วันนี้จะเรียนพระไตรปิฎก ฉบับมหามงกุฏ สิคาลชาดก พระไตรปิฎกเล่มที่ 56 ข้อที่ 148 เป็นต้นไป ลองมาดูกันนะ ว่าด้วยสุนัขเข้าอยู่ในท้องช้าง มาเรียนกันดูเป็นอย่างไร “เอาเอาอีกแล้ว ไม่เอาอีกละ เราจะไม่ขอเข้าสู่ซากช้างซ้ำอีกละ เพราะเวลาอยู่ในท้องช้าง ถูกภัยคุกคามเจียนตาย” จบ สิคาลชาดกที่ 8 ก็สั้น ๆ สิคาลชาดก มาดูคำอธิบาย คำขยาย อันนี้เป็นหัวข้อสั้น ๆ ก็มีคำขยายนะ
อรรถกถาสิคาลชาดกที่ 8 พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภการข่มกิเลส ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า นาหํ ปุนํ น จ ปุนํ ดังนี้ อาจารย์แปลเป็นไทยเลยก็แล้วกัน ได้ยินว่า เศรษฐีบุตรในเมืองสาวัตถี ประมาณ 500 คน เป็นเพื่อนกัน ต่างมีสมบัติคนละมากมาย ฟังพระธรรมเทศนา ของพระศาสดาแล้ว พากันบวชถวายชีวิตในพระศาสนาอยู่ในกุฏิแถวสุดในพระวิหารเชตวัน
อยู่มาวันหนึ่ง เป็นในเวลาท่ามกลางรัตติกาล ความดำริ อาศัยกิเลสเป็นเจ้าเรือนบังเกิดขึ้นแก่ พวกภิกษุเหล่านั้น พวกเธอต่างกระสัน เกิดจิตตุบาท เพื่อที่จะยึดครองกิเลสที่ตนละแล้วอีก พยายามละมาแล้วยังกระสันอยากไปเสพกิเลส ยังไปเสพสุขใจที่ได้ดั่งใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ต่าง ๆ ไม่ได้ดั่งใจก็ทุกข์ใจ ทีนี้สร้างทุกข์ใจมากดดันตัวเอง มาทรมาน จิตกิเลสมันก็โง่นะ มันก็บอกว่าต้องกลับไปเสพอีกมันถึงจะเป็นสุข ต้องกลับไปเสพอีกทุกข์ถึงจะลดลง สุขถึงจะเกิดขึ้น ก็พากันมีจิตที่จะไปยึดครองกิเลสที่ตนละแล้วอีก ตนละมาแล้วก็กลับไปอีก
นี่ขนาดว่า ตั้งใจมาบวชนะนี่ จำนวนมากเลยนะนี่ ภิกษุไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ เลย นี่ต่างคนต่างมีสมบัติมากมายเลยนะ แต่ก่อนภิกษุประมาณ 500 คนเป็นเพื่อนกันนะ ต่างคนต่างมีสมบัติ คนละมากมายด้วย ดูสิ เศรษฐีบุตร บุตรเศรษฐีในเมืองสาวัตถี ประมาณ 500 คนนะลูกเศรษฐี มาบวช ฟังพระธรรมเทศนาแล้วนะ ฟังพระเทศนาเข้าใจแล้วก็พากันบวชถวายชีวิตในศาสนาเลย ไม่ใช่ธรรมดานะ ตั้งใจบวชถวายชีวิตเลย ตัดหัวถวายเลย เสร็จแล้วเป็นอย่างไร
อยู่มาวันหนึ่งก็อยากกลับไปเสพกิเลสอีก พอ ๆ กับบางคนว่าจะไม่เอาอีกแล้วนะกิเลสนี่นะ วันใดวันหนึ่งมันก็แว็บขึ้นมาอีกนะมันอยากไปเสพอีกนะ เวรกรรมจริง ๆ ขนาดว่าตัดหัวถวายแล้วนะนี่ มาแล้ว มาเป็นจิตอาสาแล้ว ไม่เอาแล้วทางโลก มาแล้วมันก็ยังแว็บ ๆ ๆ มันอยากกลับไปเสพกิเลสอีก นี่ภิกษุนี่ก็เหมือนกันแหละ ภิกษุท่านก็อุตส่าห์มาบวชแล้วนะ แหม! นะ เกิดจิตอยากไปเสพกิเลสอีก ที่เคยเสพนั้นน่ะ ครั้งนั้น พระศาสดาทรงชูประทีป อันมีพระสัพพัญญุตญาณเป็นด้าม ในระหว่างท่ามกลางรัตติกาล (กลางคืน) ทรงตรวจดูอัธยาศัยของภิกษุทั้งหลายว่า พวกภิกษุพากันพำนักอยู่ในพระเชตวันวิหาร ด้วยความยินดีอย่างไหนเล่าหนอ?
ได้ทรงทราบความที่พวกภิกษุเหล่านั้น ต่างมีความดำริใน กามราคะ เกิดขึ้นในภายใน พระองค์ก็เห็นแล้ว ตรวจดูแล้ว นี่กำลังมีกามราคะ เกิดขึ้นในภายใน อยากกลับไปเสพกาม รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ดั่งใจหมาย ได้ก็จะเป็นสุขใจชอบใจ ไม่ได้ก็ทุกข์ใจไม่ชอบใจ ตอนนี้ ถูกกดดันอยากจะได้สุข อยากจะสุขใจชอบใจขึ้น สุขที่ไม่มีนั่นแหละสร้างทุกข์มา สร้างทุกข์ใจมากดดันเพื่อให้ได้สุขที่ไม่มีอยู่นั่นแหละ หลงอยู่นั่นแหละ ก็ธรรมดาพระศาสดาย่อมรักษาหมู่สาวกของพระองค์ ประดุจหญิงมีบุตรคนเดียวถนอมบุตร พระองค์ก็ช่างเปรียบเทียบนะ พระองค์นี้รักสาวกนี่นะ สาวกที่มาบวชนี่แหละ บวชเพื่อจะให้พ้นทุกข์นี่ ก็รักเหมือน ประดุจหญิงมีบุตรคนเดียวถนอมบุตร หญิงมีบุตรคนเดียว คุณเอ๊ย ! ถนอมบุตรนี่จะถนอมขนาดไหนคิดเอาเองแล้วกัน
พระพุทธเจ้าก็เหมือนกันน่ะ ถนอมลูกท่าน สาวกของท่านก็คือลูกหลานท่าน ท่านก็รัก รักที่จะให้เขาพ้นทุกข์ ประดุจหญิงมีบุตรคนเดียวถนอมบุตรของตน ประดุจคนมีตาข้างเดียวระวังนัยน์ตาของตนก็ปานกัน เห็นไหม คนมีตาข้างเดียวก็ต้องระวังเหมือนกันนะ หมดไปข้างหนึ่งเหลือข้างเดียว ต้องระมัดระวังหมดไปอีกข้างก็แล้วเลยนะ ก็ต้องระมัดระวัง อย่างนี้เป็นต้น พระองค์คอยระวัง ลูกศิษย์ลูกหา ของพระพุทธเจ้านี่นะ ไม่ระวังสาวกลูกศิษย์ลูกหา โอ้โห ! มารจะเอาไปฆ่าตาย เมื่อไร มารจะเอาไปฆ่าอีกแล้ว ทำร้ายแล้ว มารจะกระหน่ำย่ำยีให้ทุกข์ ให้ทรมานแล้ว จะลากไปตกนรกแล้ว อย่างนี้เป็นต้น ต้องคอยระวัง
อาจารย์นี่ก็ต้องคอยระวังเหมือนกันนะ มารจะเอาใครไปอีกนะ โอ๊ย! ระวังอยู่ขนาดนั้น บางทีก็ แหม! มันยังแว็บเอาไปจนได้ ลูกศิษย์บางคนที่ไม่ระมัดระวัง มันก็เอาไปนะ ขนาดว่าฉีดวัคซีนให้เป็นประจำเลย ฉีดวัคศีล ฉีดปัญญาให้ ปั๊บ ๆ นี่ แหม! เผลอนิดเดียวมันเอาไปเลยนะ ไม่ใช่ธรรมดานะ ร้ายกิเลสมันร้าย ต้องคอยระวังให้ปลอดภัย อย่าให้มันเอาไปฆ่าตาย อย่าให้มันเอาไปทุกข์ทรมาน หลายคนฝึกดี ๆ ก็ได้เหมือนกันนะ ปลอดภัยดี
ในสมัยใด ๆ มีเวลาเช้า เป็นต้น กองกิเลสเกิดขึ้นแก่หมู่สาวกนั้น ก็ไม่ทรงยอมให้กองกิเลสเหล่านั้น ของสาวกเหล่านั้นพอกพูนไปกว่านั้น เห็นไหมพระองค์รู้ปุ๊บนี่ เชือดเลยนะ ทรงข่มเสียในสมัยนั้น ๆ ทีเดียว รู้เมื่อไรก็จัดการเลยนะ ใช้ปัญญาข่มเลย สลายเลย เพื่อให้พ้นทุกข์ เพื่อให้ได้สุขแท้ ไปเอาสุขเทียมทุกข์แท้อยู่นั่น ไม่เอา…ต้องเอาสุขแท้ ไม่มีทุกข์ ต้องเอาความไม่มีทุกข์ จะเป็นสุขแท้
ด้วยเหตุนั้นพระองค์จึงได้มีพระปริวิตกว่า กาลนี้ เป็นประดุจดังการที่เกิดพวกโจรขึ้นไปในพระนคร เห็นไหมมันเกิดพวกโจรขึ้น ภายในพระนครของพระเจ้าจักรพรรดิ ฉะนั้น เราต้องแสดงพระธรรมเทศนาข่มกองกิเลสแล้วให้พระอรหัตผลแก่พวกเธอในบัดนี้ทีเดียว อย่างนี้แหละนะ มันมีโจรขึ้นก็ต้องปราบโจร กิเลสนี่แหละคือโจรตัวจริงเลย กำลังเกิดขึ้นแล้วก็ต้องปราบโจร พระเจ้าจักรพรรดิก็ต้องปราบโจร พระพุทธเจ้าก็ต้องใช้ปัญญาวุธ พระธรรมวุธ พระธรรมเทศนานี่แหละ มาปราบกองกิเลส ข่มปราบกองกิเลสแล้วให้อรหัตผลความพ้นทุกข์ แก่พวกเธอในบัดนี้ทีเดียว พระองค์จึงเสด็จออกจากพระคันธกุฎี ก็กุฏินั่นแหละ มีกลิ่นหอม มีพระดํารัสด้วยพระสุระเสียงอันไพเราะ เรียกท่านพระอานนท์ผู้เป็นขุนคลังแห่งธรรม ว่า “ดูก่อนอานนท์” พระเถระเจ้ารับพระพุทธดำรัสว่า อะไร พระเจ้าข้า ?
