ถอดบทความจากรายการธรรมะพาพ้นทุกข์วันที่ 12 กรกฎาคม 2564
สาระสำคัญ คือ
- 1. สูตรแข็งแรงอายุยืน ป้องกันภัยการติดเชื้อโควิดลงปอดและส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้
- 2. การวินิจฉัยเชิงลึกการเกิด การดับของเชื้อโรค และ การปรับสมดุลร้อนเย็น
- 3. การดูแลรักษาสุขภาพร่างกายด้วย เทคนิคการแพทย์วิถีธรรมในการกำจัดเชื้อโรคโควิด
- 4. การวินิจฉัยเชิงลึกด้านอารมณ์ความรู้สึกกับการกำจัดโรคร้าย (โควิด 19 จากกิเลส)
- 5. การนำหลักคำสอนในพระไตรปิฎก มาประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม ทันกับเหตุการณ์
- 6. ศึกษาแรงเหนี่ยวนำมีผลจริง ต่อการเกิดโรคร้ายทางร่างกายและจิตใจ
วันใดที่เราหาตัวรู้สึกสบายไม่ได้ ให้เราทำใจให้สบาย เมื่อหาเต็มที่แล้วไม่ได้ จะทำใจให้สบายต้องทำยังไง ก็ให้เราไม่ติดไม่ยึดในรูป รสกลิ่น เสียง สัมผัส แม้แต่สัมผัสที่สบาย ถ้ามันไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปยึดมั่นถือมั่น ให้เรายินดีใช้วิบาก เช่นกินสิ่งที่เรามี ณ ตอนนั้นเอาประโยชน์เลย คือ กินเพื่อเป็นวัคซีน มันไม่สบายบ้าง มันเป็นพิษ มันไม่สมดุลบ้างก็ถือว่าให้ร่างกายได้ฝึกอดทนต่อพิษ ฝึกสลายพิษฝึกขับพิษ
ทำใจให้สบายแล้วก็ถือเป็นวิบากที่เราต้องชดใช้ ฝึกใช้เวรใช้กรรม ใช้วิบาก เป็นต้น รับแล้วก็หมดไปก็โชคดีขึ้น เราก็ยินดีรับยินดีให้หมดไป เพราะนั้นร่างกายเราก็แข็งแรงเรื่องร้าย ๆ ก็ลดลง เรื่องดีก็เพิ่มขึ้น พอวิบากร้ายเบาบาง เราก็จะพบสิ่งดีเอง เราก็ทำดีเรื่อยไปใจเย็นข้ามชาติ พลังความดีดันวิบากร้ายออก เดี๋ยวเราก็ได้พบตัวที่รู้สึกสบาย
อาจารย์ทานอาหารส่วนใหญ่จะรู้สึกสบาย แต่มีบางคราวเหมือนกันก็มีวิบากบ้างเหมือนกัน ทำให้เราหาตัวสบายไม่ได้ก็มีบ้างเป็นธรรมดา ไม่ได้แปลกหรอก ขนาดพระพุทธเจ้าบางวันยังไม่ได้ฉันเลยก็มีนะ หาอาหารที่ฉันไม่ได้เลย ขนาดพระพุทธเจ้ายังต้องเผชิญภาวะอย่างนั้น เราจะไม่โดนบ้างหรือไง วิบากเข้าบางทีพระพุทธเจ้ามีคราวหนึ่ง ไปบิณฑบาตรไม่ได้เลย พระเจ้าสุปพุทธะ ยกกองทัพมาขวางเลย พระพุทธเจ้าต้องเดินกลับเลยนะและก็ไม่ได้ฉัน ธรรมดาคนทั่วไปก็ต้องหิวใช่ไหม แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ เสวยปิติแทน เสวยความอิ่มเอิบเบิกบานแจ่มใสไร้กังวลแทน มารเธอทำให้เราทุกข์ไม่ได้หรอก อย่างนี้ เป็นต้น เราไม่กลัวไม่กังวลไม่หวั่นไหว แล้วพระพุทธเจ้าก็รู้ว่าเป็นวิบากแต่ก็เต็มใจรับเต็มใจให้หมดไป พอวิบากหมดสิ่งดี ๆ เยอะแยะไปหมดเลย อย่างนี้เป็นต้น นี่ก็เป็นสัจจะอย่างนี้
ไหน ๆ ก็พูดอันนี้แล้ว เราแวะสูตรที่ทำให้แข็งแรงอายุยืน ทบทวนกันสักหน่อยนะ แล้วเรามาจิตตานุปัสสนา สติปัฏฐานต่อ เพราะว่าช่วงนี้โรคโควิดระบาด คนก็จะลำบากทุกข์ทรมานกันกับโรคภัยไข้เจ็บเยอะเหมือนกัน ตอนนี้โรคภัยไข้เจ็บระบาดหนักเลย มีคนที่ถามอาจารย์มาด้วยว่า:
ถ้าเชื้อโควิดลงปอดเราจะทำยังไงดี?
ตอบคำถามนี้ก่อนก็ได้ แล้วก็จะมาเชื่อมโยงไปในหลักการที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้นี่แหละ เพราะเชื้อโควิดเป็นสิ่งแปลกปลอมที่ร่างกายไม่ต้องการ กลไกแรกที่จะเกิดขึ้น คือปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ กล้ามเนื้อ เซลล์ของปอดหลอดลมจะพยายามเกร็งตัว บีบเอาเชื้อโควิดนั้นออกไปและพยายามไอออกมา และพยายามส่งน้ำไปซับพิษ เลือดลมจะไหลเวียนไม่ค่อยสะดวก มันจะหายใจลำบาก ถ้ามันเกร็งค้างนาน เข้าก็เป็นอันตรายเป็นโรคร้ายแรงหนักได้หรือว่าเสียชีวิตได้ หายใจไม่ออก ส่งน้ำไปซับพิษอีกต่างหาก มันก็จะเป็นเสมหะออกมาก็จะไอออกมา
แรก ๆ จะไอแห้ง ๆ ก็ได้ นานเข้าถ้าเขาส่งของเหลวไปซับพิษได้ เขาก็จะไปซับพิษแล้วก็พยายามไอออก เป็นน้ำลายเป็นน้ำมูกออกมา กลไกหลัก ๆ มันก็จะหายใจลำบาก ถ้ามันเกิดสภาพอย่างนี้มันจะมีทั้งภาวะร้อนเกินเย็นเกินพันกันแรก ๆ จะเป็นร้อนเกินก่อน ชีวิตจะผลิตพลังงานมาเพื่อที่จะเกร็งตัวบีบเอาพิษโควิดออกจะใช้พลังงาน มันจะมีร้อนแน่นอน แต่ถ้ามันเป็นเรื้อรังเข้า พลังเราจะหมด
1. มันเกร็งค้างใช่ไหม เลือดลมจะไหลเวียนไม่ได้ ส่วนที่เลือดลมไหลเวียนไปไม่ได้จะเย็น
2. พลังที่ใช้ไปมันจะหมด มันก็จะเย็นลงมา
พอร่างกายเย็นลงมาอย่างนี้ ชีวิตก็ไม่ต้องการเย็นเกินจะสั่งให้ร่างกายผลิตความร้อนขึ้นมาสู้ความเย็น มันจะกลายเป็นร้อนเกินขึ้นมาอีก พอผลิตพลังงานขึ้นมาพลังงานจะหมดมันจะตีกลับเป็นเย็นอีก
