1. บันทึกการสัมภาษณ์กรณีศึกษากลุ่มตัวอย่างจาก ผู้ใช้การแพทย์วิถีพุทธสำหรับผู้ที่มาเข้าอบรมค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีพุทธ 5-7 วัน
ณ ศูนย์เรียนรู้สุขภาพพึ่งตนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง สวนป่านาบุญ 1 อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร และเครือข่ายแพทย์วิถีพุทธทั่วโลก
ระหว่างปี พ.ศ. 2552 – 2558
(ประเภทข้อมูลที่ 7 การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ ผ่านสื่อออนไลน์ – ยูทูบประเภทข้อมูลที่ 9 แบบบันทึกสัมภาษณ์แลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ และ ประเภทข้อมูลที่ 12 แบบสอบถามประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ เทคนิค 9 ข้อ)
กรณีศึกษาที่ | 1.49 |
ชื่อ | คุณสุรศักดิ์และคุณสุชาดา ตั้งสถิตพร |
เพศ | ชายไทยและหญิงไทย |
จังหวัด | กรุงเทพมหานคร |
โรค | โรคแพ้ผื่นคันจากอาการร้อนเกิน |
วันสัมภาษณ์ | 24 สิงหาคม 2557 |
คุณสุรศักดิ์: ขอบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ แล้วก็นอบน้อมท่านอาจารย์หมอเขียว แล้วก็นอบน้อมบุคลากรจิตอาสาทุกท่าน แล้วก็เจริญธรรมท่านญาติธรรมที่มาหาความหลุดพ้นจากต้องการพ้นทุกข์จากความเจ็บป่วยนะครับ ขอเจริญธรรมครับผม แล้วก็ขอยินดีกับท่านอาจารย์เมื่อกี้นะครับยินดีกับท่านอาจารย์ที่มาที่หมอเขียวแล้วสุขภาพดีขึ้นนะครับ ขอยินดีด้วยความจริงใจครับผม ผมขอแนะนำตัวนะครับ ผมชื่อ สุรศักดิ์ ตั้งสถิตพร นะครับ มาที่อาจารย์หมอเขียวครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 นะครับ ตอนเดือนพฤษภาคม ผมก็มาค่ายสุขภาพ แล้วก็ปลายเดือนมิถุนายน ถึงต้นเดือนกรกฎาคม ก็มาค่ายพระไตรปิฎกอีกครั้งหนึ่งที่มานี่ เพราะว่าเห็นองค์ความรู้ที่ท่านอาจารย์หมอเขียวได้ถ่ายทอดไว้ให้
ตอนมาค่ายสุขภาพนี่มีความประทับใจและเป็นสัจธรรม เพราะการบรรยายของท่านหมอเขียวนี่ที่ผมมีความทึ่งนะครับ เพราะว่าท่านหมอเขียวนี่ จะยกข้อธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสดาเอกของโลกขึ้นมาเป็นลำดับ ๆ ซึ่งน่าจะเป็นสัจธรรมที่ผมจะต้องเชื่อถือได้แล้วก็ให้ความเคารพในธรรมะที่ท่านอาจารย์หมอเขียว ก็ติดใจตรงนี้นะครับก็เลยอย่างที่จิตอาสาบอกนะครับ ท่านก็บอกว่าผมติดใจ ก็ยอมรับว่าติดใจจริง ๆ ครับติดใจในสัจธรรม และความจริงนะครับ ที่ท่านอาจารย์พยายามถ่ายทอดช่วยเหลือพวกเรานะครับท่านอาจารย์ ศูนย์บาท ช่วยเหลือพวกเราผมก็มีเคสส่วนหนึ่ง
