้เป็นเงินไป
จิตอาสา: อ๋อไม่ได้ใช้เลยนะคะ
คุณหญิง: ค่ะ
จิตอาสา: ก็คือใช้เป็นเงินแล้วก็เลยพลิกชีวิตเลยนะคะ
คุณหญิง: ค่ะ
จิตอาสา: จากพยาบาลไปเป็นธุรกิจ
คุณหญิง: ค่ะ เป็นทางสายธุรกิจมาเรียนต่อโททางด้ายธุรกิจ ก็ทำงานในธุรกิจมาโดยตลอด
จิตอาสา: ตรงนี้ทำธุรกิจส่วนตัวมาเกือบ 20 ปีนะคะ งั้นเป็นคนเคร่งเครียดส่วนหนึ่งนะคะ
คุณหญิง: ค่ะใช่ค่ะแล้วเสร็จพอตอนนั้นที่คุณแม่เสียแล้วเราจอง ต้องบอกว่ารู้ในเรื่องของวิชาของคุณหมอเขียวนี่ แล้วเราจองคิวเพื่อจะมาเข้าค่ายนี่มันใช้ระยะเวลานานมากก็คุณแม่เสียไปก่อนแล้วคิวก็ยังมาไม่ถึง แล้วปรากฏตัวเองก็เริ่มป่วยทีนี้เริ่มป่วยก็ยังไม่ถึงคิวนะคะ ก็ยังไม่ได้คอนเซปต์อะไรมากเกี่ยวกับแพทย์วิถีธรรมนี่หรอก ป่วยมันก็มีอาการคือมันจะมีในลักษณะของเป็นคนที่เหนื่อยง่ายอ่อนเพลียเรียกว่าไม่ต้องไปทำงานแค่เดินก็ไม่มีแรงจะเดินแล้วแหละแล้วก็ตัวเหลืองตาเหลือง
จิตอาสา: ตอนนั้นยังอยู่ที่อเมริกาหรือเปล่าคะ
คุณหญิง: ใช่ค่ะ ยังอยู่ที่อเมริกาแล้วก็กินอาหารไม่ย่อยแล้วก็ไม่ถ่าย มันก็ยังแบบเรียกว่ารู้สึกแย่กับตัวเอง แต่ว่าอาการที่ต้องตัดสินใจให้ต้องไปพบแพทย์ก็คือ ระหว่างขับรถอยู่นี่มันวูบมันจะเป็นลมมันแล้ว เสร็จคุณแม่เพื่อนที่เขานั่งมาด้วยกันเขาก็บอกว่าเราต้องไปโรงพยาบาลแล้วแหละ ก็
ตัดสินใจไปเชื่อไหมคะว่าไปครั้งแรกคุณหมอตรวจร่างกายแล้ว คุณหมอก็ตรวจแบบธรรมดาแล้วก็เอ็กซเรย์แล้ว ก็เจาะเลือดแล้วก็ให้ทำซีทีสแกน คุณหมอก็บอกว่ามีความเสี่ยงที่เป็นไปได้ว่าจะเป็น
มะเร็งตับอ่อนเราก็เรียกว่าตอนนั้นก็ช็อคนะ ไม่คิดว่านี่คือตัวเราเหรอมันมาแล้วเหรอเวลาอย่างนี้มันมาแล้วเหรอตอนนั้น
จิตอาสา: เมื่อวานอาจารย์พิเศษ 68 นะคะเขาว่าจะเป็นมะเร็งปอดคนจะเป็นมะเร็งได้ 68
คุณหญิง: นะคะอันนี้ 40 ตอนนั้น 40 เอง
จิตอาสา: ค่ะ
คุณหญิง: เลยเอ๊ยเราเป็นมะเร็งตับอ่อนแล้วเหรอ ก็เรียกว่าจิตตกไปวันหนึ่งเต็ม ๆ ร้องไห้แล้วก็ตั้งสติยังไม่ได้ เพราะว่าคนที่รู้ข่าวอย่างนี้ก่อน หญิงเพิ่งรู้สภาวะนะว่าพอคนที่หมอวินิจฉัยอย่างนี้อะไรที่มันจะเข้ามามันคือความวิตกกังวล และความห่วงเราจะห่วงว่าถ้าเราจะตายนี่อะไรมันค้างอยู่เต็มไปหมดเลยนี่ เราจะจัดการกับมันยังไง แล้วเราจะมีเวลาพอไหมที่จะทำกับสิ่งที่เราค้างเอาไว้อยู่อย่างนี้มันจะพอไหม มันจะทันไหม เสร็จร้องไห้อยู่พักหนึ่งก็มาได้สติมันไม่มีประโยชน์แล้วพอดีคนที่อยู่รอบข้างเราน่ะเป็นผู้อาวุโสที่เป็นฝรั่ง ที่เขาเป็นฝรั่งนี่เขาดีอย่างหนึ่ง ถึงแม้เขาจะเจ็บป่วยอะไรยังไงเขาจะไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องของความเจ็บป่วยในแง่ของเอามาวิตกกังวล แต่ว่าเขาก็จะเหมือนกับเรียกว่ายอมรับมัน แล้วก็ไปทำอย่างอื่นให้มันเหมือนกับลืม ๆ เลือน ๆ ไปแต่ในลักษณะนั้นมันเหมือนกับกดข่มมากกว่ามันยังไม่เป็นเรื่องของความเข้าใจ แต่หญิงก็ได้หลาย ๆ คนที่เขาเป็นเหมือนตัวอย่างนำทางเราว่าไม่มีใครอยากป่วยอยากตาย แต่ว่าในเมื่อมันเลี่ยงไม่ได้ก็ต้อง Life มันก็ต้อง Go on มันก็ต้องเดินต่อไป ทีนี้พอเห็นเขาแล้วเราเริ่มตั้งสติได้ เราก็มารีบเตรียมตัวว่าจะทำยังไงกับเรื่องสุขภาพของเราเอง และเรื่องธุรกิจคุณหมอก็บอกว่านี่ยังไงยูก็ต้องรักษาด่วน ก็ต้องมาทำตัดชิ้นเนื้อตัดอะไรดูให้มันแน่ชัดว่ามันใช่มะเร็งตรงนี้แน่หรือเปล่าอะไรอย่างนี้ ทีนี้ถ้าเกิดตัดชิ้นเนื้อนี่ ต้องใช้เวลาอยู่ในโรงพยาบาลนานแล้วก็ตอนนั้นหญิงบอกเลยว่ามันไม่มีใครที่จะสนิทพอที่จะอยู่ดูแลหญิงได้ แบบว่าประกบหญิงได้ ตัดสินใจว่าต้องกลับเมืองไทย
จิตอาสา: อยู่อเมริกานี่อยู่คนเดียวใช่ไหมคะ
คุณหญิง: จริง ๆ มีน้องแต่งงานอยู่อีกรัฐหนึ่งแต่มันอยู่อีกเมืองหนึ่งค่ะมันไกลเขามาดูไม่ได้เขาก็ต้องทำงาน แล้วเสร็จพอเราอยู่คนเดียวเราจะกลับเมืองไทยนี่ เราก็ต้องแพลนเรื่องธุรกิจเรื่องอะไรที่จะต้องโอนย้ายให้กับหุ้นส่วนดูแลลูกน้องเราอีก หญิงต้องใช้เวลาประมาณอย่างน้อย 1 เดือนทั้งหลายทั้งแหล่คุณหมอบอกว่ากลัวไม่ทันโอ้โห ยิ่งยิงมาอีกช็อต กลัวไม่ทัน หญิงบอก เอ๊ะ ชีวิตเราเป็นมะเร็งตับอ่อนนี่สั้นขนาดนี้เชียวเหรอเราก็ตัดสินใจนะ ทันไม่ทันก็มีเท่านี้แหละทำไปก่อนทำให้ดีที่สุดแต่ต้องยอมรับว่าโชคดีนะคะที่ระหว่างที่อยู่อเมริกาแล้วมีเวลาอีกเดือนหนึ่ง ที่จะเคลียร์งานนี่ได้เพื่อนบ้านที่ดีพอดีเขานอกจากให้วีซีดีคุณหมอเขียวแล้วนี่เขายังปลูกสมุนไพร แล้วโชคดีมันเป็นสมุนไพรที่กินแล้วดูแลทางด้านตับ ตับอ่อนแล้วก็ ถุงน้ำดีอะไรพวกนี้กินแล้วมันถูกกับเราอาการเราก็ดีขึ้นมาในระดับหนึ่ง
จิตอาสา: เป็นสมุนไพรอะไรจำได้ไหมคะ
คุณหญิง: มันเป็นของทางเขาค่ะเป็นหญ้าต้นหญ้ามันชื่อ แดนดิไลออน (Dandelion) อันนี้เอามาต้มเป็นชา
จิตอาสา: เป็นพืชเมืองหนาว
คุณหญิง: เป็นพืชเมืองหนาวค่ะ แล้วตอนนั้นหญิงบอกให้เลยนะคะคือมันก็เป็นความโชคดีก็คือถ้าเรามาเรียนกับคุณหมอนี่มะเร็งต่าง ๆ นี่ถ้ากินเนื้อสัตว์แล้วนี่มันจะไม่ดี เพราะตัวเซลล์เองนี่มันคงชอบนะมันก็ชอบอะไรเหมือนอย่างที่เราชอบนั่นแหละ แล้วมันก็ไปสร้างพิษสร้างกรดสร้างความร้อนในร่างกายแต่ตอนนั้นปรากฏว่าเป็นแล้วมันบังเอิญ มันล็อกว่าเรากินไม่ได้เรากินเนื้อสัตว์ไม่ได้ เรากินข้าวไม่ได้ ไอ้ที่เรากินได้ตอนนั้นน่ะ
จิตอาสา: กินไม่ได้นี่คือร่างกายไม่ต้องการใช่ไหมคะ
คุณหญิง: มันไม่ต้องการคือมันอืด มันไม่มีความอยากกินน่ะ มันอืดแต่แปลกว่าที่เรารับได้นี่ก็จะเป็นน้ำต้มฟัก น้ำต้มผักเราก็จะกินแค่นี้ อยู่มาเดือนหนึ่งนะหญิงกินแค่น้ำต้มฟักน้ำต้มผักแล้วน้ำต้มแดนดิไลออนนี่ อ้อ แล้วได้กินน้ำย่านางแบบ Frozen ด้วยค่ะ เหมือนกับเป็นน้ำย่านางเอาไปแช่แข็งแล้วมันเป็นเหมือนเกร็ดหิมะ ก็
จิตอาสา: เป็นย่านางกระป๋องไหม หรือว่า
คุณหญิง: ไม่ มันเป็นอยู่ในแพ็คเป็นแพ็ค Frozen มาเลยค่ะนั่นล่ะค่ะ