เพราะฉะนั้นถ้าเชื้อลงปอดภาวะส่วนใหญ่แล้วมันจะเป็นร้อนเย็นพันกัน ยกเว้นบางคราววิบากจะออกฤทธิ์ไปทางร้อนอย่างเดียว เด่นไปทางร้อนหรือเด่นไปทางเย็นอย่างนี้เป็นต้น แล้วแต่มันจะเด่นไปทางไหนตามวิบากของชีวิต แต่ตัวที่ค่อนข้างจะเกิดขึ้นได้เป็นฐาน คือร้อนเย็นพันกัน เพราะการใช้พลังนี่มันร้อนอยู่แล้ว ใช้พลังเกร็งตัวบีบพิษโควิดออก มันจะเกิดกรดเกิดความร้อนขึ้น และการหมดพลังมันจะทำให้เกิดเย็นเกินขึ้น มันจะพันอยู่อย่างนี้ ร้อนเย็นพันกันเป็นส่วนใหญ่
เป็นอันว่า พอเป็นอย่างนี้เราก็ใช้หลักพระพุทธเจ้าเป็นผู้ทำความสบายให้แก่ตน แล้วก็ใช้วิธีการต่าง ๆ ให้เรารู้สึกสบาย ถ้าเรายังคิดไม่ออกว่ามันจะเริ่มต้นจากอะไรดีที่เราจะรู้สึกสบายได้ ให้เราใช้ร้อนกับเย็นผสมกันก่อน ครึ่ง ๆ เข้าไปก่อน จะเป็นอาหารสมุนไพร หรือโดยวิธีการใด ๆ ก็แล้วแต่ วิธีการ 9 ข้อของเรา หรือวิธีการอื่น ๆ ก็ตาม ลองใช้ร้อนกับเย็นผสมกันไปก่อนก็ได้ในกรณีวินิจฉัยตัวเองไม่เป็น
ถ้าวินิจฉัยตัวเองเป็น ก็วินิจฉัยไปเลย บางท่านจะเป็นร้อนเย็นพันกัน บางท่านจะเป็นร้อนเด่น บางท่านก็จะเป็นเย็นเด่น มันเด่นไปแบบไหนใช้ตัวนั้นรักษาไปก่อน ปรับใช้ค้นหาอาการหลัก ก็ปรับใช้ตัวที่สอง ที่สาม มันก็มีสามสูตรเท่านั้นที่เราจะใช้ ถ้าเป็นร้อนเย็นพันกันก็ใช้ร้อนเย็นผสมกัน ถ้าร้อนก็ใช้เย็น ถ้าเย็นก็ใช้ร้อน ถ้ามันเด่นไปตรงไหนใช้ตรงนั้นรักษาก่อนเลย นี่หลักการใหญ่ ๆ
แต่ถ้ามันยังไม่ชัดว่ามันเด่นไปทางไหน อาจารย์แนะนำเพราะมันเป็นเชื้อที่ฉับพลัน แนะนำให้ใช้ร้อนเย็นผสมกันในสัดส่วนที่เรารู้สึกสบาย ฉับพลันมันจะใช้พลังเยอะในการกำจัดออก หรืออย่างน้อยครึ่งต่อครึ่งไปก่อน ถ้ามันดีขึ้นก็จบ ถ้ามันไม่ดีขึ้นเราดูว่ามันเด่นไปทางไหน เมื่อเราใช้ไปแล้วอาการไม่สบายเด่นไปทางไหน เด่นไปทางร้อนหรือเด่นไปทางเย็น ถ้าเด่นไปทางร้อน เราใช้ครึ่งต่อครึ่งแล้ว ก็เน้นเพิ่มเย็นเข้าไปให้มากลดร้อนลง ถ้าเด่นไปทางเย็นเพิ่มร้อนไปให้มากลดเย็นลงเท่าที่รู้สึกสบาย เท่านี้เอง ไม่ว่าเราจะใช้วิธีการใด ๆ ก็ตาม
จริง ๆ อาจารย์ไล่จากสมดุลร้อนเย็นเข้าไปนี่แหละ เริ่มต้นจากวิธีเสริมก่อนก็ได้ ไปหาหลัก ไปหาเลิศ โดยใช้หลักของพระพุทธเจ้า คือเป็นผู้ทำความสบายให้แก่ตน จับหลักอันนี้ไว้นะ ใช้ในสิ่งที่สบายเท่าที่รู้สึกสบาย อะไรที่ใช้แล้วสบายเบากายมีกำลังใช้ตัวนั้นแหละ เอาเป็นตัววัดอันนี้ไป เจ็บป่วยน้อยลำบากกายน้อย เบากายเบาใจมีกำลังเป็นอยู่ผาสุก เอาตัวชี้วัดอันนี้เป็นหลัก
อะไรที่เราสบาย เราใช้ตัวนั้นเป็นหลักไม่ว่าวิธีการใด ๆ ก็ตาม เช่น ตั้งแต่เริ่มรับประทานสมุนไพรปรับสมดุล ก็ลองดู เอาร้อนเย็นผสมกันดูก่อน แล้วก็ลองใช้เย็น ลองใช้ร้อนดู ถ้ามันไม่ดีขึ้นก็ใช้เย็นหรือใช้ร้อนดูก็ได้ ใช้ร้อนเย็นผสมกันเช่น มีสมุนไพรฤทธิ์เย็น 1 แก้วผสมน้ำให้อุ่น ๆ ก่อนก็ได้ หรือว่าสมุนไพรฤทธิ์เย็นผสมกับสมุนไพรฤทธิ์ร้อน สมุนไพรฤทธิ์เย็นเช่น ย่านาง ใบเตย ผักบุ้ง อ่อมแซบ สมุนไพรฤทธิ์ร้อนก็เช่น ขมิ้น ขิง ข่า ตะไคร้ ผสมกันไปก่อนเลยก็ได้ไม่มีปัญหา
มีข้อมูลออกมาว่าบางครั้งก็ใช้ฟ้าทะลายโจร บางครั้งก็ใช้สมุนไพรฤทธิ์เย็นต่าง ๆ ได้ผลดีอย่างนี้เป็นต้น พวกนี้พวกถอนพิษร้อน บางครั้งเราก็จะได้ยินว่ากระชาย ซึ่งมันมีฤทธิ์ร้อนก็ได้ผลอะไรอย่างนี้ แสดงว่าบางคราวมันจะเป็นเย็นเกิน บางคราวมันจะเป็นร้อนเกิน พวกเรามีประสบการณ์ใช้หมด บางคราวก็ใช้ทั้งร้อนทั้งเย็นแล้วได้ผล อาจารย์ก็ได้ข้อมูลบางทีสมุนไพรฤทธิ์เย็นกดน้ำร้อนใส่หรือผสมสมุนไพรฤทธิ์ร้อนก็ได้ผล แสดงว่าบางคราวมันเป็นร้อนเย็นผสมกัน ร้อนเย็นพันกัน มันมีข้อมูลที่ชัดเจนแหละโควิดจากการทำงานวิจัยเชิงลึกของเรา ได้ค้น พบชัดเจนว่าบางคราวก็เป็นร้อนเย็นพันกัน บางคราวก็เป็นร้อนเกิน บางคราวก็เป็นเย็นเกิน เพราะฉะนั้นก็จะต้องวินิจฉัยเอาว่า ตอนนั้นเราใช้อะไรแล้วสบาย
เราไม่ต้องไปกังวลนะบางท่าน ส่วนใหญ่โรคมักจะเด่นไปทางร้อนเกิน บางทีบางท่านมีประสบการณ์นี้ว่ามันเด่นไปทางร้อนเกิน เวลาเห็นใครไปใช้ขมิ้นขิงข่าตะไคร้กระชายก็จะรู้สึกเป็นห่วง อะไรอย่างนี้นะกลัวว่าจะร้อนเกิน ก็ดีปรารถนาดีต่อกัน แต่เชื่อไหมว่าบางครั้งมันก็ถูกกับท่านเหล่านั้นนะ ขมิ้น ขิง ข่า ตะไคร้ กระชาย กระเพรา กระเทียม โหระพา บางทีมันก็ถูกกับท่านเหล่านั้นเพราะจังหวะนั้นมันเป็นเย็นเกินแทรกก็มี มันก็ถูกกันไม่มีปัญหาหรอก ใช้อะไรสบายก็ใช้ตัวนั้นแหละเป็นหลักเลย จับหลักอันนี้ไว้