ผมปัจจุบันอายุ 56 นะครับมาที่นี่สุขภาพแข็งแรงผมทานมังสวิรัติมา 15 ปีแล้วนะครับ ซึ่งการทานมังสวิรัติของผม ก็คือหมายถึงว่าผมดูแลสุขภาพ อาชีพผมก็คือทำพวกรับเหมาไฟฟ้าอุตสาหกรรม แล้วก็เรียนพี่น้องว่าประสบผลสำเร็จในธุรกิจมาระดับหนึ่ง ทีนี้ก็บั้นปลายก็อยากจะใช้ชีวิตให้มีประโยชน์ต่อสังคม ผมก็วางธุรกิจ เพราะว่าลูก ๆ ก็จบกันแล้วมีงานทำกันแล้ว ก็เลยหันมา 1. ดูแลสุขภาพ 2. เข้าปฏิบัติธรรมแต่การเข้าปฏิบัติธรรม ไปปฏิบัติธรรมนี่ก็รู้สึกว่า ก็ปฏิบัติธรรมเพื่อความสุขเฉพาะตน ไม่ได้ปฏิบัติธรรมเพื่อความสุขกับผู้อื่น หลังจากปฏิบัติธรรมก็มีความสุข ออกจากที่นั่นมาสู่สังคมก็เกิดความทุกข์อีกแล้ว แล้วก็บังเอิญโชคดีอาจจะเป็น เพราะว่ามีบุญกุศลบ้างมีอยู่วันหนึ่งมาเข้าค่ายสุขภาพพอดีท่านอาจารย์หมอเขียวไปออกกำลังกายผมก็ไปออกกำลังกายแล้วก็ได้เจอท่านอาจารย์หมอเขียว ก็เลยได้ขอท่านอาจารย์หมอเขียวว่าขอเดินออกกำลังกายด้วยกัน ท่านอาจารย์หมอเขียวก็มีความเมตตากรุณาให้ผมได้เดินออกกำลังกายด้วยกันไม่เพียงเท่านั้นนะครับ ท่านอาจารย์หมอเขียวยังให้ผมได้ถามข้อธรรมะต่าง ๆ หลายข้อ ซึ่งมีอยู่ธรรมะข้อหนึ่งนะครับ ที่อาจารย์หมอเขียวนี่ปลุกจิตวิญญาณผมให้ตื่นขึ้นมานะครับ
ก็คือผมบอกอาจารย์หมอเขียวว่าผมเข้าปฏิบัติธรรมนี่ผมรู้สึกว่ามีความสุขเฉพาะตน หาลักษณะว่าเหมือนคือไม่สามารถที่จะมีความสุขตลอดไป ท่านอาจารย์หมอเขียวเลยแนะนำ เลยให้เมตตาแนะนำผมว่าการปฏิบัติธรรมเพื่อให้บรรลุธรรม นี่ไม่ใช่ไปนั่งสงบอยู่เพียงคนเดียวการปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติตาม มรรคมีองค์ 8 เท่านั้นเองครับ ผมตื่นเลยครับผมอ่านมรรคมีองค์ 8 ไว้ทำข้อสอบมาตั้งนาน แต่ไม่เข้าใจหลังจากนั้นผมก็ไปศึกษาเพิ่มเติมรายละเอียดมรรคมีองค์ 8 ถึงเข้าใจว่า อ๋อ สิ่งที่ท่านอาจารย์หมอเขียวไขปัญหาให้ผมน่ะผมเจอแล้วผมไม่มีข้อสงสัยเลยครับ
ตั้งแต่นั้นมาผมก็รู้สึกว่าชีวิตเราโล่งแล้วครับมีความหวังเราเดินถูกทางแล้ว ทางเอกทางเดียวที่จะบรรลุธรรม ซึ่งได้รับการชี้แนะจากท่านอาจารย์หมอเขียวนะครับก็เลยทำให้มาที่นี่ได้ มีความชอบมีความอยากที่จะมาที่นี่แล้วก็ลำดับต่อไป ถ้ามีโอกาสสามารถพัฒนาสติปัญญาแล้วก็ความรู้ที่ท่านอาจารย์หมอเขียวถ่ายทอดให้ ก็อยากจะเป็นจิตอาสา แล้วก็รับใช้ท่านอาจารย์หมอเขียว เพื่อแบ่งเบาภาระตามความสามารถและภูมิปัญญาที่มีอยู่นะครับอันนี้ก็ต้องอยู่ที่อนาคตพยายามศึกษานะครับส่วนยา 9 เม็ดที่ผมใช้ดูแลสุขภาพตัวเองนะครับ คือผมก็พยายามศึกษาแล้วก็ใช้ให้ถูกวิธี ผมก็ใช้มาทุกเม็ดนะครับ ส่วนใช้เฉพาะตนนี่ด้วยความ เพราะว่าตัวเองมีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ
ผมก็ใช้ยา 9เม็ด กับบุคคลสุภาพสตรีสุดสวยท่านหนึ่งนะครับ ก็ได้ช่วยสุภาพสตรีท่านหนึ่งนะครับคือเป็นผู้ใกล้ชิด เขาเป็น เขามีปัญหาทางด้านผิวหนังนะครับ มีปัญหาทางด้านผิวหนังรักษาก็มาประมาณ 3 ปีนะครับ หมดเงินไปก็ตั้งเป็นแสนแล้วครับ แต่ก็ไม่สามารถหายได้ ก็เป็น ๆ หาย ๆ นะครับ ซึ่งระหว่างตอนที่เป็นนี่ผมก็ไม่สามารถแนะนำอะไรเขาได้ เพราะว่าเขาก็รู้แต่เพียงว่า เราเป็นผู้ใกล้ชิดเท่านั้นเองเราไม่ได้จบหมอจบแพทย์จบอะไรพูดไปเขาก็ไม่เชื่อ เขาก็ไปหาหมอแล้วรักษาเอง อย่างเช่นว่า ลงทุนซื้อยาครอบจักรวาลจากเมืองจีนเม็ดหนึ่ง 8,000 บาท เอามาบดเป็นแคปซูลนะครับถ้าจำไม่ผิดก็คืออีก 8 เม็ดนะครับ ก็เท่ากับว่า 3 เม็ดคูณ 8 ก็ 24 เม็ดสองหมื่นกว่าบาท3 คูณ 8 ก็ 24 สองหมื่นกว่าบาทก็กิน ๆ หาย ๆ นะครับแล้วก็หลังจากนั้นก็ไปหาหมอแผนปัจจุบันมีชื่อเสียง หาโรงพยาบาลมีชื่อเสียงก็มีแต่วิเคราะห์ว่าผิวหนังที่ไหม้เกรียมนะครับ โทษนะครับ ที่รักแร้ก็ดี ที่ใต้ราวนมก็ดี พอดีสุขภาพสตรีท่านนี้เขามีร่างกายที่สมบูรณ์นะครับ แล้วก็มีอาการร้อนนะครับ อาจจะแพ้เหงื่อแพ้อะไรนะครับแผลเป็นเริ่มต้นก็คือเป็นนิดหน่อยนะครับ เป็นนิดหน่อยที่ตรงรักแร้หรือว่าราวนมนะครับเป็นคนขี้ร้อน เวลาเจออากาศร้อน ๆ นี่จะคันนะครับจะคัน ก็ทานยาของหมอบ้าง ของตัวเองที่ซื้อมาบ้าง ของคนอื่นแนะนำบ้างก็หาย 3 วันดี 4 วันเป็นนะครับ
พอหายปุ๊บเป็นขึ้นมาใหม่ มันจะเป็นหนักกว่าเก่าแผลจะขยายกว้างขึ้น แล้วก็ผิวก็จะดำขึ้นนะครับ ไม่มีเนื้อไม่มีนวลนะครับก็มีอาการเครียดเกิดขึ้นเวลานั่งรถไปไหนกับผมนี่ เขาก็จะนั่งบนรถ ผมเป็นคนขับโทษนะครับเขาก็จะเอามือแหย่เข้าไปแล้วก็รูด ๆ นะครับ เพราะว่ามันคันไงครับใช่ไหมครับตอนนั้นเราก็ไม่สามารถ ไม่กล้าที่จะแนะนำอะไร แต่หลังจากที่ผมมาเข้าค่ายสุขภาพกลับไปแล้ว ก็เริ่มมีภูมิปัญญาบ้างนะครับ แต่ก็ยังไม่กล้าแนะนำอะไรพอหลังจากนั้นอีกเดือนหนึ่ง มาเข้าค่ายพระไตรปิฎกกลับไป ก็เริ่มมองเห็นนะครับว่า เม็ดเป็นปื้นแดงผื่นคันนี่มาแสดงที่หน้าที่ใบหน้าแล้วนะครับ ซึ่งปกติธรรมดาสุภาพสตรีนี่ มีอะไรบางอย่างที่มันเป็นแผลเป็นอะไร ในที่มองไม่เห็นใช่ไหมครับ ก็ยังพอทำเนาเดินห้างเดินอะไรก็ไม่มีใครเห็นใช่ไหมครับ แต่ที่เราเป็นห่วงคือมันโผล่มาที่หน้าแล้ว
ผมก็เลยอาสาหลังจากที่จบค่ายพระไตรปิฎกไปฟังท่านอาจารย์หมอเขียวอธิบายพยายามศึกษา ก็เริ่มมีภูมิปัญญามากขึ้น ก็เลยบอกว่าอย่างนี้ไหม ให้ผมช่วยดูแลสุขภาพรักษาให้โอเคไหมเขาก็ตอบโอเคลักษณะที่ตอบโอเคเขาคงไม่มีทางเลือกแล้วนะครับ เพราะว่าเวลาไปหาหมอนี่ ไหนเป็นอะไรก็ต้องถกเสื้อให้ดู ด้วยความสุภาพสตรีก็อาจจะไม่ค่อยอยากที่จะเปิดให้ดูบ่อย ๆ ใช่ไหมครับพอเขาตอบโอเคก็ต้องมีเงื่อนไขกันว่าถ้าโอเคนี่ 1.คุณต้องปฏิบัติคือ ต้องทานอาหารที่รสจืดหวาน มัน เค็มจัด เหมือนค่ายสุขภาพที่ผมมาปฏิบัติ เขาก็บอกโอเคทำได้ต้องดื่มน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสดฤทธิ์เย็นเขาก็บอกทำได้ดีท็อกซ์ เขาก็บอกทำไม่ได้นะครับโอเคทำไม่ได้ไม่เป็นไร ผมก็เริ่มแล้วถ้าโอเคใช่ไหมครับโอเคก็ ผมอยู่กรุงเทพนะครับก็พาท่านไปที่หัวหิน