จิตอาสา: ค่ะใช่ เพราะตอนนี้ย่านางไปดังที่อเมริกาแล้วนะคะ
คุณหญิง: ใช่ค่ะมันไปดังนานแล้วค่ะ
จิตอาสา: ใช่คุณหมอยังบอกว่าขนาดดำ ๆ นะคะย่านางเพราะว่าเขา Frost จากเมืองไทยไปยังหายเลยนะคะสำหรับที่นู่นค่ะ
คุณหญิง: แพงนะคะแพงมันไม่ถูกเลยมันแพงก็กินแล้วก็ดีแต่ว่ามันแพงแล้วมันอยู่ไกลจะกินต้องแบบมาซื้อแล้วเอากลับไปตอนนั้นก็ยังเดินทางไม่สะดวกนี่เพื่อนบ้านอุปถัมภ์ทั้งนั้นเลยแต่ว่าเรากินแดนดิไลออนอยู่ตรงพื้นหญ้าหน้าบ้าน อันนี้ไม่หมด
จิตอาสา: ก็ได้ประทังชีวิตมากกว่า
คุณหญิง: ค่ะ ใช่
จิตอาสา: ก็จะบอกพี่น้องอันนี้นิดหนึ่งนะคะ บอกพี่น้องที่เมืองไทยโชคดีแล้วนะ มีสมุนไพรฤทธิ์เย็นสดย่านางสด ๆ กินที่นี่นะคะ เพราะคนอเมริกาแต่ก่อนนะก่อนที่จะมี น่าจะเป็นพี่นิดละมั้งที่ตอนหลังคุณหมอไป USA แล้วเจอป้านิดที่แกจะเพาะย่านางได้ที่นั่นแล้วนะคะ แต่ก่อนคนไทยที่อยู่ที่นั่นน่ะจะรู้จักย่านางที่นั่นเขากินย่านางกระป๋องนะคะ ที่นี่พี่มีย่านางสด ๆ นะคะใช่ไหม
คุณหญิง: โชคดีมากแล้ว
จิตอาสา: ใช่ไหม
คุณหญิง: แล้วราคาถูกหรือฟรีแล้วเสร็จปรากฏว่าพอนอกจากเรื่องของย่านางนะคะ มีอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นความมหัศจรรย์ที่หญิงก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากคือพอตอนนั้นป่วยนี่ แล้วพอคุณแม่เสียก็ไปทำบุญให้คุณแม่ที่วัดไทยในอเมริกา ซึ่งมีหลวงพ่อองค์หนึ่งชื่อหลวงพ่อเจฟฟรี่ค่ะ หลวงพ่อเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ชามั้งคะ แล้วพอดีจะไปปรึกษาเรื่องธรรมะ คือตอนนั้นเราก็รู้สึกเศร้าเหมือนกันอะไรประมาณอย่างนี้แต่หลวงพ่อป่วยค่ะหลวงพ่อก็เลยเหมือนกับให้วีซีดีกับหนังสือธรรมะเรามา 2 อย่างบอกว่าให้เอาไปอ่าน ยังไม่ทันคุยกับหลวงพ่อเลยนะคะว่าจะคุยเรื่องอะไรยังไง หลวงพ่อบอกว่าให้เอา 2 อันนี่ไปดูไปอ่านเราก็ไม่เคยฟังไม่เคยอ่านไม่เคยติดตามเรื่องธรรมะไม่เคยศึกษาธรรมะเอามาก่อนก็ไม่ได้คิดจะอ่านแต่พอดีมีอยู่วันหนึ่งมันเหนื่อยมากไม่รู้จะทำยังไงแล้วก็เลยเอาวีซีดีของหลวงพ่อมาเปิดฟัง เพราะว่าดีกว่ามันเหนื่อยเปล่า ๆ ปรากฏว่ามันเป็นเรื่องของการใช้ลมหายใจในการรักษาโรคโดยการใช้สมาธิแล้วก็สังเกตดูลมหายใจของเราแล้วเอาลมหายใจนี่ไปเลี้ยงในตำแหน่งที่มีอาการเจ็บปวดต่าง ๆ ในร่างกายซึ่งมันก็คล้าย ๆ กับที่คุณหมอสอนในเรื่องของกะปาละบาติค่ะตอนนั้นหญิงไม่มีความรู้อะไรนี่เลยคำศัพท์พวกนี้หญิงไม่รู้จักหรอกแต่มันเป็นความบังเอิญ
จิตอาสา: แต่ตอนนั้นได้ดูวีซีดีคุณหมอเขียวแล้วใช่ไหมคะ
คุณหญิง: แต่คุณหมอยังไม่ได้พูดเรื่องการใช้ลมหายใจ
จิตอาสา: อันนั้นบางช่วง แต่ว่าตอนนั้นก็คือได้องค์ความรู้จากคุณหมอเขียวแล้ว
คุณหญิง: ยัง ถือว่ายังค่ะ
จิตอาสา: ยัง
คุณหญิง: คือได้แค่เหมือนแนวคิด
จิตอาสา: ได้จากคำแนะนำที่ญาติที่ไปพบที่วัดแค่นั้น
คุณหญิง: ค่ะนั่นล่ะค่ะ