จับหลักตัวนี้ได้ก็สบายแล้ว เลือกทดลองได้เลยไม่มีปัญหา เพราะว่าสมุนไพรนี่มันปลอดภัย มันเป็นสิ่งที่ชีวิตกินเป็นประจำวันอยู่แล้ว ก็ปกติก็ทานอยู่แล้ว เป็นสิ่งที่ปลอดภัยต่อชีวิตอยู่แล้ว จะเป็นตัวฤทธิ์เย็นฤทธิ์ร้อนก็ปลอดภัยอยู่แล้ว โดยทั่วไปแล้วเอาร้อนเย็นผสมกันมันก็เป็นสิ่งที่ชีวิตเราใช้เป็นประจำ เพราะฉะนั้นเราก็ทดลองได้เลยว่ามันถูกกับอะไร
ถ้าคิดอะไรไม่ออกอาจารย์แนะนำว่าใช้ร้อนกับเย็นผสมกันก่อน รองลงไปก็จะเป็นใช้เย็น รองลงไปใช้ร้อน ถ้าเป็นสถิติโดยรวม แต่ยังไงก็ตาม จะไม่เป็นไปตามลำดับอย่างนี้ก็ได้ เพราะบางท่านก็เด่นไปทางร้อนเลย บางท่านก็เด่นไปทางเย็นเลย ถ้าเด่นไปทางร้อนก็ใช้เย็นเลย เด่นไปทางเย็นก็ใช้ร้อนเลย หรือบางท่านเด่นไปทางร้อนเย็นพันกันก็ใช้ร้อนเย็นผสมกันเลย อยู่ที่ท่านวินิจฉัย ได้หรือไม่ ณ ตอนนั้น ถ้าวินิจฉัยได้ก็วินิจฉัยไปเลย ถ้าวินิจฉัยยังไม่ได้อาจารย์แนะนำใช้ร้อนเย็นผสมกันก่อนแล้วดูว่าสบายไหม หรืออาการไม่สบายมันเด่นไปทางไหน ถ้ามันเด่นไปทางร้อนให้เราใช้เย็น เด่นไปทางเย็นให้ใช้ร้อน ใช้เท่าที่รู้สึกสบาย อย่าไปใช้มากไป ดูความจริง ณ ปัจจุบันนั้น ๆ
ยิ่งยุคนี้อาจารย์เข้าใจ เข้าใจเรื่องของสองเรื่อง
1. เรื่องวิบาก
มันเกี่ยวข้องกับวิบาก ความกลัว กังวล หวั่นไหว วิบากเก่าที่ไปทำอะไรไม่ดีมาก็แล้วแต่มันกำลังออกฤทธิ์ตอนนี้ มันจะรวน มันทำให้เดี่ยวเย็นเดี๋ยวร้อน เดี๋ยวร้อนเย็นพันกันมันจะหลอกมันจะรวน มันทำให้ตัวเราเองหลอกตัวเองหลอกผู้อื่นมาเยอะเพราะฉะนั้นเวลาเป็นโรคมันจะหลอก จะหาตัวจับยาก ตกลงมันเป็นอะไรกันแน่
2. เข้าใจชัดเรื่องของ วิบากกรรม
ณ ปัจจุบัน ที่เรากลัว กังวล หวั่นไหวนั่นแหละ กลัวกังวล หวั่นไหว ในปัจจุบันนั้น ซึ่งมันจะมีอดีตสังเคราะห์ร่วมด้วยก็ตาม โดยเฉพาะการกลัว กังวล หวั่นไหว มันจะทำให้ชีวิตใช้พลังงานมากในการไปกลัว ใช้พลังงานมากในการไปดันความกลัวออก ไปเกร็งตัวบีบเอาความกลัวออก ดันเอาความกลัวออก พอใช้พลังงานมาก มันจะเกิดเป็นร้อนเกินที่มากและก็หมดพลังที่มาก มันจะเป็นเย็นเกินที่มาก
นี่คือสิ่งที่อาจารย์รู้อย่างนี้ เพราะฉะนั้นมันจะเป็นร้อนเย็นพันกันได้มาก โดยเฉพาะสภาวะจิตที่กลัว กังวล หวั่นไหวแรง ๆ มันจะเป็นร้อนเย็นพันกัน เป็นส่วนใหญ่ พอเสียพลังใช้พลังไปดันความกลัวออกนี่จะเป็นร้อน แล้วหมดพลังนี่จะเป็นเย็น มันจะเป็นทั้งร้อนทั้งเย็นพันกันได้เยอะ แค่จิตอย่างเดียวก็เป็นอย่างนี้แล้ว
จากนั้นมันจะรวนไปตามวิบาก มีพื้นฐานของร้อนเย็นพันกัน มันจะรวนไปตามวิบากว่าจะเด่นไปทางไหนอีก บางทีก็มีวิบากเด่นให้ไปทางร้อน เด่นให้ไปทางเย็นอีก มันจะรวน เพราะฉะนั้นอย่าไปยึดมั่นถือมั่น ให้เราตรวจ ณ ปัจจุบัน ว่าใช้อะไรสบายให้ใช้ตัวนั้น ใช้อะไรไม่สบาย ไม่ใช้ และใจนี่อย่าไปกลัว กังวล หวั่นไหว ต้องกำจัดความ กลัว กังวล หวั่นไหว ออกไป เมื่อใดที่เรากำจัดความกลัว กังวล หวั่นไหวออกไปได้นั่นแหละ จิตมันจะนิ่ง พอจิตนิ่งแล้วพลังมันจะกลับคืนมา ไม่เสียพลังไปสร้างทุกข์ใจ ไม่เสียพลังไปกำจัดทุกข์ใจออก ซึ่งเป็นพลังมหาศาลมากเลยนะ พลังนั้นจะกลับมาเป็นของเรา พอกลับมาเป็นของเรานะ มันจะทำให้เซลล์เราแข็งแรง และจะทำให้ระบบประสาทดี
เซลล์แข็งแรงจะเลี้ยงระบบประสาทได้ดี พอเลี้ยงระบบประสาทได้ดี มันจะรู้ชัดว่าอะไรถูกกันไม่ถูกกัน ไม่เช่นนั้นมันจะไม่รู้ว่าอะไรถูกกันไม่ถูกกัน พอมันเสียพลังไปกลัวมันรวนหมดเลยนะ คนเราเวลาเสียพลังไปกลัว สติปัญญาไม่ดีเลยนะมันรวนเลยนะ มันจะอ่านอาการไม่ค่อยดี เสียพลังอ่านอาการไม่ค่อยออก แต่ถ้าจิตวิญญาณเราไร้ทุกข์ ใจไร้ทุกข์ ใจดีงาม มันจะมีพลัง พอมีพลังมันจะสามารถจับอาการในจิตวิญญาณได้ดี จับอาการในชีวิตได้ดี รับรู้อาการได้ดี คือ ระบบประสาทดี จะรู้ว่าใช้อะไรสบายหรือไม่สบาย เป็นเย็นเกินร้อนเกิน หรือว่าร้อนเย็นพันกัน ก็จะรู้ได้ชัด อันนี้จะเป็นตัวที่สำคัญ ก็ต้องตรวจสอบกัน ณ ปัจจุบันเลย ว่ามันมีภาวะอะไร อย่างนี้เป็นต้น จากนั้นเราก็ค่อยเลือกวิธีที่มันถูกกัน เลือกวิธีที่เกี่ยวข้องกับปอด
- กินสมุนไพรที่ถูกกันที่รู้สึกสบายเป็นวิธีที่เร็ว
- กดจุด ก็เร็วถ้าเรากดเส้นลมปราณได้ กดเส้นลมปราณเลย กดเส้นลมปราณแขนระบายพิษออกได้เร็วกดเส้นลมปราณแขน 6 เส้นจะระบายพิษออกได้เร็ว ถ้ากดได้กดเลย