มาถวายบังคมยืนอยู่ตรัสว่า อานนท์ ภิกษุเท่าไรที่อยู่ในกุฏิแถวหลังสุด เธอจงให้ประชุมกันในบริเวณคันธกุฎีทั้งหมดทีเดียว ได้ยินว่าพระองค์ได้ทรงมีพระดำริดังนี้ว่า แม้นเราให้เรียกภิกษุ 500 พวกนั้นเท่านั้นมาประชุม พวกเธอจักพากันสลดใจว่า พระศาสดาทรงทราบความที่กองกิเลสเกิดขึ้น ในภายในของพวกเราแล้ว จักมิอาจจะรับพระธรรมเทศนาได้ เหตุนั้นจึงตรัสว่า ให้ประชุมทั้งหมด คือจะไปเจาะจงเอาเฉพาะอันนั้นมานี่ เดี๋ยวกิเลสนี่มันนกรู้นะ รู้ว่ากิเลสขึ้นนี่มันไม่มาฟังธรรมนะ
พระพุทธเจ้านี่ช่างรู้ใจจริง ๆ เลย บอกให้รู้แล้วว่าพระพุทธเจ้ารู้แล้วว่ากิเลสเข้าผีเข้านี่นะ ให้เรียกมาผีเข้าแล้วให้เรียกมา ไม่มานะผีมันกลัวพระนะ ฉลาด ๆ น่ะกิเลสนะ ถ้ากิเลสเข้า มันไม่มาหาพระหรอก มันจะหลบไปเรื่อย ไปไหนก็ไม่รู้ เรียกมาก็ไม่มานะ ยิ่งรู้โดยตรงเลย ไม่เอา ๆ ไม่เอาเสียดายกิเลส ไม่เอา มาแล้วเดี๋ยวกิเลสตาย รักษาไว้สุดชีวิต กิเลสคือของหวงสุดชีวิต
พระพุทธเจ้าก็รู้นะท่านฉลาด พระองค์มีพระปัญญาธิคุณ อย่าไประบุคนใดคนหนึ่งท่านว่าอย่างนั้น ไประบุกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ที่ผีเข้าอยู่ มาให้หมด พระพุทธเจ้าตรัส มาหมดเลยนะ คนก็ไม่รู้เรื่องอะไรนะ พระพุทธเจ้าตรัสรับสั่งก็ต้องมา พระพุทธเจ้าตรัสว่ามาให้หมดนั่นแหละนะ มีกี่คนมาให้หมด ไม่ใช่จะไประบุเอาแต่คนผีเข้า 500 คนนะไม่ได้หรอก กิเลสเข้า พระพุทธเจ้า นี่แหม! สุดยอด พระบรมครูจริง ๆ รู้ใจไปหมดเลย
เหตุนั้นจึงตรัสว่า ให้ประชุมทั้งหมด พระเถระรับพระพุทธดํารัสว่า ดีละพระเจ้าข้า แล้วถือลูกดาลเที่ยวไปทั่วบริเวณ แล้วบอกภิกษุทั้งหมด ประชุมกัน ณ บริเวณพระคันธกุฎี แล้วจัดปูลาดพระพุทธอาสน์ไว้ พระศาสดาทรงคู้บัลลังก์ ตั้งประกายตรง ประทับเหนือพระพุทธอาสน์ที่จัดไว้ ปานประหนึ่งขุนเขาสิเนรุอันดำรงอยู่ เหนือปฐพีศิลา ทรงเปล่งพระพุทธรัศมี เป็นทิวแดงมีพรรณ 6 ประการฉวัดเฉวียนประสานสีทีละคู่ ๆ พระรัศมีแม้เหล่านั้น มีประมาณเท่าถาด เท่าฉัตร และเท่าโคมแห่งเรือนยอด ขาดเป็นระยะวนเวียนรอบประกาย ประหนึ่งสายฟ้าในนภากาศ กาลนั้นได้เป็นเสมือนเวลาที่ดวงอาทิตย์กำลังเริ่มฉายแสงอ่อน ๆ ทำให้ท้องมหรรณพ (พื้นน้ำ พื้นมหาสมุทร) มีประกายสาดแสงระยิบระยับฉะนั้น