จิตอาสา: แล้วสืบเนื่องมายังไงที่ได้มารู้แพทย์วิถีธรรมแล้วได้เอาไปปฏิบัติตัวยังไงคะ
คุณหญิง: ก็นี่ล่ะค่ะพอใช้วิธี 2 อย่างนี้ หญิงบอกได้เลย 2 อย่างนี้เป็นแกนในเรื่องของการกินสมุนไพรอาหารฤทธิ์เย็นแล้วก็เรื่องของการใช้ลมหายใจในการบำบัดโรคนี่ ในที่สุดมันผ่านไปเดือนหนึ่ง กลับมาเมืองไทยก็อาการหนักแหละก็เข้าโรงพยาบาลรัฐบาล ปรากฏว่าโรงพยาบาลก็เต็มไม่มีเตียง ก็ไปเอกชนค่ะเอกชน 2 คืนหมดไป 70,000 กว่าบาทนะคะ ก็ได้มาอีกโรคหนึ่งแผลในกระเพาะแล้วก็หมอบอกว่ายังตรวจหาความผิดปกติไม่เจอคงเป็นที่เราเครียด ก็ต้องยอมรับว่าความเครียดสูงนะคะก็ป่วยขนาดนี้หมอยังบอกหาไม่เจอแล้วยังไม่สามารถบำบัดให้เราคลายเครียดได้ มันก็ต้องเครียดหนักค่ะ แล้วหมดอีก 70,000 ไปแล้วนะคะ แล้วได้อีกโรคหนึ่งมาด้วยก็กลับมาทรมานอยู่ที่บ้านประมาณ 2 อาทิตย์
ทีนี้ล่ะค่ะมาแล้วค่ะคุณหมอเขียว คือเพื่อนนี่เป็นลูกของคุณแม่บุญธรรมที่เสียไปเขาเอาหนังสือเขาบอกว่าได้ตำราของคุณหมอ 1 เดือนก่อนคุณแม่เสีย คุณแม่ยังอ่านค้างไว้อยู่เลย ได้อันนั้นมาปุ๊บหญิงเปิดเลยหนังสือถอดรหัสสุขภาพเล่ม 1 อ่าน เอ๊ะอาการของเราทั้งหมดนี่มันร้อนเกินนี่ อาการแบบนี้นี่ต้องกินสมุนไพรฤทธิ์เย็นอาหารฤทธิ์เย็นอะไรบ้าง หญิงก็มาดูนั่งไล่ ย่านางก็มีหญ้าปักกิ่งก็มีใบเตยก็มีกล้วยน้ำว้า ประมาณครึ่งชั่วโมงนั้นน่ะหญิงทำทุกอย่างที่หญิงว่านี่กินเชื่อไหมคะว่าอาการทุกอย่างที่นั่งทรมานมาตอนนั้นก็เรียกว่าเดือนกว่า มันดีขึ้นอย่างทันตาเห็นหญิงบอกเลยนะคะมันดีขึ้นมากนะ
จิตอาสา: อันนี้โกหกหรือเปล่า ไวเหมือนโกหกหรือเปล่า
คุณหญิง: ไวเหมือนโกหกเลยค่ะคือแบบพอมันดีขึ้นมากนี่มันเริ่มใจมาแล้วว่า ไอ้ที่วน ๆ ทรมานอยู่นี่ตั้งแต่อเมริกาจนถึงตอนนั้นน่ะประมาณเดือนกว่าเกือบสองเดือนแล้วมาเจอทางออกอันนี้ ก็ใจมาแล้ว แต่ว่ายังอ่านไม่ละเอียดหรืออ่านไปอย่างพวกกัวซา ดีท็อกซ์ น้ำฉี่นี่ยังไม่กล้าทำยังไม่รู้จน กระทั่งประคับประคองด้วยแค่สมุนไพรฤทธิ์เย็นกับอาหารนี่มาก่อน ผ่านไปเกือบเรียกว่าอีก 4-5 เดือน โชคดีคุณน้าหญิงนี่ไม่รู้ เขาพยายามมากที่จะติดต่อแสงแดดแล้วก็ได้ความอนุเคราะห์ ต้องขอบคุณป้านิดนะคะ อยู่ตรงนี้หรือเปล่าให้หญิงลัดคิวเข้ามา ได้ฟังบรรยายของคุณหมอเขียวที่นี่ แล้วเสร็จปรากฏว่า
จิตอาสา: เมื่อตอนไหนคะ เดือนไหน
คุณหญิง: ตอนนั้นนี่รู้สึกจะเป็น มกราคม ปี 2554 ค่ะ
จิตอาสา: มกราคม ปี 2554 จากที่ป่วยมาตั้งแต่กลางปี 2553
คุณหญิง: ป่วยประมาณเดือน สิงหาคม-กันยายน ปี 2553 ค่ะ
จิตอาสา: ค่ะ
คุณหญิง: ค่ะนั่นค่ะ แล้วเสร็จคุณป้านิดลัดคิวให้ไม่งั้นต้องรอมาประมาณมิถุนายนหรืออะไรหญิงจำไม่ได้ค่ะ แล้วเสร็จมาก็ได้ฟังบรรยายคุณหมอเขียว ทีนี้มันก็มีหลายเม็ดที่หญิงไม่ได้ใช้หญิงก็มาเริ่มจากการดีท็อกซ์ ดีท็อกซ์มันดีตรงที่ว่าไอ้ที่เราถ่ายเองไม่ได้นี่มันก็ช่วยระบาย แต่มันก็ยังถ่ายเองไม่ได้นะคะ