- ถ้าเรากัวซาได้ แล้วถูกกัน กัวซา ขูดคอบ่าบริเวณหน้าอกบริเวณหลัง ขูดซาได้ก็ขูดเลยแล้วก็แขน หลังบ่าหน้าอกแขนขูดซาได้ก็ขูดเลย ถ้าขูดซาได้มันก็จะเบา ทีนี้เกี่ยวกับลมหายใจ ถ้าเราหายใจแบบไหนที่สบายให้เราหายใจแบบนั้น หายใจเข้าออกยาว ๆ ได้ก็ทำ ถ้าหายใจเข้าออกยาวๆ แล้ว สบายใจก็ทำ ถ้าหายใจออกยาว ๆ แล้วมันรู้สึกไม่สบาย ก็หายใจเท่าที่เป็นไปได้เท่าที่สบาย ฝึกลมหายใจแบบร้อนแบบเย็นถ้าฝึกได้ ก็ฝึกไป แบบไหนที่ทำแล้วสบายก็ทำ ที่นี้ที่เกี่ยวข้องกับ ลมหายใจของเรา ถ้าเราสามารถเอาสมุนไพรเข้าไปในทางลมหายใจนี้ได้ก็จะดี มากถ้าจะเอาสมุนไพรเข้าไปทางลมหายใจได้ทำอย่างไร เดิมสมุนไพรถึงจะเข้าไม่ใช่บีบน้ำเข้าไปทางจมูกนะ
เราก็ต้องหาวิธีเข้าไปแบบปลอดภัย การเอาสมุนไพรเข้าไปแบบปลอดภัย อบสมุนไพรง่าย เราเลือกได้ 2 แบบ
1. เราต้มน้ำสมุนไพร ฤทธิ์ร้อนเย็น หรือ ร้อนเย็นผสมกัน ที่ถูกกันกับเรา อะไรที่เรารู้สึกสัมผัสแล้วสบาย ต้มน้ำสมุนไพรให้มันเดือด ก็เอาออกมาจากไฟ เปิดฝาขึ้นเอาผ้าคลุมหัวดมออก ดมสมุนไพรนั้น จะเข้าไปที่ปอด ค่อย ๆ ดม เข้าไป สมุนไพรจะเข้าไปที่ปอดของเราเรื่อย ๆ เข้าไปตามลมหายใจ อันนี้เขาจะเข้าไปปรับสมดุลข้างใน จะเข้าไปรักษาโรคข้างได้
2. หรือพี่น้องจะใช้วิธีอบก็ได้ ต้มน้ำสมุนไพรแล้วเราก็เข้าไปอบเลย ใช้หม้อหุงข้าวไฟฟ้าและกระทะไฟฟ้าก็ได้ หรือว่าเราจะต้มน้ำสมุนไพรก็ได้ และก็ยกออกมาจากเตาก็ได้ และก็เข้าไปอบนั่นแหละ เรามีเก้าอี้ก็ตั้งเก้าอี้ไว้ เอาหม้อหุงข้าวไฟฟ้าและกระทะไฟฟ้าเสียบไฟฟ้า เติมน้ำใส่สมุนไพรที่ถูกกันเข้าไป เสียบให้มันร้อนขึ้นมาปิดฝาไว้ก่อน เสร็จแล้วพอมันเดือด มันร้อนขึ้นมาปุ๊บ ก็เปิดฝาแล้วเราก็เข้าไปที่อบ เราก็ทำสบาย ๆ ถ้าทำอะไรไม่ทัน ก็เอาผ้าคลุมหัวเลย แล้วเข้าไปนั่งอบ เอาเก้าอี้วางคร่อมไว้อย่างนั้น เข้าไปนั่งแล้วก็เอาผ้าคลุมหัวได้เลย
การอบสมุนไพรเป็นการช่วยปรับสมดุลให้ปอด หลอดลม และระบบทางเดินหายใจแข็งแรง ทำให้มีประสิทธิภาพในการระบายพิษได้ดี
อุปกรณ์
- หม้อหุงข้าวเติมน้ำ
- สมุนไพรฤทธิ์เย็น เช่น ใบย่านาง ใบเตย หยวกกล้วย
- สมุนไพรฤทธิ์ร้อน เช่น ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด หอมแดง
- เก้าอี้ ผ้าคลุม ผ้าห่ม
วิธีทำ
- ก่อนอบสมุนไพร อาบนํ้าธรรมดาก่อนหรือเอานํ้าธรรมดาเข้าไปพรมตัว ในขณะอบด้วย ดื่มน้ำเปล่า 1 แก้ว จะทำให้ความร้อนในการอบไม่ทำร้ายร่างกายมากเกินไป
- ตั้งหม้อหุงข้าวใส่น้ำให้เดือดประมาณ 10 นาที ใส่สมุนไพรฤทธิ์ร้อนและฤทธิ์เย็นลงไปต้มต่ออีกประมาณ 5 นาที ให้สมุนไพรมีกลิ่นหอม
- นำหม้อสมุนไพรมาวางไว้ใต้เก้าอี้ ผู้ที่จะอบสมุนไพรนำผ้าชุบน้ำพอหมาดโพกศีรษะ เพื่อช่วยดึงความร้อนออกจากศีรษะ
- นำผ้าห่มคลุมทั้งตัว สูดลมหายใจเข้าออกลึกๆระหว่างอบสมุนไพร ประมาณ 5-15 นาที แล้วออกมาพักให้ร่างกายเย็น อาจอบรอบเดียวหรืออบได้อีก 2-3 รอบ เท่าที่รู้สึกสบาย
ข้อควรระวัง
อย่าอบนานจนถึงขั้นรู้สึก เพลีย หรือเกิดอาการไม่สบายต่าง ๆ เพราะแสดงว่าพิษร้อนจากการอบเคลื่อนเข้าทำร้ายร่างกาย จะเป็นผลเสีย ต่อสุขภาพ และผู้ใดที่พอเข้าไปในห้องอบแล้วรู้สึกอึดอัด หายใจไม่สะดวก หรือมีอาการไม่สบายต่าง ๆ ให้งดใช้การอบครั้งนั้นเสีย แสดงว่าร่างกายขณะนั้นไม่เหมาะสมกับ การอบสมุนไพร
หรือใช้วิธีนี้ เหมือนเต็นท์อย่างนี้ก็ได้ มีร่มก็หงายกลับหัวเลย แขวนไว้ แล้วก็เอาผ้าล้อม ๆ ไป เอาตัวหนีบผ้าหนีบ ๆ แล้วเราก็เข้าไปนั่งข้างในอย่างนี้เป็นต้นนะ เราก็ได้แล้ว ส่วนใหญ่แต่ละบ้านจะมีร่มอยู่ มีสุ่มไก่ก็ได้ หรือมีอะไร ๆ มีไม้อะไรที่เราจะเอามัดกัน แล้วให้มันแฉก ๆ ทำได้ทั้งนั้น เอาผ้าคลุมเอาตัวหนีบผ้าหนีบ ๆ ไปแล้วเข้าไปข้างในนั้นได้ เลือกใช้สมุนไพรฤทธิ์ร้อนเย็นที่ถูกกันนั่นแหละ
บางท่านอาจจะมีน้ำมันเขียวถ้ามีภาวะร้อนเกิน ก็มีน้ำมันเขียวหยดลงไปด้วย หอมเชียว สบายเลย แต่ไม่มีก็ไม่เป็นไร ถ้าบางท่านมีภาวะเย็นเกินก็ไม่ต้องใส่ ก็เข้าไปอบนั่นแหละที่รู้สึกสบาย ส่วนใหญ่จะอบประมาณ 5 ถึง 15 นาที เท่าที่รู้สึกสบาย แล้วก็มาพักประมาณ 1 ถึง 3 นาที แล้วเข้าไปอบอีก 3 รอบ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นให้ดูความสบายของเรา เข้าไปอบเท่าไหร่ที่เรารู้สึกสบาย เราก็ออกมา แล้วไปอบอีกครั้ง สลับไปก็ไม่เกิน 3 ครั้ง ส่วนใหญ่ จะประมาณ 1 ถึง 3 ครั้ง ก็ดูเอาว่า เราทำเท่าไหร่ที่เรารู้สึกสบาย ถ้ามันรู้สึกสบายแล้ว หรือทำไปรู้สึกสบายเท่าเดิม หรือทำแล้วรู้สึกว่ามันแย่ลง เราก็หยุดทำ ถ้ามันสบายเราก็ทำไปเรื่อย ๆ ถ้ามันเริ่มมีผลเท่าเดิมหรือแย่ลง เราก็หยุด หลักการใหญ่ ๆ ก็อยู่ตรงนี้