ภิกษุสงฆ์เล่า ก็น้อมเกล้าถวายบังคมพระศาสดา ทรงดำรงจิตอันเคารพไว้มั่นคง นั่งล้อมพระองค์โดยรอบ ประหนึ่งแวดวงไว้ด้วยม่านกำพลแดงพระบรมศาสดาทรงเปล่งพระสุรเสียงดังเสียงพรหม ทรงเตือนภิกษุทั้งหลาย ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายธรรมดาภิกษุไม่ควรตรึก ตรึกแปลว่าคิด อกุศลวิตกทั้ง 3 นี้ คือ กามวิตก ความตรึกในกาม พยาบาทวิตก ความตรึกในพยาบาท วิหิงสาวิตกความตรึกในวิหิงสา ก็กามพยาบาทแล้วก็เบียดเบียน กามก็ตัวสุขตัวชอบ สุขใจชอบใจที่ได้ดั่งใจน่ะ พยาบาทก็ทุกข์ใจที่ไม่ได้ดั่งใจน่ะ วิหิงสาก็กิเลสกาม พยาบาทชอบชัง สุขทุกข์ที่มันเล็กลง ๆ นั่นแหละ และมันมั่ว ๆ กัน เล็กลงก็อ่านยากบางทีมันมั่วกันก็อ่านยาก ทั้งหมดทั้ง 3 กาม พยาบาท เบียดเบียนวิหิงสา ขึ้นชื่อว่ากิเลสเป็นเช่นกับปัจจามิตร และปัจจามิตรเล่า จะชื่อว่าเล็กน้อยไม่มีเลย แปลว่าอะไร ก็หมายความว่า จะเอากิเลสนี่มาเป็นมิตรมาเป็นปัจจามาเป็นมิตร และปัจจามิตรเล่า จะชื่อว่าเล็กน้อยไม่มีเลย คือแปลว่าอะไรแปลไทยให้เป็นไทย แปลว่าอะไร
คือกิเลสนี่เป็นมิตรแม้น้อย ๆ กันมันก็ไม่มี เข้าใจไหม ความหมายก็คือว่า จะเอากิเลสมาเป็นมิตรละนะ มันไม่มีความเป็นมิตรแม้น้อยเลย มันมีแต่ศัตรูเท่านั้น ความหมายของท่านน่ะ จะเอากิเลสมาเป็นมิตรนี่นะ มันไม่ใช่มิตรแท้เลยเป็นศัตรูแท้ ความหมายว่าอย่างนั้น สรุปแล้วความเป็นมิตรกับ กิเลสน่ะ กิเลสนี่มันจะเป็นมิตรกับเราแม้น้อยก็ไม่มีเลย ฟังออกไหมแปลว่าอะไร กิเลสไม่เป็นมิตรกับเราแม้น้อยเป็นศัตรูอย่างเดียวนะ ความหมายก็ว่า ประโยชน์แม้น้อยไม่มี มีจากกิเลส เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ความเป็นมิตร ความเป็นประโยชน์ ความเป็นประโยชน์สุขแม้น้อยไม่มีจากกิเลสมีแต่ศัตรูเท่านั้น มีแต่สิ่งเลวร้ายเท่านั้นที่กิเลสมันจะให้กับชีวิตเราได้ ความเป็นมิตรไม่มีเลย มีแต่ความเป็นศัตรูเท่านั้น
ความหมายก็อย่างนี้ ได้โอกาสแล้วย่อมทำให้ถึงความพินาศโดยส่วนเดียว เห็นไหมกิเลสเห็นไหม มันไม่มีความเป็นมิตรหรอก น้อยเดียวก็ไม่มี ประโยชน์ในกิเลสน้อยเดียวก็ไม่มี พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างนั้น กิเลสน้อยเดียวก็ไม่มีประโยชน์น่ะ ประโยชน์ในกิเลสน้อยเดียวก็ไม่มี โอ๋! แต่เราจะเห็นว่ามันน้อยซะที่ไหนล่ะ เห็นเยอะ ๆ นะ ประโยชน์จากกิเลสน่ะ เห็นว่ามันเยอะเหลือเกินประโยชน์ โทษน้อยเหลือเกิน โทษไม่มีเลย ประโยชน์ก็เยอะ ๆ อะไรอย่างนี้ โทษก็น้อย ๆ นะคนทั่วไป ใช่ไหม เห็นกิเลสเห็นสุขใจที่ได้ดั่งใจนี่เป็นประโยชน์เยอะใช่ไหม โอ้โห! รู้สึกจะไม่มีโทษเลยนะ อย่างนี้คนจะรู้สึกอย่างนั้น