จิตอาสา: ค่ะ พอดีโทษนะคะเคยคุยกับคุณหญิงเรื่องคุณหญิงเคยเล่าเรื่องถ่าย ปกติเป็นคน
ไม่ถ่ายเลยไหม อันนี้น่าจะได้เล่าให้ฟังค่ะ
คุณหญิง: ก็ตอนนั้นที่ได้มานี่ คือแบบว่าคือมันไม่ย่อยไม่ถ่ายแล้วจะให้มันถ่ายนี่มันต้องกินยาระบาย
จิตอาสา: กี่วันคะที่ไม่ถ่ายนี่นานสุด
คุณหญิง: 7 วันค่ะ
จิตอาสา: 7 วันนะ
คุณหญิง: กินเข้าไปแล้วอะไรเซโนคอตไม่รู้ 8 หรือ 10 เม็ดมันก็ยังไม่ถ่าย แล้วเสร็จก่อนหน้านี้หญิงมีไปเสียเงินค่าทำดีท็อกซ์ที่โรงพยาบาลเอกชนด้วยค่ะ ไม่ใช่โรงพยาบาลเอกชน เขาเรียกเป็น เมดิคอลเซ็นเตอร์นะคะ ครั้งหนึ่ง 2,400 บาทค่ะ ซื้อเป็นโปรแกรม 30,000 บาทแล้วมาเจอในค่าย (ชุด) ดีท็อกซ์ 35 บาท
จิตอาสา: 35 บาทค่ะ เท่าไรนะพันกว่าบาท
คุณหญิง: 2,400 บาทต่อครั้ง แต่ซื้อแบบว่าเหมานี่มันลดราคาโปรแกรม 30,000 บาท
จิตอาสา: วันนี้ใครยังไม่ทำดีท็อกซ์บ้างคะ
คุณหญิง: ใครยังไม่ดีท็อกซ์ตัดสินใจใหม่นะคะ
จิตอาสา: ใครทำแล้วดีกว่ายกมือขึ้น โอ้เยอะเลย
คุณหญิง: ดีมากเยี่ยมมาก
จิตอาสา: เยอะขึ้นแล้วนะคะ วันนี้วันที่ 4
คุณหญิง: ใช่ค่ะ ก็นี่มาเจอ 35 บาท ก็ทำดีท็อกซ์มันก็ช่วยระบายความทุกข์ของเราได้เยอะมากแต่มันก็ยังถ่ายเองไม่ได้ แต่ว่าโชคดีตอนนั้นได้ฟังพี่จิตอาสาท่านหนึ่งที่เป็นพยาบาลแนะนำ ปรากฏว่าเราเป็นโรคที่คล้าย ๆ กับพี่ท่านนั้น ที่ก็เป็นพยาบาล แล้วเราก็จบพยาบาล ต้องบอกให้เลยพวกแพทย์พยาบาลนี่ ความเครียด ความวิตกกังวล ความห่วงใย ในการงานในการดูแลรักษาคนไข้มีสูงมาก โรคที่เป็นส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่มีเยอะนะคะเกี่ยวกับตับค่ะ ตับหรือตับอ่อนมันก็คล้ายกันแล้วปรากฏว่าพี่ท่านนั้นบอกว่า พี่นี่มีอาการเหมือนลักษณะว่าเป็น เรียกอะไรทางเดินลมปราณอุดตัน แล้วเขาก็แนะนำให้ไปกัวซา ก็หลังจากฟังเสร็จเพื่อนในบ้านเดียวกันก็เอาเลยสลับกันทำกัวซา เราก็ทำให้เขา เขาก็ทำให้เราอะไรอย่างนี้ เชื่อไหมคะหลังทำนี่โอ้โห ผายลมเยอะมาก แบบ… แบบตอนนั้นแบบว่าโลกเปิดแล้ว ฉันเจอแล้วทางรอด พอผายลมเสร็จเข้าห้องน้ำถ่ายเองค่ะ ไม่ได้ดีท็อกซ์นะคะ วันนั้นไม่ได้ดีท็อกซ์ วันนั้นถ่ายเองหลุดเพราะกัวซา
จิตอาสา: ต้องบอกว่ามิราเคิลครั้งที่ 2 มหัศจรรย์ครั้งที่ 2
คุณหญิง: ในค่ายนะคะ
จิตอาสา: ครั้งแรกจากกินสมุนไพร
คุณหญิง: ค่ะ ครั้งแรกจากสมุนไพร
จิตอาสา: ครั้งที่ 2
คุณหญิง: ครั้งนี้จากกัวซานะคะ
จิตอาสา: เดี๋ยวก่อนต้องเป็นครั้งที่ 3 ครั้งแรกสมุนไพรจากกินนะคะ ครั้งที่ 2 ดีท็อกซ์
คุณหญิง: ดีท็อกซ์นี่มันช่วยประหยัดไงคะ เพราะว่าเราไปดีท็อกซ์มาก่อนแล้วครั้งละ 2,400 บาท แล้วเรามาเจอ 35 บาท
จิตอาสา: แต่ก็เริ่มจะต้องกำจัดของเสียด้วยดีท็อกซ์ แต่อันนี้ได้ปิ๊งอีกครั้งที่ 2