พอดีบังเอิญว่าเรามีบ้านพักตากอากาศที่หัวหิน ก็ยึด 3 อ. อากาศ อาหาร อารมณ์ นะครับ ก็พาไป ระหว่างที่ไปหัวหินนี่ผมก็เริ่มคิดไปยา 9 เม็ดท่านอาจารย์หมอเขียวว่าเราก็ต้องใช้จากเบาไปหาหนัก ผมก็เริ่มวางแผนอยู่ในสมองแล้วล่ะระหว่างขับรถเบื้องต้นก็คือน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสดเขายอมทาน ซึ่งผมดูว่าน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสดนี่ดี ก็เลยแวะจอดที่นครปฐมเข้าตลาดสด ซื้อน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสด ก็ซื้อฤทธิ์เย็นก็คือ ใบเตยผักบุ้ง ใบบัวบก ซึ่งเป็นสิ่งที่หาง่าย ที่ท่านอาจารย์หมอเขียวเคยสอนว่า โดยอ้างธรรมะโดยใช้ธรรมะของพระพุทธเจ้าบอกว่าหาง่าย ใกล้ตัว และในตัวนะครับประหยัด ก็เลยใช้วิธีที่อาจารย์หมอเขียวสอน เข้าตลาดสดซื้อพืช 3 ชนิด ตามที่เมื่อกี้นี้กล่าวไปนะครับไปถึงที่พักก็จัดการคั้น ซื้อเครื่องคั้นสมุนไพรฤทธิ์เย็นสดด้วยไม่เคยซื้อเพิ่งซื้อมา ซื้อเครื่องคั้นสมุนไพรฤทธิ์เย็นสด ก็ไปคั้นสมุนไพรฤทธิ์เย็นสดทานกันทั้งวันทานตลอด น้ำอัดลมต่าง ๆ ไม่ทานแล้วนะครับ ซึ่งเขาก็ทำได้ปฏิบัติได้ แล้วก็ส่วนอาหารการกินธรรมดาเขาจะชอบกินรสจัด หวาน มัน เค็ม ชอบมากนะครับหยุดเสียตามเงื่อนไขที่ตกลงก็คือหยุด ก็ไปทำพวกผักไร้สารพิษ ต้มเป็นสุกี้ยากี้อะไรก็ว่ากันไปแต่รสจืด ๆ เราก็ทานกัน 2 วันผ่านไปยังไม่ดีขึ้น ผมก็เริ่มทำเรคคอร์ดแล้วนะครับ 2 วันผ่านไปไม่ดีขึ้น ไม่ดีขึ้นผมก็มาวิเคราะห์ว่า ถ้าอย่างนี้นี่เราต้องจัดหนักเข้าไปอีกหน่อย ก็คือต้องดีท็อกซ์แล้วนะ เขาก็ลักษณะคือยังไม่ยอมรับ อาจจะไม่เคยชิน
ผมก็ต้องอธิบายว่าการดีท็อกซ์นี่มันเป็นการเอาสารพิษที่ออกจากร่างกายที่ดีที่สุดไวที่สุด เพราะมันเราดีท็อกซ์ลำไส้ใหญ่ก็ค่อย ๆ อธิบายใช้พรหม 4 หน้าอธิบายไปเรื่อย ๆ นะครับก็อธิบายเขาก็โอเคยอมรับวันที่ 3 เขาก็เริ่มดีท็อกซ์นะครับดีท็อกซ์ผิด ๆ ถูก ๆ ก็ไม่เป็นไร ขอให้ทำ แต่เขาก็ทำได้ พอดีท็อกซ์เช้าเย็นวันที่ 4 ดูทุกเช้าจะต้องมีการดูนะครับ ไหนเปิดดู ไหนเปิดดูนะครับก็เปิดดูแล้ว อืม ก็ดีขึ้น แต่ก็ยังดีไม่เป็นที่ประทับใจ ก็ยังว่ามันช้าไปผมก็เลย คือน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสดเราปั่นไว้แล้วเราก็แช่ในตู้เย็นนะครับ มีผักบุ้ง ใบเตย แล้วก็ใบบัวบก ทีนี้ 3 อย่างนี้เป็นฤทธิ์เย็นก็บังเอิญมีความรู้ว่า