แต่พระพุทธเจ้าตาดี โอ้! ประโยชน์แม้น้อยไม่มีเลย ในกิเลส ในสุขใจที่ได้ดั่งใจ ไม่มีเลยมีแต่โทษอย่างเดียวเท่านั้น ได้โอกาสแล้วย่อมทำให้ถึงความพินาศโดยส่วนเดียว เห็นไหมถ้ามันได้โอกาสเมื่อไร มันทำให้พินาศส่วนเดียวเลย พินาศจากความสุขใจ สุขกาย เรื่องดี ไปสู่ทุกข์ใจ ทุกข์กาย เรื่องร้ายเลย มันจะไปสู่อย่างนั้นเลย เพราะมันสั่งสมสุขใจที่ได้ดั่งใจ คนก็อยากได้ใช่ไหม มันก็สั่งสมทุกข์ใจที่ไม่ได้ดั่งใจ เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่เรามีความรู้สึกว่า สุขใจที่ได้ดั่งใจนี่มันน่าได้ น่าเป็น น่ามี อยากได้ ๆ ไม่ว่าจะตอบสนองได้หรือไม่ได้ มันโตขึ้นทั้งนั้นแหละกิเลสน่ะ ตอบสนองได้ยิ่งโตไว ตอบสนองไม่ได้ก็โตเหมือนกันแต่ช้ากว่า แต่โตไปเรื่อย ๆ ความทุกข์ใจที่ไม่ได้ดั่งใจ ทุกข์กาย เรื่องร้าย มันโตขึ้นไปเรื่อย ๆ ๆ ๆ พอถึงรอบมันโตขึ้นมาก ๆ ไปถึงความพินาศเลย กิเลสแม้ถึงจะมีประมาณน้อย เกิดขึ้นแล้วได้โอกาส เห็นไหม กิเลสนี่แม้จะมีประมาณน้อยนะ เกิดขึ้นแล้วได้โอกาสเพื่อจะเพิ่มพูน แม้น้อยเดียวนั่นแหละมันจะเพิ่มพูนขึ้นไปเรื่อย ๆ แตกตัวไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่กำจัดมันนะ มันจะต้องแตกตัวไปเรื่อย ๆ เพราะอะไร ถ้าไม่กำจัดมันแปลว่า ก็ยืนยันว่ามันดีใช่ไหม ถ้าไม่กำจัดมันยืนยันว่ามันดี โอ้โห! โตขึ้นไปเรื่อย ๆ ทันทีเลย เทอาหารให้มันทันที เทพลังให้มันทันที เทชีวิตให้มันทันทีเลย มันก็โตขึ้นไปเรื่อย ๆ พอไม่ได้ดั่งใจมันทุกข์แรงเลย สุขที่ได้ดั่งใจก็ไม่มี เเว็บเดียวหมดไม่มีจริง เหลือมีแต่ทุกข์เพิ่มไปเรื่อย ๆ ทุกข์ใจ ทุกข์กาย เรื่องร้าย ย่อมยังความพินาศอย่างใหญ่หลวงให้เกิดขึ้นได้อย่างนั้นทีเดียว เห็นไหมมันจะทำความพินาศอย่างใหญ่หลวงให้
มันโตขึ้นไปเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ ก็พินาศอย่างใหญ่หลวง แก้ไม่ได้ ไปประมาทมันไม่ได้ ขนาดนิดเดียว กำจัดมันได้ยังรู้เลยว่ามันสร้างทุกข์ตั้งเยอะตั้งแยะ ที่รู้ได้เพราะว่า มีทุกข์ใจ ทุกข์กาย เรื่องร้ายหายไปเยอะเลย เพราะกำจัดกิเลสนิดเดียวนั้นได้ เกิดสุขใจ สุขกาย เรื่องดีตั้งเยอะ อย่างนี้เป็นต้น เราก็จะเห็นว่านิดเดียวมันก็มีฤทธิ์มาก แถมมันแตกตัวได้อีก น่ากลัว ประมาทไม่ได้ ขึ้นชื่อว่ากิเลสนี้เปรียบด้วยยาพิษที่ร้ายแรง มันไม่ใช่เพื่อนเล่น มันไม่ใช่ยาพิษเบา ๆ นะ กิเลสเป็นยาพิษร้ายแรง พระพุทธเจ้าว่าอย่างนั้น มีมากยิ่งร้าย ขนาดว่ามีน้อยเดียวยังร้ายแรงมาก เพราะฉะนั้น น้อยเดียวก็ไม่ควรเก็บไว้ ขึ้นชื่อว่ากิเลสนี้เปรียบด้วยยาพิษที่ร้ายแรง สุขใจที่ได้ดั่งใจ คือสุขที่ไม่มีแต่ไปหลงว่ามี สร้างทุกข์ใจที่ไม่ได้ดั่งใจ สร้างโรค สร้างเรื่องร้ายขึ้นไปเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ ไม่มีวันสิ้นสุดเลย น่ากลัว ขึ้นชื่อว่ากิเลสนี้เปรียบด้วยยาพิษที่ร้ายแรง เป็นเช่นกับด้วยหัวฝีที่มีผิวหนังปอกไปแล้ว