อีกอย่างหนึ่งนอกจากการอบแล้ว การอาบด้วยสมุนไพรก็ได้ผลดี ต้มสมุนไพรอาบเลย เลือดลมจะไหลเวียนได้ดี ถ้ามันร้อนก็ใช้สมุนไพรสด ถ้ารู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ก็ต้มสมุนไพรฤทธิ์ร้อนเย็นที่ถูกกันกับเรานั่นแหละ หรือร้อนเย็นผสมกัน ต้มสมุนไพรแล้วเอามาผสมน้ำอุ่นก่อนนะ ไม่ใช่ต้มแล้วอาบเลย ต้มเดือดร้อน ๆ แล้วอาบน้ำเลยไม่ได้นะ เอาผสมน้ำอุ่นก่อนนะแล้วก็อาบ ไม่ใช่เอาที่ต้มแล้วมาอาบ พอน้ำอุ่นสบายแล้วก็อาบ จะทำให้เลือดลมไหลเวียนดี เส้นเลือดขยายกล้ามเนื้อคลายตัว อาการต่าง ๆ มันจะดีขึ้น
อีกอย่างหนึ่งคือการสวนล้างลำไส้ก็ช่วยได้เยอะ อาจารย์พูดถึงการประคบด้วยก็ได้ เอาลูกประคบจะสดหรือจะสุกก็ได้ สมุนไพรฤทธิ์เย็น หรือฤทธิ์ร้อนเย็นที่ถูกกันกับผสมกัน เอามานึ่ง บางจุดจะใช้สดก็ได้ถ้าเราร้อน วางไว้ที่หน้าอก หรือว่าเราจะใช้สมุนไพรไปนึ่งใส่หม้อนึ่งข้าว หม้อหุงข้าว หรือเราจะต้มน้ำให้เดือด แล้วเอาลูกประคบไปจุ่มก็ได้ แล้วเอาผ้าห่อ มาวาง ๆ
หรือใช้วิธีนึ่งใส่ลังถึงก็ได้ หรือใส่ฮวดอะไรก็ได้ที่นึ่งได้นะ พอลูกประคบร้อนแล้ว เราก็เอามาวางประคบที่บริเวณหน้าอกหรือที่ปอด เราเอามาประคบบริเวณบ่า หลังได้เลย เพื่อให้กล้ามเนื้อคลาย เส้นเลือดขยายตัว แบบไหนที่ทำแล้วรู้สึกสบายมันก็จะดีขึ้นเร็ว
อีกอย่างหนึ่ง ที่ใช้ได้ดีกับการพอกด้วยสมุนไพร เอาสมุนไพรฤทธิ์ร้อน ฤทธิ์เย็นมาพอก ๆ ใส่ถ่านกับดินสอพองก็ได้ ใส่ถ่านบ้าง ดินสอพองบ้าง หรือเอาสมุนไพรฤทธิ์ร้อนเย็นที่ถูกกันแล้วผสมกันไป เอามาพอกตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ส่วนไหนที่เรารู้สึกไม่สบายเราก็พอกไปเลยอย่างนี้เป็นต้น
พอกในส่วนที่ไม่สบาย ไม่สบายตรงไหนก็พอกตรงนั้น หรือแม้แต่บางท่านอาจจะแพ้มีอาการแทรกซ้อน จากฉีดวัคซีนก็พอกสมุนไพร ช่วยได้ดีนะเอาสมุนไพรมาพอกมาทาได้ไม่สบายตรงไหน เพราะเวลาแพ้หรือเวลามีอาการแทรกซ้อนจากฉีดวัคซีนมันก็จะดันพิษไปตรงนั้นตรงนี้ ดันไปตรงไหน ก็พอกตรงนั้นแหละ มันไม่สบายตรงไหนก็พอกตรงนั้น มันก็จะทำให้สบายขึ้น มันดันขึ้นหัวก็พอกหัว มันดันออกหน้าก็พอกหน้า ดันไปบ่าไปแขนไปท้องไปไหนไปตรงหน้าอกเราก็พอกไปตรงนั้น หรือจะประคบด้วยสมุนไพรตรงนั้นก็ได้
อีกอย่างหนึ่งก็ล้างจมูกเลย ใช้น้ำเปล่าประมาณหนึ่งลิตร ใส่เกลือประมาณหนึ่งช้อนชา ที่เหลือก็ลดสัดส่วนลงมาเอง คือชิมแล้วให้รสมันปะแล่ม ๆ อันนี้เป็นความเข้มข้นที่เข้ากับร่างกายพอดี เอามาล้างจมูกได้เลย
ล้างจมูกได้โดยเอาใส่ฝ่ามือของเราหรือใส่แก้วแล้วก็สูด สูดเข้าไปที่จมูกแล้วก็สั่งออก ยังไม่ต้องไปกลัวนะ ไม่ต้องไปกลัวว่า บางทีมันจะปิ๊ด ๆ มันจะแรงขึ้นหัวหน่อย ไม่ต้องกังวล บางทีระบบประสาทเรายังไม่คุ้นชิน มันจะวิ่งขึ้นไปที่หัวของเรา ก็ไม่ต้องกลัว สูดเข้าไปแล้วสั่งออก สูดเข้าไปแล้วสั่งออก มันจะกระตุ้นให้ร่างกายของเรานั้นหลั่งสารของเหลวออกมา และของเหลวนั้นจะซับเอาพิษต่าง ๆ ออก จะโล่งจมูก ทำเท่าที่รู้สึกสบาย บางท่านจะใช้สมุนไพรฤทธิ์ร้อนเย็นที่ถูกกันก็ได้ บางท่านจะใช้น้ำปัสสาวะก็ได้ ล้างจมูกใช้อะไรก็ได้ที่รู้สึกสบาย ก็ใช้ได้เลย
สิ่งหนึ่งที่ใช้ได้ดีใช้ได้ดีจริง ๆ การมีปัญหาระบบปอด เส้นลมปราณที่เกี่ยวข้องกับระบบปอด ก็คือลำไส้ใหญ่ การแพทย์แผนจีนระบุเลยว่า ปอดกับลำไส้ใหญ่เป็นพลังงานที่เชื่อมต่อกัน เพราะฉะนั้นในการมีปัญหาที่ปอด การสวนล้างลำไส้จะช่วยให้ปอดในโล่งได้ดีมากเลย
จะสังเกตก็ได้บางครั้ง ถ้าเรากินอาหารที่ไม่ถูกกันแล้วมันท้องอืด แน่นหน้าอกเหมือนกับเป็นโรคหัวใจเลยนะ ที่จริงลมมันตีขึ้นมา พอไปสวนล้างลำไส้ออกนะ ปรากฏว่าหายเลย ที่แน่นหน้าอกหาย มันเป็นพลังงาน คือ พลังงานที่ลำไส้ใหญ่จะสัมพันธ์กับปอดโดยตรง
เพราะฉะนั้นการสวนล้างลำไส้ใหญ่ด้วยสมุนไพรที่ถูกกันจะช่วยได้มาก น้ำเปล่าก็ได้ น้ำสมุนไพรฤทธิ์ร้อนเย็นที่ถูกกันก็ได้ หรือน้ำปัสสาวะก็ได้ กรณีที่ใครมีปัญหาที่ปอด การสวนล้างลำไส้ใหญ่จะทำให้เกิดปาฏิหาริย์ ช่วยได้มากเลย แม้แต่คนเราเครียดนะลำไส้ใหญ่ก็จะทำงานหนัก เครียดจะท้องอืดได้ง่าย
เพราะว่าเวลาคนเราเครียด ชีวิตจะต้องใช้พลังงานเยอะ พอใช้พลังงานเยอะมันจะเกิดกรด เกิดความร้อนขึ้น มันจะเกิดคาร์บอนไดออกไซด์ แก๊สต่าง ๆ โดยเฉพาะคาร์บอนไดออกไซด์ที่ตกค้างในร่างกาย เมื่อคาร์บอนไดออกไซด์ระบายออกทางปอดไม่ทัน เขาจะดันออกไปที่ลำไส้เพื่อจะระบายออกข้างล่างด้วย ทั้งดันออกข้างล่างดันขึ้นข้างบนเลย เป็นธรรมชาติ เพราะฉะนั้นมันจะหายใจไม่ค่อยออก เคยได้ยิน “โรคไฮเปอร์เวนติเลชั่น” (Hyperventilation) ไหม มันจะเกร็งไปทั้งตัวแล้วหายใจไม่ค่อยออก หืดหาด ๆ คือคนที่เครียดมาก ๆ เรียกร้องความสนใจมาก ๆ เครียดมาก ๆ จะหายใจไม่ค่อยออก จิตมันสั่งด้วย แล้วก็มันเกิดกรด เกิดความร้อนมาก เกิดคาร์บอนไดออกไซด์มาก มันระบายออกปอดไม่ทัน ลงลำไส้ตีขึ้นปอดเลย มันจะเป็นอย่างนี้