คุณหญิง: ปิ๊งอีกครั้งที่ 2 นี่คือแบบเรื่องของกัวซาแล้วมันทางลมปราณมันล็อกอยู่ไงคะ พอมันหลุดปุ๊บนี่มันมาเลย โอ้โหโบเวลมูฟเม้นท์ (Bowelmovement) ในลำไส้เคลื่อนเอง ถ่ายเอง มันมาเลยตั้งแต่วันนั้นมาถ่ายเองได้โดยตลอดไม่มีปัญหาอะไร
จิตอาสา: ต้องถามว่าใครทำกัวซาแล้วบ้างไหมคะ (ผู้ฟังยกมือกันมาก) ก็โดยส่วนใหญ่นะคะ
คุณหญิง: เยี่ยมมากดีไหมคะ ทำแล้วดีไหม
จิตอาสา: ใครเจอเหตุการณ์เหมือนคุณหญิงไหมคะ ที่รู้สึกปิ๊งเหมือนกันมีไหมคะ
คุณหญิง: จากกัวซานี่มีไหมคะ ไม่มีไม่เป็นไร
จิตอาสา: ยังไม่มีไม่เป็นไรค่ะ
คุณหญิง: เดี๋ยวทำไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวจะเจอปิ๊งกันหลาย ๆ ข้อเลยค่ะ พอหลังจากนั้นนี่หญิงหลุดจากเรียกว่าคุณหมอวินิจฉัยว่าหญิงจะตายภายในหนึ่งเดือน นี่กลับมาเห็นแสงสว่างเกิดขึ้นแล้วในชีวิตนี่หญิงเริ่มเรียนรู้แล้วว่าเราประมาทกับชีวิตของเรามานาน เราเอาชีวิตเราเองนี่ไปยึดติดอยู่กับลาภยศสรรเสริญชื่อเสียงเงินทองอะไรต่าง ๆ มานานนี่เราได้โอกาสที่ 2 ของชีวิตมานี่โชคดีมากแล้วแล้วหญิงไม่รู้ว่าหญิงจะได้มีโอกาสที่ 3 ในชีวิตอีกหรือเปล่า เพราะฉะนั้นหญิงโชคดีแล้วที่มีโอกาสที่ 2 นี่ทำโอกาสที่เหลือวันเวลาที่เหลือให้คุ้มค่าอย่างไรจะทำยังไงดีแค่ชีวิตเราชีวิตเดียวถ้าเรายังเข้าไปเดินทางเดิมคือกลับไปหาหลังจากหายแล้วกลับไปหาเงินหาวัตถุอะไรอย่างเดิมมันก็แค่ตัวเราหรือแค่คนในครอบครัวเพียงไม่กี่คนแต่ถ้าเราเอาชีวิตเราตอนนี้ซึ่งที่เหลือนี่มันเป็นกำไรแล้วนี่เอามาเดินตามคุณหมอเขียวมาช่วยเหลือคนที่ศรัทธาอย่างตามรอยของที่คุณหมอเขียวทำเราจะช่วยคนได้อีกเท่าไร แล้วมันเหมือนหญิงใจดีนะคะ ช่วยคนอยากช่วยคน แต่จริง ๆ หญิงบอกว่าต้องขอบคุณพี่น้องทุกท่านนะคะที่หญิงช่วยท่านไปน่ะหญิงได้รับเยอะมากนะคะ สิ่งที่หญิงได้รับเยอะมากด้วยความบังเอิญซึ่งหญิงก็ไม่รู้ตัวก็คือการที่เราได้มาให้ความรู้ให้คำแนะนำหรือดูแลรักษาคนไข้นี่มันเกิดพลังค่ะพลังชีวิตพลังบุญต่างๆนี่มันย้อนกลับเข้ามาหาหญิงอย่างมหัศจรรย์บางครั้งอธิบายไม่ได้มันเหมือนไสยศาสตร์หรือว่าความงมงายอะไรหญิงไม่ทราบได้แต่สำหรับหญิงแล้วไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตามหญิงถือว่ามันเป็นสิ่งที่มีค่าและเป็นกำไรในชีวิตที่เราได้ให้อะไรกับใครไปด้วยเรียกว่าจิตที่บริสุทธิ์ด้วยพรหมวิหาร 4 เมตตากรุณามุทิตาอุเบกขาสิ่งที่กลับมาหาเรามันก็เป็นสิ่งที่ดีมันเรียกว่าต้องเกิด แค่คิดก็มาแล้วหลาย ๆ อย่างในชีวิตหญิง หลังจากที่หญิงได้อุทิศตนเข้ามาเป็นจิตอาสานี่บางอย่างมหัศจรรย์มากกว่าตอนอยู่ในทางโลก ตอนที่เรามัวแต่คิดแต่เรื่องตัวเองไม่ได้คิดถึงคนอื่นนี่วิ่งหามันแทบตาย มันไม่เคยมาเลย แต่พอเรามาอยู่ทางนี้ นี่อะไรหลาย ๆ อย่างมันเดินเข้ามาหาเราเอง แค่คิดก็มาแล้ว แต่ต้องบอกนะคะว่าคิดในสิ่งที่เป็นความจริงคิดบนพื้นฐานในความเป็นไปได้คิดในสิ่งที่มันทำให้ตัวเราเองมีความสุขมีความผาสุก