เรียนที่นี่มีความรู้ว่าใบย่านาง โทษทีไม่ใช่ เป็นรางจืด ก็เลยไปขอรางจืดที่สวนสมเด็จย่านะครับที่หัวหิน มาได้กำหนึ่งก็มาผสมเข้าไปกับน้ำ เอามาปั่นแล้วผสมกับน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสดเดิมที่เรามีอยู่นะครับเดิมที่มีอยู่ เพราะว่าเราศึกษาแล้วว่ารางจืดนี่ถอนพิษแต่เราก็ไม่เอาเยอะเกินไปก็เอามาผสม ผสมเสร็จแล้วก็เอามาทาอันนี้คือยาอีกเม็ดหนึ่งก็เอามาทา ปรากฏว่าวันที่ 4 ที่ 5 นี่เริ่มดีขึ้น ดีขึ้น 50 เปอร์เซ็นต์เลย ดีเห็นทันตาเลยครับ ผ้าที่เราเอามาชุบน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสดใส่ลงไปนี่ เช็ดลงไป มันจะร้อนมากนะครับ โอเคทีนี้ก็ยังไม่เป็นที่ประทับใจ ก็เริ่มเม็ดต่อไปอีก เอ๊ะ อย่างนี้มันต้องกินฉี่นะครับก็ต้องกินฉี่ เขาก็แอนตี้ไม่กล้ากินฉี่ ซึ่งเขาแอนตี้มาตลอดเรื่องฉี่ผมมาผมกลับไปนี่ค่ายสุขภาพผมกลับไปผมก็ทานฉี่เช็ดหน้าแล้วล่ะแต่ไม่กล้าบอก
แต่ตอนหลังนี่เขาก็ฟังเทปของอาจารย์หมอเขียวนะครับ ตอนนี้ผมจะกระชับนิดหนึ่ง ฟังเทปอาจารย์หมอเขียวว่า ฉี่มีประโยชน์แบบโน้นแบบนี้ก็เปิดใจ พอเปิดใจผมก็เริ่มอธิบายเรื่องฉี่มีประโยชน์อะไรบ้างผมเองก็ใช้ฉี่อยู่นะครับ ก็บอกเขา เขาก็เปิดใจก็รับนะครับ เขาก็แต่มันก็มีขั้นตอนในการอธิบายนะครับ เพื่อความกระชับเขาก็เริ่มใช้ฉี่ผสมน้ำทาน ทานเสร็จแล้ว แล้วก็เอามาทาแผลวันที่ 6 แผลที่เคยดำไหม้เกรียมแล้วก็ลอกแผลมันสีที่เคยคล้ำมันเป็นสีน้ำตาลนะครับ มันก็จางลง มันไม่ใช่หลุดนะครับมันจางลงเกือบ ๆ เท่ากับผิวปกติเราเปิดดูปรากฏว่ามันดีขึ้นคนรักษาก็ดีใจ คนถูกรักษาก็ดีใจทีนี้ก็ร่วมมือกันนะครับ ก็เริ่มปฏิบัติมา 7 วันเท่านั้นเอง รักษามา 3 ปี เสียเงินไปเป็นแสน ไม่หาย ใช้ของอาจารย์หมอเขียว ที่สอนให้เราทำ 7 วันนะครับ หาย 90 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 10 เปอร์เซ็นต์ ที่ยังไม่หาย ก็คือแค่เป็นผิวต้องค่อย ๆ รอเวลาให้มันเจือจางไปนะครับ
ผมก็เลยคิดว่าเคสนี้นี่ ผมก็เลยได้ทำเป็นเคสในการดูแลรักษาเพื่อที่จะเป็นเคสส่งอาจารย์ด้วย คงได้ใช่ไหมครับนะครับ ผมขอวิเคราะห์สั้น ๆ จบตรงนี้นะครับ กระชับนิดเดียวนะครับขออีก 1 นาทีนะครับ ทีนี้ผมก็มาเปรียบเทียบว่า แผลระหว่างที่ผมดูแลรักษาใช้สูตรวิถีการแพทย์วิถีพุทธ กับวิถีธรรมกับการวิเคราะห์ของแผนปัจจุบันนะครับ แผนปัจจุบันเขาวิเคราะห์ว่าเกิดจากร้อนในที่มีเหงื่อตามผิวหนังนะครับที่ทำให้เกิดเม็ดคัน ซึ่งเขาดูแต่ภายนอก แต่ผมใช้ความรู้ที่นี่ผมวิเคราะห์ว่า เกิดจากพฤติกรรมการทานอาหารฤทธิ์ร้อนสะสมไว้นานมากนะครับ ฤทธิ์ร้อนสะสมข้างในเกิดจากภายในนะครับ ผมวิเคราะห์แล้วผมก็ใช้วิธีการดูแลรักษาข้อที่ 2 บริเวณผิวไหม้เกรียม ของทางแผนปัจจุบันเขาวิเคราะห์ว่าเป็นเชื้อรากัดกินเกาะผิวหนัง นะครับผมวิเคราะห์ว่าผิวไหม้เกรียมเกิดจากสารพิษในร่างกายที่ระบายออกมาแต่มาเจอรอยพับระบายไม่ออกนาน ๆ มันก็ทำให้ผิวตรงนั้นไหม้นะครับแล้วก็เกิดเม็ดผื่นคัน นะครับข้อที่ 3 การวิเคราะห์ของแผนปัจจุบันหมอใช้ยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อ