หัวฝีที่ผิวหนังปอกไปแล้ว เป็นอย่างไร ถ้าไม่บีบออกเป็นอย่างไร หัวฝีสุก ๆ น่ะ ไม่บีบออกเป็นอย่างไร ปวด ปวดอยู่นั่นแหละ ไม่บีบออกก็ปวด คุณเอ๊ย! ทั้งปวด ทั้งไข้ กิเลสเป็นอย่างนั้น จริง ๆ เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เทียบได้กับอสรพิษ เป็นอสรพิษเลย อสรพิษก็งูพิษหรือสัตว์พิษร้าย ๆ ที่มีพิษคล้ายกับไฟที่เกิดจากอัสนีบาต แปลว่าอะไร อัสนีบาต ฟ้าผ่า คล้ายกับไฟที่เกิดจากอัสนีบาต ฟ้าผ่า ไฟเกิดจากฟ้าผ่านี่โหดไหม โหด พระพุทธเจ้าว่า คนส่วนใหญ่ถูกฟ้าผ่ารอดหรือไม่รอด ไม่รอดนะ ส่วนใหญ่ตายหรือไม่อย่างนั้นก็คางเหลือง ไม่ตายก็สาหัส ใครถูกฟ้าผ่ามีตายกับมีสาหัส โหดนะ ฟ้าผ่านี่โหดนะจะบอกให้ พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบกิเลสว่าโหดขนาดนั้น โหดขนาดว่าไฟเกิดจากฟ้าผ่า โหดไม่ใช่ธรรมดานะกิเลส ผู้มีภูมิจะรู้ โหดอย่างนั้นจริง ๆ นะ น่ากลัว แม้น้อยเดียวก็ยังโหดมาก แม้น้อย ๆ ก็ยังโหด น้อยก็โหด ถ้ารู้สัจจะจะโหดมาก
น้อยเดียวผู้ที่มีสัจจะจะรู้ แม้นิดเดียว พอเรากำจัดมันได้ เราจะรู้เลยฤทธิ์มันร้ายมากเลย ร้ายหลายอย่างหายไป ทุกข์ใจจำนวนมากความขุ่นมัวหายไป ความผ่องใสเกิดขึ้นอีกเยอะ แปลว่ามันทำให้เกิดความขุ่นมัวแรงมาก ร่างกายพอเรากำจัดกิเลสแม้น้อยได้ โรคจำนวนมากที่หายไป แข็งแรงขึ้นอีกเยอะเลย แปลว่ามันก่อโรคมากเลย ขนาดน้อยเดียว เรื่องร้ายจำนวนมากที่หายไป เรื่องดีจำนวนมากเกิดขึ้น แม้แต่สอนคน ถ้าใครรู้ ถ้ายังมีกิเลสแม้น้อยก็ยังมีฤทธิ์ คือถ้าเรากำจัดตัวนั้นได้แล้ว เราสอนคนเยอะเลย คือสอนแล้วคนทำตามได้อีกเยอะเลย เข้าใจอีกเยอะ ทำตามได้อีกเยอะ สมมุติเราก็พอสอนได้ แต่กิเลสเรายังเหลือน้อย สมมุติถ้าเหลือกิเลสน้อยหนึ่ง สอนได้ 10 คน สมมุติอย่างนี้นะ มีประสิทธิภาพ 10 คน 10 คนนี่ก็ไม่ใช่ว่าจะได้เต็มที่นะ ยังกั๊ก ๆ คา ๆ พอเราล้างกิเลสแม้น้อยได้ สอนไปคราวเดียว 100 นี่ได้ประโยชน์เลย 10 คนนี้ ก็ได้มากกว่าเดิม 10 คนก็ได้ประสิทธิภาพสูง ได้เป็นร้อยเป็นพันเลย อย่างนี้
เราจะเห็นเลยว่ากิเลสเราคาอยู่แม้น้อย ก็ยังเสียประโยชน์เยอะ เสียเยอะมากเลย แทนที่เราจะช่วยคนได้เยอะเลย คนจะพ้นทุกข์ได้เยอะ มีคนจำนวนมากที่พ้นทุกข์ไม่ได้ เพราะเราเหลือกิเลสน้อยเดียว แปลว่าอะไร ก็แปลว่าเราเป็นเหตุให้เขาทุกข์ด้วย เราเองก็ไม่พ้นทุกข์ด้วย เราเองก็ไม่พ้นทุกข์ แล้วเราก็เป็นเหตุให้เขาทุกข์ด้วย เขาก็มีกิเลส เราก็มีกิเลส เติมกัน