ยิ่งคนในโลกเป็นโควิด 19 เดี๋ยวนี้ยิ่งกลัวหนัก อกสั่นขวัญแขวน เห็นคนเสียชีวิตเยอะ กลัว กังวล หวั่นไหว แก๊สมันจะลงไปที่ท้อง มันจะเกิดแก๊สที่ท้อง แท้ที่จริงมันเกิดแก๊ส เกิดการใช้พลังงานมาก จะมีของเสียคือคาร์บอนไดออกไซด์ มันจะค้างเต็มตัว นอกจากดันออกปอดแล้ว มันจะดันไปที่ท้อง ไประบายที่ท้อง เพราะดันออกทางลำไส้ใหญ่ลงทวารหนักไม่ทัน มันจะตีขึ้นข้างบน มันจะแน่นขึ้น การสวนล้างลำไส้ใหญ่จะช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น
นี่คือสิ่งที่วงการสุขภาพส่วนใหญ่ไม่รู้ การแพทย์จีนมี เขารู้ว่าลำไส้ใหญ่กับปอดสัมพันธ์กัน เพราะฉะนั้นเวลาเขากดจุดลมปราณ หรือว่าฝังเข็ม เขาจะกดที่ จุดเหอกู่ นี่แหละส่วนใหญ่ เพราะว่าเขายังไม่เรียนรู้การสวนล้างลำไส้ เขาจะวัดเข้ามา 1 ข้อนิ้วโป้ง วัดเข้ามาที่กึ่งกลางระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ วัดเข้ามา 1 ข้อนิ้วโป้ง แล้วก็กดประมาณ 1-3 วินาที รับผ่อนเท่าที่รู้สึกสบาย ผ่อนเท่าที่รู้สึกสบายและผ่อน กดประมาณ 1-3 วินาทีผ่อน 1 วินาที แล้วก็กดลงไปอีก อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ มันจะช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว พลังงานที่ปอดเขาจะส่งพลังงานมาที่ตรงนี้แหละแล้วระบายออกที่นิ้วชี้
เขาก็จะฝังเข็มหรือว่ากดจุดลมปราณที่ จุดเหอกู่เป็นหลักนะ กดเส้นลมปราณ กดเส้นลำไส้ใหญ่เป็นหลักเลย เป็นลำไส้ใหญ่นี่มันกลางบ่าลง บ่าลงมาคิดอะไรไม่ออก ไปกดจากบ่าลงมาที่กลางแขนด้านนอกตรงไปเรื่อย ๆ กลางแขนด้านนอกไปจนถึงนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ เป็นเส้นลมปราณลำไส้ใหญ่ กดลงไป ตรงไปเรื่อย ๆ นั่นแหละ มีปัญหาหายใจไม่ค่อยออกมากดเส้นนั้น มันจะช่วยให้พลังงานเคลื่อนไปได้ดี คิดอะไรไม่ออก กดลำไส้ใหญ่นั่นแหละ เขี่ยที่ข้อมือเสร็จ แล้วกดไประหว่างกึ่งกลางของนิ้วโป้งกับนิ้วชี้นิ้ว กลางนิ้วโป้งกับนิ้วชี้วัดเข้ามา 1 ข้อนิ้วโป้ง กดเส้นนั้นช่วย กดเท่าที่รู้สึกสบาย กดแล้วก็ผ่อน กดแล้วก็ผ่อน แล้วก็รีดไปนิ้วชี้และนิ้วโป้งอื่น ๆ จะโล่งสบาย
ไม่ต้องกังวล เรามีวิธีแก้แล้วก็ไม่กังวลหรอก ถ้าเรารู้จักเส้นอื่น ๆ อีก 5 เส้นไปกดมันทุกเส้นนั่นแหละถ้ารู้จักเส้นอื่น ๆ อีก ถ้าไม่รู้เอาเส้นเดียว ตั้งแต่คิดอะไรไม่ออก กลางบ่าลงบ่าลงมา กลางแขนด้านนอกตรงกลางระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ แล้วรีดออกไป แต่ละนิ้ว แต่ละนิ้ว หายใจ ทำแบบนี้ได้ มันจะเบาลง มันจะดีนะ กดเส้นลมปราณช่วยได้ หรือสวนล้างลำไส้จะยิ่งเบาเร็ว เรียนรู้วิชาสวนล้างลำไส้ จะเบาได้เร็ว
อีกอย่างหนึ่งที่หลายท่านใช้แล้วประสบความสำเร็จดีมาก เขาเรียกว่า 4 x 100 / 5 x 100 เอามาดื่ม เอามากินนะ มีสมุนไพรนะสมุนไพรที่ใช้ได้ผลดีเวลาวิกฤตในชีวิต เวลาวิกฤติจะใช้ได้ผลดีมากเลยนะ เขาเรียกว่าสี่คูณร้อยห้าคูณร้อย คือ
1. มีผงถ่านประมาณ 1 ช้อนชา
2. สมุนไพรฤทธิ์ร้อนเย็นที่ถูกกัน ประมาณครึ่งแก้ว
3. น้ำสกัดสมุนไพรฤทธิ์เย็น
4. น้ำมันเขียว 1- 3 หยด
5.น้ำปัสสาวะ(ตามอัธยาศัย) ครึ่งแก้ว ถ้าใครรู้คุณค่าของปัสสาวะ เป็นลูกหลานพระพุทธเจ้าเข้าใจชัด ปัสสาวะเป็นยาที่หาได้ง่ายและไม่มีโทษ ในพระไตรปิฎกหมวด จัตตาริสูตร จะใส่ปัสสาวะก็ได้ ประมาณครึ่งแก้ว จะช่วยได้เยอะเวลาฉุกเฉินมาทำแบบนี้ สถานการณ์ฉุกเฉินเอาเลย ซึ่งถ่านเป็นคาร์บอนที่เป็นพลังงานที่เป็นคลื่นของชีวิตเป็นส่วนประกอบหลักของชีวิต เป็นคลื่นแม่เหล็กที่เป็นส่วนประกอบหลักของชีวิตก็จะเข้าไปซ่อมแซมร่างกายได้ดีแล้วก็ซับพิษได้ดี
ถ่านเป็นตัวซับพิษชั้นยอดและกรณีฉุกเฉิน ใช้พวกนี้ดื่ม รู้สึกสบายเลย หลายท่านใช้มาเยอะแล้วดีขึ้นเร็ว ดีขึ้นเร็วเพราะเวลาฉุกเฉินคนเราจะมีความเครียดเป็นส่วนใหญ่ด้วย มีถ่านเข้าไปจะช่วยซับแก๊สได้ดี ซับแก๊สพิษได้ดี ขนาดตู้เย็น เหม็น ๆ ใส่ถ่านไปแค่แป๊บเดียวเท่านั้น เขาซับพิษที่อยู่ในลำไส้เราได้ดี ให้เขาไปซับพิษออก เป็นพลังงานที่ชีวิตต้องการ เป็นส่วนประกอบหลักของชีวิตก็มีคาร์บอน ไนโตรเจน ออกซิเจน จะเป็นส่วนประกอบหลักของชีวิต