แต่ทางวิถีธรรมเรานะครับ ให้ดื่มน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสดฤทธิ์เย็นดับ ปรับความสมดุลนะครับ แล้วก็ดื่มน้ำปัสสาวะตัวเองนะครับทานอาหารรสจืด งดอาหารรสเค็มนะครับข้อที่ 4 แผนปัจจุบันนะครับ แผนปัจจุบัน หมอให้ฉีดยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อ ทางแพทย์วิถีธรรมใช้สวนล้างลำไส้หรือดีท็อกซ์นะเพื่อถอนพิษ หรือกัวซาผมก็มีกัวซาให้ด้วยนะครับ ก็มีกัวซาด้วยข้อที่ 5 แผนปัจจุบัน ใช้ครีมทาผิวหนังเวลาไปหาหมอ หมอก็ให้ยาปฏิชีวนะแล้วก็มีหลอดหลอดหนึ่งนะครับใช้ครีมมาทา ๆ มันก็มัน แต่ทางแผนวิถีธรรมเราใช้น้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสดฤทธิ์เย็นเช็ดลำตัวนะครับ ผสมน้ำปัสสาวะเจือจาง เช็ดบริเวณที่ผิวไหม้ ผิวไหม้ก็เจือจางไปการวิเคราะห์ของแผนปัจจุบันรักษา 3 ปีนะครับ เป็น ๆ หาย ๆ ไม่หายขาดนะครับ ขึ้นมาใหม่ไหม้ คือขึ้นมาก็แย่กว่าเก่า แต่วิถีธรรมเรารักษาดูแลเพียง 7 วัน จากข้อ 1 ถึงข้อ 5 ที่เมื่อกี้พูดไปนะครับ 2 สัปดาห์หายเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์นะครับ ไม่ต้องทานยา แล้วก็แผนปัจจุบันหมดค่ารักษาไปเป็นหมื่น แต่ของเราหมดค่ารักษาของแผนวิถีธรรม หมดค่ารักษาไปคือแค่ซื้อพวกสมุนไพรฤทธิ์เย็นไม่ถึงพันบาท รวมทั้งค่าโน่นค่านี่นะครับ ครับผมนะครับ แล้วก็หมอโรงพยาบาลซึ่งแผนปัจจุบันนี้ผู้รักษานี่เป็นหมอรักษาไม่หาย แพทย์วิถีธรรมผมเป็นสามีผมรักษาเขาหายภายใน 7 วัน สุดยอดไหมครับแผนวิถีธรรม เห็นไหมครับไม่ต้องลงทุนอะไรมากมายเลย ฉะนั้นผมจึงสรุปว่าทุกคนที่มาที่นี่นะครับ 7 วันขอให้ตั้งใจศึกษานะครับ ขอให้ตั้งใจศึกษาแล้วก็ไม่เพียงแต่ ขอให้ตั้งใจศึกษาปฏิบัติอย่างเคร่งครัดไม่เพียงแต่ 7 วันที่เราต้องศึกษาปฏิบัติอย่างเคร่งครัดต้องนำกลับไปปฏิบัติที่บ้านต่อนะครับ พยายามนะครับ แค่ 7 วันไม่เพียงพอแค่ 7 วันแค่เป็นแนวทางบอกเรา การปฏิบัติอยู่ที่ตัวเรานะครับ แล้วก็ถ้าปฏิบัติดีแล้วนะครับ ก็บอกต่อ รักษาคนใกล้ชิดแล้วบอกต่อญาติสนิทมิตรสหายให้ขยายวงกว้างต่อไป ใครไม่เข้าใจก็มาศึกษาที่นี่ได้นะครับซึ่งเป็นบุญกุศลอย่างยิ่ง ที่ผู้ที่ได้เข้ามาถึงตรงนี้ ยกตัวอย่างที่ผมประสบมานะครับ ผมก็มีสิ่งที่จะแชร์ให้ท่านทราบเพียงเคสเดียว แต่มีหลายเคสเอาไว้ค่อยคราวหน้าครับ