ธรรมทั้งหลายย่อมหลั่งไหลสู่ธรรมทั้งหลาย พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนั้นหรือในสนิทานสูตร ใครมีกิเลสอะไรก็เติมกันทั้งนั้นแหละ เขาก็เติมเรา เราก็เติมเขา มันเลยไม่ขาด มันมีพลังเยอะ มันเติมกันแล้วมันไม่ขาด เราก็เด็ดไม่ขาด เขายิ่งกิเลสหนากว่าก็ยิ่งไม่ขาดใหญ่เลย มันไม่ขาด มันอาจจะลดได้บ้าง แต่มันฤทธิ์น้อย อาจารย์ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร แต่อาจารย์รู้จักสภาวะอันนี้ แต่ถ้าเรากำจัดกิเลสแม้น้อยตัวนั้นได้จะมีฤทธิ์เยอะเลย ในการช่วยเขา เพิ่มขึ้นไปอีกเยอะเลยนะ เราก็ผ่องใสไปอีกเยอะ แข็งแรงขึ้นไปอีกเยอะ ช่วยเขาได้อีกเยอะเลย เกิดสิ่งดีขึ้นไปอีกเยอะเลย
กิเลสแม้น้อยก็เป็นเสนียดมาก แทนที่คนจะพ้นทุกข์ได้มาก แทนที่เราจะได้วิบากดีมาก เราก็ได้วิบากดีที่มากด้วย ช่วยให้เขาพ้นทุกข์ได้มาก เราก็ได้รับวิบากดีมาก ก็ดูดสิ่งดีเข้าได้มาก ดันสิ่งร้ายออกไปได้มาก ก็ไม่ได้ พอไม่ได้เป็นอย่างไร ร้ายก็ซัดเราได้มาก ซัดเขาได้มาก แทนที่ดีจะเพิ่มขึ้นได้มาก ทั้งเขาทั้งเรา แต่มันก็ไม่ได้ พอดีเพิ่มไม่ได้ร้ายมันก็เพิ่ม วิบากดีมันไม่เต็ม เพราะกิเลสของเขาของเรามันเติมกัน มันเป็นวิบากร้าย แทนที่ต่างคนต่างจะมีร้ายลดลงได้มาก มีดีเพิ่มขึ้นได้มาก ไม่ มันก็เลยกลับกันเพราะมันไม่มีพลังความดีอันนั้นช่วย ร้ายมันก็เลยแรง ดีมันก็เลยน้อย ใครกำจัดตัวนั้นได้จะรู้เลยว่าต่างกันมากเลย แล้วบางทีเป็นดีที่เราอยากให้เกิด ดีที่มีค่ามากด้วย อยากให้เกิดก็เกิดไม่ได้โดยเฉพาะดีที่หมดกิเลสได้นี่แหละ หรือแม้แต่มีโรคมีเรื่องร้าย ถ้าเราลดกิเลสได้ดี โรคเรื่องร้ายตัวนั้นมันหายไปอย่างมหัศจรรย์เลย จากตัวเราหรือจากคนอื่นอย่างนี้เป็นต้น ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร มีฤทธิ์มาก
สรุปแล้วกิเลสก็มีฤทธิ์มาก พุทธะก็มีฤทธิ์มาก กิเลสมีฤทธิ์ทำทุกข์ทำชั่วได้มาก มันทำทุกข์ได้มาก ทำความพินาศฉิบหายได้มาก แม้น้อยก็ยังมาก ไม่ต้องพูดถึงว่ามาก บรมมากเลย แต่พุทธะก็มีฤทธิ์มาก ก็จัดการกิเลสได้ จัดการได้แม้น้อยก็เกิดผลดีมาก พุทธะจัดการกิเลสแม้น้อยได้ก็เป็นผลดีมาก กำจัดไปอีก ไปอีก ไปอีก เหลือมาน้อยเดียวที่เหลือ ผัวะ! ไป ก็ยิ่งเกิดดีได้ตั้งมากเลย ถึงจะรู้ว่าพลังงานปรมาณูของพุทธะไม่เบา สลายกิเลสได้จะเกิดสภาพดีที่ดีที่สุดในโลกต่อทุกชีวิต
เอาละพระพุทธเจ้าก็บอกว่ากิเลสนี่มันร้ายมาก ท่านอธิบาย มันร้ายขนาดไหน ๆ ไล่มาจนถึงท่านบอกเหมือนไฟจากฟ้าผ่า ไม่ควรเลยที่จะนิยมยินดี ไม่ควรจะไปยินดีในกิเลส ในสุขใจที่ได้ดั่งใจที่เป็นสุขที่ไม่มี ไม่เที่ยงไม่มีจริง สุขที่ไม่มี แต่มันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ทั้งหมดทั้งมวลตลอดกาล ที่มากขึ้น มากขึ้น ๆ ไปเรื่อย ๆ ไม่ควรยินดีกับมันเลย ควรจะกีดกันเสีย ควรกำจัดเสีย อย่าให้มันเจริญเติบโตด้วยพลังแห่งการพิจารณาด้วยปัญญา ต้องพิจารณาให้ชัดด้วยพลังแห่งภาวนา ในขณะที่เกิดทีเดียว