เวลากินยาพิษเข้าไป หมอจะใช้ถ่าน ให้กินผงถ่าน หรือถ่านแคปซูล ถ่านเม็ด เพื่อถอนพิษได้ดี อันนี้กรณีฉุกเฉินใช้ 4 x 100 นี่คือตัวหลัก ๆ
อาจารย์อธิบาย เทคนิคต่าง ๆ เช่น แช่มือแช่เท้าในน้ำสมุนไพรจะช่วยได้ วิธีเสริม 5 ข้อนั่นแหละ ที่อาจารย์เอามาเป็นวิธีเสริมของแพทย์วิถีธรรมข้อที่ 1-5 เทคนิค ใช้ได้หมดทุกอัน คือ
1. รับประทานสมุนไพรปรับสมดุล
2. การสวนล้างลำไส้ใหญ่
3. ควรระบายพิษทางผิวหนัง กัวซา ขูดพิษ มือเท้าหรือส่วนที่ไม่สบาย
4. แช่มือเท้า ส่วนที่ไม่สบายด้วยสมุนไพร
5. พอกทา หยอด ประคบ อบ อาบ เช็ดด้วยสมุนไพร
วิธีเสริม 5 ข้อนี้ใช้อะไรที่ถูกกันใช้เลย ใช้อะไรไม่ถูกกันเราก็ไม่ใช้นะ พี่น้องทดลองใช้ได้เลย อันนี้จะมีฤทธิ์ 10 เปอร์เซ็นต์บวกลบ แต่ ถ้าเราปฏิบัติเม็ดเลิศ เม็ดหลักด้วยนี่เขาจะมีฤทธิ์เป็นทวีคูณขึ้นไปเลยนะ เพราะว่าตัวเลิศ ตัวหลักนั่นแหละ จะไปทำให้ตัวที่ตัวเสริมมีประสิทธิภาพสูงและเสริมกันอย่างดีสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ
ตัวหลัก จริงๆ ที่มันเป็นตัวเลิศ ตัวหลักที่ออกฤทธิ์ ออกฤทธิ์ผ่านตัวเสริม ทำให้ตัวเสริมได้เหมือนมีฤทธิ์แรงขึ้น ใช้ได้จริงเอาไปใช้ได้ดีขึ้นแล้วก็จะไปเสริมกัน เป็นทวีคูณขึ้นไป ที่จริงมันเป็นฤทธิ์ของตัวเลิศ คือใจไร้ทุกข์ ใจดีงาม ตัวหลัก คือ อาหาร กายบริหาร มันเป็นฤทธิ์ของตัวนี้ที่มากเอาตัวนี้ไปใช้ มันดี มันเข้าที่เข้าทาง มันคลายพิษออกได้ มันมีพลังระบายพิษออกได้ ก็ยิ่งมีพลังยิ่งขึ้นต่อไปก็ยิ่งดันพิษออก ยิ่งมีพลัง ก็ยิ่งมีพลังไงเลยเป็นทวีคูณขึ้นไปเลย
แท้ที่จริงเขาก็ร่วมกันนั่นแหละ โดยมีตัวเลิศมีฤทธิ์ 70 เปอร์เซ็นต์บวกลบ และ มีตัวหลักเราก็เลือกกายบริหารให้มันพอเหมาะ กดลมปราณโยคะ ท่ากายบริหารให้มันพอเหมาะ เป็นเม็ดหลักและมีฤทธิ์ประมาณ 20 ถึง 30 เปอร์เซ็นต์
เม็ดหลัก อีกเม็ด คือ อาหารปรับสมดุล ลด ละ เลิกเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ลดอาหารรสจัดพยายามใช้เกลือเป็นหลักในการปรุงอาหาร จะใช้อย่างอื่นไปใช้อย่างอื่นเสริมเล็กน้อย ใช้เกลือเท่าที่พอดีสบาย เลือกอาหารชนิดร้อน ชนิดเย็นให้ถูกกันกับเรา เราดูว่าอะไรมีฤทธิ์ร้อนหรือเย็นก็เลือกใช้ให้ถูกกับเรา นี่ประเด็นของอาหารเอาประมาณนี้นะ รายละเอียดพี่น้องไปดูรายละเอียดที่ลึกซึ้งขึ้นไปอีก ทานอาหารอะไรที่รู้สึกสบายก็ทานอันนั้น
เทคนิค 9 ข้อ เม็ดหลัก
6. ออกกำลังกาย กดจุดลมปราณ โยคะ กายบริหาร
7. อาหารปรับสมดุลประสิทธิภาพ 20 ถึง 30 เปอร์เซ็นต์บวกลบ
เทคนิค 9 ข้อ เม็ดเลิศ
8. ใช้ธรรมะ ละบาป มาเป็นกุศล ทำใจให้ผ่องใส การคบมิตรดี สหายดี สร้างสังคมสิ่งแวดล้อมที่ดี
9. รู้เพียรรู้พักให้พอดี ถือเป็นเม็ดเลิศมีฤทธิ์ 70 เปอร์เซ็นต์บวกเกินร้อย โดยเริ่มต้นจากปฏิบัติศีลเท่าที่เราทำได้ ตั้งศีลมาปฏิบัติเท่าที่ทำได้ อย่างน้อยศีล 5 ไม่เบียดเบียนตัวเองคนอื่น สัตว์อื่น แล้วก็ทำประโยชน์ให้กับตัวเอง คนอื่น สัตว์อื่นเท่าที่ทำได้ นี่ก็คือ ศีลโดยย่อ อย่างน้อยปฏิบัติศีล 5 ก้าวเข้าไปถึงเทคนิคทำใจให้หายโรคเร็ว ถ้าเรียนรู้การปฏิบัติศีลจะถึงขั้นลดกิเลสได้ยิ่งดี นึกอะไรไม่ออกก็เอา กาย วาจา ไว้ก่อน กำจัดกิเลสความอยากแง่นั้นเชิงนี้ได้
โดยเฉพาะใจที่ไร้ทุกข์ ไร้กังวล ก้าวให้ไปถึงเทคนิคทำใจให้หายโรคเร็ว อย่าโกรธ อย่ากลัวเป็น อย่ากลัวตาย อย่ากลัวโรค อย่าเร่งผล อย่ากังวล อันนี้แหละจะช่วยได้มากเลย ทำสิ่งที่ดีที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองต่อผู้อื่นเท่าที่เราจะทำได้ ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น แล้วทำใจไร้ทุกข์ ใจดีงามทำอย่างรู้เพียร รู้พัก รายละเอียดต่าง ๆ พี่น้องไปศึกษาเพิ่มเติมได้ว่าจะทำยังไงบ้าง
นี่แหละถ้าเราเลือกเม็ดเลิศ เม็ดหลัก และเลือกเม็ดเสริมที่ถูกกัน จะมีประสิทธิภาพอย่างสูงเลยในการแก้ปัญหาโควิดลงปอด หรือโรคอื่นก็ตาม จะมีประสิทธิภาพสูง เมื่อเราปฏิบัติอย่างนี้ ถ้าเราสบายดี ก้าวหน้าดีแล้ว จบอยู่ที่ตรงนี้
ถ้ายังไม่เจอมันยังไม่ทุเลายังช่วยเราได้ไม่มาก วิธีการอื่นใดที่เราใช้แล้วดี ๆ จากนี้ วิธีอื่น ๆ ที่ใช้แล้วมันดีมันถูกกันก็ใช้ได้หมดเลยทุกวิธี อะไรที่ถูกกันแล้วเลือกใช้ได้เลยอย่างนี้เป็นต้น เราสบายก็ใช้ได้ทุกวิธีนั่นแหละ