จิตอาสา: พี่ที่นั่งอยู่ใช่ไหมคะ เดี๋ยวนะคะ
คุณสุรศักดิ์: โทษนะครับ ภรรยาปกติครั้งที่ 1 ไม่มาไม่เชื่อครั้งที่ 2 ก็ยังไม่มา แต่ด้วยความที่รักษาหายแล้ว เขาเปิดใจ รอบนี้มา แล้วที่ภูมิใจที่สุดคือสามีรักษาภรรยา
จิตอาสา: ค่ะไม่ได้เป็นหมอ ไม่ได้เป็นหมอแผนปัจจุบันแต่เป็นหมอแพทย์วิถีธรรมไงคะ หมอที่ดีที่สุดในโลกก็คือตัวเราเองนะคะ
คุณสุรศักดิ์: แล้วท่านสุภาพสตรีต่อไปท่านสุภาพสตรีจะเป็นภรรยาที่รักษาสามีนะครับ ขอเชิญคุณสุชาดาซึ่งเป็นภรรยาผมเองนะครับขอเชิญแสดงตัวนิดหนึ่งเพื่อยืนยันเป็นหลักฐานที่มีจริงนะครับ
จิตอาสา: ก็เดี๋ยวให้พี่สุชาดาเล่าให้ฟังนิดหนึ่งค่ะ ความประทับใจหรือการรักษาของคุณหมอสุรศักดิ์เป็นยังไงบ้างคะ
คุณสุชาดา: ที่ประทับใจที่สุดนะคะคือช่วงเมื่อ 3-4 ปีก่อน เราก็ไปรักษาแบบแผนปัจจุบันนะคะ เวลาไปหาคุณหมอ คุณหมอก็จะให้ยาฆ่าเชื้อพอยาฆ่าเชื้อที่ให้มา พอทานแล้วนี่บริเวณที่เป็นก็จะตาย ผิวก็จะตายอะไรอย่างนี้แล้วเวลาพอตายมันก็จะแห้งไหม้เกรียมเวลาอาบน้ำอย่างนี้ตัวผิวนี่ก็จะหลุดออกมาเป็นแผ่นเลยอะไรอย่างนี้นะคะ เพราะว่าเป็นมาก แต่ลอกอย่างนี้ไม่ใช่ว่าหายในครั้งนั้นเลยลอกอยู่ประมาณ 3 ครั้ง ลอกจนครั้งที่ 3 มีความรู้สึกว่าผิวเขาสร้างมาให้เราไม่ทันจะแสบอะไรอย่างนี้ค่ะ ก็เลยไปหาแผนจีนนะคะไปทานยาจีน แล้วก็ที่เขานิยมกันที่ว่าบัวหิมะอะไรอย่างนี้ค่ะ เอามาทาก็ทุเลา ค่อย ๆ ดีขึ้นเหมือนกันนะคะได้ฆ่าเชื้อแล้วก็หลังจากนั้นก็คือเป็น ๆ หาย ๆ นะคะ คืออาจจะเกี่ยวกับว่านิสัยการทานนี่จะชอบอาหารที่เป็นฤทธิ์ร้อนเสียส่วนใหญ่ คือทุกวันคือจะชอบทานพวกแกงพวกพริกอะไรอย่างนี้ค่ะจะทานอย่างนั้นหรือของทอดหรืออะไรอย่างนี้ค่ะ แล้วก็ผักจะน้อย ไม่ค่อยเน้นอะไรอย่างนี้เป็นนิสัยการกินก็ไม่ค่อยถูกต้องนะคะ ก็เป็น ๆ หาย ๆ ก็หาหมอก็คืออย่างนี้ ลักษณะฆ่าเชื้ออะไรอย่างนี้แล้วก็เดี๋ยวพอ อาจจะเกี่ยวกับเราไปทานมาอีกมันก็จะเป็นอีกอะไรอย่างนี้ค่ะ
ก็จะคุยกับแฟนอยู่เป็นประจำจนแฟนก็เป็นคนที่ว่าอยากจะสนใจเรื่องสุขภาพอะไรอย่างนี้จะหาวิธีศึกษาที่ว่าไม่ต้องไปใช้ยาฆ่าเชื้ออะไรอย่างนี้ซึ่งมีความรู้สึกว่าไม่ถูกต้องอย่างนี้ ก็อาจจะโชคดีมีบุญกุศลบ้างอะไรอย่างนี้ได้นำพามาพบวิถีพุทธของท่านอาจารย์หมอเขียวนะคะแล้วก็เขาก็ได้เห็นได้อ่านอะไรอย่างนี้ ก็ตัวเองก็ได้อ่านหนังสืออาจารย์หมอเขียวด้วย เขาบอกเขาอยากจะมา ก็สนับสนุนให้เขามา แต่ตัวเองก็ยังไม่มา ยังอาจจะยังห่วงที่บ้านอะไรอย่างนี้ ก็ให้เขามา มาแล้วเขาก็กลับไปเล่าให้ฟัง บอกว่าได้สมัครเป็นนิสิตแพทย์อะไรอย่างนี้นะ เราบอกเออ ดีนะ ยินดีด้วยอะไรอย่างนี้ไปนะ แล้วจะได้บางทีตัวเองได้ช่วยตัวเองด้วยแล้วได้ช่วยผู้อื่นด้วย