คิดใกล้ตัวแค่นี้มันก็ได้กลับมาแล้วไม่ว่าจะเป็นวัตถุสิ่งของหรือว่าความผาสุกความปิติในชีวิตและที่สำคัญที่สุด การมีสุขภาพกายสุขภาพใจที่ดี ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ตรัส “อโรคยา ปรมาลาภา” นะคะ ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐอันนี้เป็นสิ่งที่หญิงคิดว่ามันมีค่ามากที่สุดสำหรับหญิงแล้ว ณ ช่วงชีวิตนี้ แล้วก็การเกิดมาในชาตินี้ของหญิงนี่หญิงรู้ว่าคนเรามันเกิดมานี่มันมีหน้าที่ หน้าที่อะไรคะ หน้าที่ที่ต้องมาชดใช้วิบากกรรมที่เราทำอยู่และบำเพ็ญบุญกุศลเพื่อภพชาตินี้และภพชาติต่อไปในอนาคต แต่เราไม่ต้องไปคิดไกลค่ะ เอาเป็นว่าเกิดมาเรารู้ว่าเราเกิดมาเพื่อทำหน้าที่อะไร แล้วอยู่ไปเพื่ออะไร เพราะฉะนั้นความยาวหรือความสั้นของชีวิตมันไม่ได้เป็นสาระอะไรแก่นแท้เลย เพียงแต่ถ้าเราเข้าใจความหมายคำตอบของสิ่งสำคัญ 2 อย่างในการดำเนินชีวิตแค่นี้ความผาสุกในชีวิตมันก็มาหาเราได้ง่าย ๆ แล้วค่ะ ก็หวังว่าเคสตัวอย่างของหญิงนี่ อาจจะไม่มากก็น้อยค่ะที่จะเป็นประโยชน์ต่อพวกพี่น้องผู้รักสุขภาพ ถ้าเกิดมีใครมีปัญหาหรือมีความทุกข์ในชีวิต แล้วมีอะไรที่คล้ายหญิง แล้วอยากจะคุยกับหญิงนอกรอบก็ยินดีนะคะ ก็เดินผ่านก็เรียกทักทายกันได้วันนี้ สำหรับหญิงก็คงมีประมาณแค่นี้ค่ะ
จิตอาสา: ต้องขอบพระคุณพี่หญิงมากเลยค่ะ กรณีของพี่หญิงนี้ก็คือ เป็นเพียงหนึ่ง ตัวอย่างนะคะของผู้มาอบรม เหมือนพี่น้องนี่นะคะ วันนั้นตอนแรก พี่หญิงก็คงไม่คิดนะคะว่าจะมาเป็นจิตอาสา ใช่ไหมคะ
คุณหญิง: ห่างไกลมากเลยค่ะระหว่างปี 2553 จนมาถึงนี่ทั้ง ๆ ที่เวลามันแค่ 2 ปีกว่าแต่ตอนนั้นยังมองไม่เห็นภาพตัวเองอย่างนี้เลยค่ะ
จิตอาสา: เพราะตอนนั้นก็คือต้องคิดว่าเราจะรักษาตัวอย่างไรก่อน พอทำแค่ไม่กี่ครั้งไม่นานเลยใช่ไหมคะ สุขภาพก็ดีขึ้นพลังชีวิตก็เพิ่ม แล้วก็เลยผันตัวเองมาเป็นจิตอาสา
คุณหญิง: ใช่ค่ะ แค่…คิดว่ามาเข้าค่ายน่าจะไม่เกิน 2 ครั้งค่ะ
จิตอาสา: 2 ครั้งนะคะ ในปี 2554
คุณหญิง: ค่ะ ในปี 2554 ค่ะ
จิตอาสา: ก็เท่าที่รู้จักแพทย์วิถีธรรมมาจนถึงช่วงนี้ก็ประมาณปีครึ่งเกือบ 2 ปี
คุณหญิง: ค่ะ 2 ปี
จิตอาสา: ครบสิ้นปีนี้ก็ 2 ปีพอดีนะคะ
คุณหญิง: ค่ะ
จิตอาสา: อันนี้ก็เป็นหนึ่งตัวอย่าง ถ้าฟังจากพี่หญิงเล่านี่ ประมวลหรือสรุปจากการบรรยายของคุณหมอเขียวได้เลยนะคะ สุดท้ายก็คืออย่างที่เมื่อวานก็เรียนพี่น้องไปแล้วนะคะ บอกว่าฟังดี ๆ นะคะ 4 สาเหตุหลักที่คุณหมอเขียวบอกแล้วส่วนใหญ่คนที่เป็นโรคค่ะ ส่วนใหญ่ก็คือเป็นโรคของวิตกกังวลอันนี้ก็มาจากความเครียด อย่างเมื่อวานก็ใช่นะคะ โรควิตกกังวล ก็คือคุณหมอเขียวก็มีเทคนิคให้แล้วนะคะ “อย่ากลัวโรค อย่ากลัวตาย อย่างเร่งผล อย่ากังวล” อันนี้เดี๋ยวอาจารย์ก็คงได้มาเล่าให้พี่น้องฟังบรรยายให้พี่น้องฟังอีกทีนะคะ แล้วส่วนใหญ่ ก็ถ้าอย่างที่บอกว่ามัวแต่ทำงานเครียด และหลง โรคที่พี่น้องเป็นส่วนใหญ่นะคะ ไม่ใช่โรคร้ายโรคอะไรนะ ส่วนใหญ่มันเป็นโรคของ โลกธรรมมากกว่า ความโลภโกรธหลงนะคะ ไปดูนะคะส่วนใหญ่เรามาจากโลภโกรธหลงทั้งนั้นเลยนะคะ แล้วถ้ากลัวตายจริง ๆ นะคะ พอดีพูดถึงเรื่องของธรรมะนะคะ ก็พระพุทธเจ้าท่านก็สอนอยู่แล้ว ที่ท่านก็ถามพระอานนท์เสมอใช่ไหมคะ