เพราะฉะนั้นเราสามารถที่จะปฏิบัติ ยา 9 เม็ดหรือเทคนิค 9 ข้อนี้ ผสมผสานกับการแพทย์ทุกอย่างที่เราใช้แล้วรู้สึกสบาย การแพทย์ทุกอย่างจะเป็นแพทย์แผนปัจจุบัน แผนไทย แผนทางเลือก แผนไหน ๆ ที่ใช้แล้วรู้สึกสบาย กรณีที่เป็นโรคโควิดลงปอดติดเชื้อลงปอด และทำตามที่ว่าวันนี้หรือแม้แต่โรคอื่น ๆ ก็ใช้หลักการนี้ได้เลย โดยใช้หลักการของพระพุทธเจ้า จูฬกัมมวิภังคสูตร แล้วก็ อนายสสูตรก็จะมีหลักการที่ทำให้แข็งแรงอายุยืน อยู่ในข้อปฏิบัติที่จะทำให้มีโรคน้อยอายุยืนจะมี 7 ข้อ
เราดูรายละเอียดข้อเพิ่มเพื่อให้พี่น้องได้เข้าใจชัดที่นี้ทั้งหมดที่อาจารย์ว่ามานั้นเวลาเราใช้ให้ใช้ตามหลักการที่พระเจ้าตรัสในอานายสสูตร สูตรจูฬกัมมวิภังคสูตร หลักปฏิบัติหน้าที่ทำให้มีโรคน้อยและอายุยืนจากอานายสุสูตร และ จูฬกัมมวิภังคสูตร เป็นผู้ทำความสบายให้แก่ตน ประมาณในสิ่งที่สบาย บริโภคสิ่งที่ย่อยง่าย เที่ยวไปในกาลอันสมควร ประพฤติเพียงดั่งพรหม มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นผู้มีศีล คบมิตรที่ดีงาม
ผู้ทำความสบายให้แก่ตนก็คือ ทำยังไงก็ได้ ให้เราสบายใจ สบายกาย ใจให้มันสบายไว้ก่อน อย่าให้มีความกลัว กังวล หวั่นไหวใด ๆ มีสิ่งเลวร้ายใด ๆ เข้ามาในชีวิต ถือว่าเป็นวิบากของเรา ถ้าเลี่ยงไม่ออกก็เต็มใจรับ เต็มใจให้หมดไป เลยยินดีเต็มใจ รับยินดีเต็มใจให้หมด ไม่ต้องไปยึดมั่นถือมั่นว่าเขาจะหมดไปเมื่อไหร่ หมดเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น รับเท่าไหร่หมดเท่านั้นอย่างนี้
เราไม่ชอบ ไม่ชัง ไม่สุข ไม่ทุกข์แล้ว ก็ยินดีรับ ยินดีให้หมดไป ใจมันสบายแล้วก็ทำสิ่งที่ดีงามที่เป็นประโยชน์ไป ใจทำยังไงก็ได้ให้รู้สึกสบาย อย่ากลัว อย่ากังวล อย่าหวั่นไหว กำจัดความกลัวกังวลไว้ออกไป
ให้กล้าที่จะเผชิญทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะอะไรสุดท้ายก็ดับไปทางนั้น ไม่ใช่ตัวเราของเราหรอก ต้องกล้าที่จะเผชิญทุกอย่างทำใจให้สบาย ไปเรียนรู้เทคนิคทำใจให้หายโรคได้เร็วให้ดี ส่วนด้านวัตถุต่าง ๆ วิธีการด้านรูปธรรม คือ วัตถุต่าง ๆ ก็ใช้อันที่รู้สึกสบาย ใช้อะไรสบายก็ใช้อันนั้น
เป็นผู้ทำความสบายให้แก่ตน ประมาณในสิ่งที่สบาย คือ อะไรที่เราใช้แล้วสบาย โดยเฉพาะด้านวัตถุด้านรูปธรรมหรือด้านไหน ๆ ก็ตามทำแล้วสบายก็ประมาณในสิ่งที่สบาย ก็คือถ้าเราทำอะไรที่รู้สึกสบายก็ใช้ไปเรื่อย ๆ ถ้ามันเริ่มเท่าเดิมหรือแย่ลงให้เราหยุดอันนี้ เริ่มเท่าเดิมหรือแย่ลงเมื่อไหร่ก็ให้หยุดนะ ก็ใช้หลักการนี้ เราเริ่มเท่าเดิมหรือแย่ลงก็ให้หยุด นั่นแปลว่า มันพอดีแล้ว ถ้าใช้มากไปกว่านั้นมันจะไม่ดี
ถ้าเริ่มไม่สบายอีกทีค่อยค่อยกลับมาใช้อีกที ถ้าใช้ไปแล้วเริ่มเท่าเดิมหรือแย่ลง หยุดใช้วิธีนั้น ถ้าเราเริ่มไม่สบายดีกลับมาใช้อีกทีในตัวที่รู้สึกสบาย บริโภคสิ่งที่ย่อยง่าย อธิบายไปแล้ว ก็พยายามทานสิ่งที่ย่อยง่าย ทานอาหารที่ลด ละ เลิกเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ จะย่อยง่าย อาหารที่รสไม่จัด แล้วก็สมดุลร้อน-เย็นกับชีวิต จะย่อยง่ายกินแล้วก็ทานเข้าไปแล้วจะเบาท้อง สบายเบากาย มีกำลังอิ่มนาน
เที่ยวไปในกาลอันสมควร คือกาลนั้นควรจะไปทำอะไรที่ไหน หรือเที่ยวไปในกาลอันสมควร ว่าเราควรจะไปทำอะไรที่ไหน ที่ทำแล้วมันมีพลัง มันรู้สึกสบายใจ สบายกาย กาลไหนจะต้องเพียร กาลไหนจะต้องพัก อันนี้เขาเรียกว่า รู้เพียร รู้พัก ในแต่ละเรื่อง ๆ
เที่ยวไปในการอันสมควรแล้วจะเพียร ไปทำสิ่งที่ดีที่เป็นประโยชน์เรื่องไหน ๆ ที่มันเหมาะควร ตอนนั้นเราก็ทำ หรือเราควรจะพักตอนนั้นเราก็พัก อันนี้รู้เพียร รู้พัก
ประพฤติเพียงดั่งพรหมนี่แหละเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ตนเองกับผู้อื่น ปรารถนาดีต่อตนเองและผู้อื่น ลงมือทำในสิ่งที่ดีต่อตนเอง และผู้อื่น มุทิตา ยินดีที่เกิดสภาพที่ดี ต่อตนเองและผู้อื่น หรือเราได้พยายามทำให้ดีที่สุด เราก็ยินดี แล้วก็อุเบกขา ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นทั้งหลายทั้งปวง
ปล่อยวางความทุกข์ ความยึดมั่นถือมั่นทั้งหลายทั้งปวง ไม่ต้องไปยึดมั่นถือมั่นในเรื่องใด ๆ มันก็สบายใจ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด มันดับไป มันไม่ใช่ตัวใครของใครหรอก ให้มันเกิด มันดับไปตามวิบากดีร้ายของแต่ละชีวิต ก็ไม่มีอะไรเป็นของใคร ไม่ต้องเป็นทุกข์อะไร เป็นมายาเป็นสมมติทั้งนั้นแหละทุกเรื่องในโลก ไม่ต้องเป็นกังวลหรอก ทำดีให้ดีที่สุดในโลกให้เราได้อาศัยก่อนที่ทุกอย่างจะดับไป
ดร.ใจเพชร กล้าจน (หมอเขียว)
รายการธรรมะพาพ้นทุกข์
วันที่ 12 กรกฎาคม 2564