เอาประสบการณ์ที่ตัวเองเจออะไรอย่างนี้ ได้ไปช่วยผู้อื่นด้วยอะไรอย่างนี้ก็มาตอนพระไตรปิฎกค่ะ แล้วก็อย่างที่คุณสุรศักดิ์เล่าให้ฟังค่ะแล้วก็มาใช้กับตัวเองก็ดีใจมากเลย เพราะว่าหาแบบของแผนปัจจุบันนี่ คือตอนช่วงที่เป็นหนักนี่ทานยาเป็นเดือนกว่าร่วม 2 เดือนแล้วก็ไม่ใช่หายสนิทนะคะ ก็มาทานยาจีนที่เขาแนะกันน่ะ เดี๋ยวคนนู้นแนะคนนี้แนะอะไรอย่างนี้ มาตลอดเรื่อย ๆ ก็รู้สึกตัวเองก็รู้สึกไม่ดีค่ะ
จิตอาสา: ค่ะ ถ้าดูอย่างนี้แล้วตอนนี้สักกี่เปอร์เซ็นต์ถือว่าหายแล้วที่ประทับใจ
คุณสุชาดา: ก็เรียกว่าเต็มร้อยค่ะถ้าเป็นอะไรก็คือจะใช้วิธีนี้ค่ะ เพราะว่าตอนที่เป็นทรมานมาก
จิตอาสา: ค่ะ ก็ได้เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ แล้วนะคะอันนี้ด้วยนะคะต้องกราบขออภัยพี่น้องนะคะ ถ้าใครอยากติดตาม ด้วยเวลาจำกัด เดี๋ยวกลัวท่านนี้จะรอนาน ก็ถือว่าพี่สุชาดามีอะไรจะทิ้งท้ายไหมคะ
คุณสุชาดา: ก็ขอยืนยันกับทุกท่านนะคะว่าถ้าปฏิบัติถูกต้องตามวิถีธรรมวิถีทางนี้นะคะ
หายแน่นอนค่ะ เพราะตัวเองก็คือปฏิบัติมาแล้วแล้วก็อย่าไปรังเกียจปัสสาวะนะคะดีมาก
จิตอาสา: ถ้าใครสนใจอาจจะติดต่อสอบถามพี่สุชาดาด้านหลังดีกว่านะคะ สำหรับใครที่เป็นโรคนี้นะอันนี้ก็พี่สุรศักดิ์ทิ้งท้ายนิดหนึ่ง ที่บอกอยากจะบอกพี่น้องนะคะเดี๋ยวเราจะได้พบโปรแกรมต่อไป
คุณสุรศักดิ์: ครับผมขอสรุปเรื่องน้ำปัสสาวะ พอดีเรื่องน้ำปัสสาวะนี่ค่อนข้างที่จะลำบากนิดหนึ่งถ้าหากว่าการไปพูดนี่ไม่ถูกจุดคือเวลาจะพูดกับใครนี่ต้องดูว่าเขาเปิดใจไหม ถ้าเขาเปิดใจเราก็เสนอได้ ซึ่งผมเรียนตรง ๆ ว่าผมใช้ผมดื่มน้ำปัสสาวะทุกวันนะครับ เช้าเย็นแล้วก็ดื่มน้ำปัสสาวะนี่ เช้าเย็นขณะเดียวกันก็จะใช้น้ำปัสสาวะนี่นะครับเช็ดหน้าด้วย เมื่อก่อนหน้าไม่ค่อยหล่อเท่าไรเดี๋ยวนี้หล่อขึ้นเยอะ การหล่อของเราที่เราสัมผัสได้คือคนอื่นเขาทักเรานะครับ เขาทักว่า เออ คุณสุรศักดิ์เดี๋ยวนี้ไปทำอะไรมาทำไมหน้าดีขึ้นเยอะอะไรอย่างนี้ แล้วก็โทษนะครับ ที่แขนผมนะครับเมื่อก่อนจะดำเหมือนคนตากแดดไหม้เกรียม ผมก็เช็ดอย่างนี้นะครับแล้วก็เดี๋ยวนี้ปัจจุบันมันก็ขึ้นเป็นสีชมพูนะครับ ก็ทำให้รู้สึกว่าเรามีกำลังใจมากขึ้น อย่าไปรังเกียจน้ำปัสสาวะนะครับ เพราะว่าสมัยพระพุทธเจ้าท่านก็ใช้น้ำปัสสาวะรักษาตนเองแล้วก็สาวกต่าง ๆ นี่ท่านก็เผยแพร่มา 2,000 กว่าปีเราเพิ่งรับรู้ ณ เวลานี้เองก็ถือว่ายังไม่สายเกินไปนะครับ ขอบคุณครับ
จิตอาสา: ค่ะ ต้องขอบพระคุณพี่สุรศักดิ์กับพี่สุชาดามากนะคะ ถ้าใครสนใจเคสนี้นะคะ เดี๋ยวสอบถามพี่ทั้งสองได้ด้านหลังนะคะ เพราะว่าที่จริงยังมีรายละเอียดอีกเยอะนะ ถ้ามีเวลาอาจจะได้มาเล่าแบ่งปันกันอีก