คุณหญิง: ค่ะ
จิตอาสา: ให้ทำอะไรคะ ให้ระลึกถึงความตาย ท่านถามว่าระลึกถึงความตายวันละกี่ครั้งคะ
คุณหญิง: วันละกี่ครั้งหว่า
จิตอาสา: วันละกี่ครั้งคะ… คะ… (ผู้ฟังตอบ) “ไม่รู้” เมื่อสักครู่ได้ยินว่า “ตลอดเวลา” นะคะก็คือทุกลมหายใจนะคะ ก็อย่างที่เมื่อกี้พี่หญิงเล่าบอกว่า จะตายอยู่แล้วยังมีความวิตกกังวลว่ายังมีอะไรจะทำไม่รู้เต็มเลยใช่ไหมคะ ยังมีภาระผูกพันหรืออะไรนี่ ก็ให้เรารีบนึกว่าถ้าเราจะต้องตาย
ณ ขณะนี้นะคะ เรายังคั่งค้างอะไรที่เรายังไม่ได้ทำเราต้องรีบทำนะคะ
คุณหญิง: ใช่
จิตอาสา: โดยเฉพาะประโยชน์ตนประโยชน์ท่านนะคะให้รีบสะสางนะคะ ไม่ใช่คิดว่าเราจะตาย ณ วันพรุ่งนี้หรือวันมะรืนนี้ ต้องคิดว่าเราจะตาย ณ ขณะนี้วินาทีนี้ ก็คือให้คำหนึ่งถึงความตายทุกวินาทีนะคะ แล้ว เราก็ใช้เทคนิคยา 9 เม็ดนะคะแต่สิ่งสำคัญก็คือในเรื่องของจิตใจนะคะ
คุณหญิง: เป็นสิ่งสำคัญมากตั้งแต่ได้ธรรมะของคุณหมอเขียว นี่ชีวิตที่อยู่นี่ ที่เหลือนี่บอกเลยว่ามันคือกำไร แล้วตัวก็เบาสบายมีความสุขทุกลมหายใจค่ะ
จิตอาสา: ถ้าใครได้ติดต่องานกับพี่หญิงนี่จะเย็นมากเลยนะคะ ติดต่อได้ มีท่านใดได้ติดต่องานกับพี่หญิงหรือยังคะ ฝ่ายทะเบียนคงได้ติดต่อแล้ว หรือถ้าใครมีปัญหาอยากปรึกษา เชิญได้เลยนะคะ หลังจากนี้ไปแล้วก็อย่าลืมนะคะ อย่างที่พี่หญิงบอกที่พี่หญิงมาบำเพ็ญบุญนะคะ พลังชีวิตจะกลับคืนมานะคะ แล้วอย่างที่คุณหมอบอกที่เราเมื่อยที่เราเหนื่อยที่เราล้าเพราะมันไปเสียเวลาทำเรื่องอะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ พอเราเปลี่ยนมาทำเป็นประโยชน์นี่ค่ะ พี่น้องจะรับได้ เดี๋ยววันที่ 7 นะคะใครมาแล้วเดินไม่ได้วันที่ 7 วิ่งปร๋อเลยเนาะ
คุณหญิง: ค่ะ ก็โมทนาบุญด้วยถ้าเป็นอย่างนั้นนะคะ แต่ว่าถ้าใครจะยังไม่เป็นอย่างนั้นก็
ไม่เป็นไร เอาเทคนิคต่าง ๆ เหล่านี้ไปใช้ต่อ โรคถ้ามันไม่หายตอนที่เราเป็น ก็หายตอนที่เราตายอย่างดีเราก็เสมอกับเขาค่ะ
จิตอาสา: ค่ะ ในช่วงท้ายที่สุดนี้ พี่หญิงมีอะไรฝากทิ้งท้ายไหมคะ ก่อนที่เราจะได้พบกับโปรแกรมต่อไปค่ะ
คุณหญิง: ก็อย่างที่บอกไปเมื่อตะกี้นะคะตอนนี้นี่ให้เราระลึกอยู่เสมอว่าเรา เวลาที่เหลืออยู่จะสั้นหรือจะยาวมันไม่ได้สำคัญ มันไม่ได้เป็นสาระอยู่ตรงนั้น แต่อยู่เพื่อทำอะไรและอยู่ยังไงให้มันมีความผาสุกที่ยั่งยืน อันนี้ล่ะ ตอบคำถามตรงนี้แล้วก็เดินทางไปสู่คำตอบตรงนี้ให้ได้ แล้วก็ขอให้พี่น้องทุกคนมีความสุขนะคะ มีความผาสุกที่ยั่งยืน เหมือนกับที่ตอนนี้ที่หญิงเป็นอยู่ ขอบคุณมากค่ะ
จิตอาสา: ค่ะต้องขอบพระคุณพี่หญิงมากเลยนะคะ สาธุค่ะ