ภาวนา ภาวะของวิปัสสนา ภาวะบวกวิปัสสนา ภาวะคือสภาพ วิปัสสนา คือ วิปัสสะ วิปัสสี รู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริง ปัสสะ ปัสสี รู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็นจริงของกิเลส ไตรลักษณ์ว่ามันไม่เที่ยง ไม่มีตัวตนแท้ มันเป็นสุขที่ไม่มี สุขใจที่ได้ดั่งใจเป็นสุขที่ไม่มี แล้วมันทำให้เกิดทุกข์ทั้งหมดทั้งมวลตลอดกาล ถ้าเราหลงว่ามันมี มันเป็นทุกข์ตลอดกาล ถ้าเราชัดว่ามันไม่มี ทุกข์ตลอดกาลนั้นก็หายไป เราก็ได้สุขที่ไม่มีทุกข์ที่ดีเยี่ยมที่สุด แต่กิเลสนี่มัน
พระพุทธเจ้าบอก ควรกีดกันเสียด้วยปัญญาพิจารณา ไตรลักษณ์ของกิเลสนั่นแหละ ควรจะละเสีย ควรจะละกิเลสนั้นเสีย ด้วยการที่กองกิเลสทั้งนั้น จะเลื่อนไปไม่ทันตั้งอยู่ในหทัยแม้เพียงครู่เดียว ให้มันอยู่ครู่เดียวก็ไม่ควร ให้มันเลื่อนไปให้มันสลายไป พระพุทธเจ้าเอาขนาดนั้นเลยนะ น้อยเดียวก็ไม่มี มีเอาไว้ทำอะไร ไว้ทำอะไร เอาไว้ทำทุกข์น่ะสิ เอาไว้ทำอะไรเอาไว้ทำทุกข์ เออ! เอาไว้ทำทุกข์ เอาไว้ทำโง่ เอาไว้ทำบ้า มันก็คือทุกข์ คือโง่ คือบ้า ไม่ต้องเอาไว้ คือสิ่งที่ไม่ควรทำไม่ควรเก็บไว้ ถ้าจับได้แม้น้อยเดียวเอาออก ๆ ท่านตรัสว่าอย่างนั้น
เหมือนหยาดน้ำกลิ้งตกไปจากใบบัว ฉันใดก็ฉันนั้น ไม่ให้มันติดเลยในชีวิตให้มันกลิ้งออกไปเลย สลายเอาไปเลย ท่านก็เปรียบเทียบอย่างนี้ จริง ๆ ก็ไม่ใช่หายไปเฉย ๆ หรอกนะ เจอมันปุ๊บนะแปรเป็นพลังเอามาเป็นสุขของเราเลย เอามาเป็นพลังของเราเลย กิเลสเกิดปุ๊บ สลายมันเปลี่ยนเป็นพลังสุขพลังสร้างสรรค์เลย กิเลสมันพลังทุกข์พลังทำลาย เปลี่ยนเป็นพลังสุขพลังสร้างสรรค์เลย เปลี่ยนเลย ๆ
อาจารย์ยังชอบ ๆ เห็นมัน เสร็จเรา ๆ แต่ส่วนใหญ่เป็นอย่างไรเห็นมันเป็นอย่างไร เสร็จมัน ๆ ไม่ใช่เสร็จเรา ๆ หรอกนะ มีแต่เราเสร็จมัน มีแต่เราเสร็จมันไม่ใช่มันเสร็จเรา ส่วนใหญ่เป็นอย่างไรก็ไม่รู้กลับหัว อาจารย์เห็นกิเลสสนุกเลย เสร็จเราแน่ อย่าไปไหนมา มาก่อน มาก่อน อาจารย์จะแปรพลังทุกข์ให้เป็นพลังสุข พลังทำลายให้เป็นพลังสร้างสรรค์ นี่แปรพลังงานบ้าให้เป็นพลังงานดี แปรพลังโง่ให้เป็นพลังฉลาด
เรียนแปรรูปอาหารมานี่ เรียนแปรรูปอะไร ๆ มา มาแปรรูปกิเลสบ้าง เอามาแปรรูปกิเลสให้เป็นประโยชน์ไปเลย แปรโทษให้เป็นประโยชน์ กิเลสมันเป็นโทษน่ะ แปรให้เป็นประโยชน์เลยสลายไปเลย แล้วมันจะเป็นประโยชน์ทันที จริง ๆ สลายไปนี่มันจะไปเป็นพลังงานที่ไม่มีโทษ เป็นพลังงานที่เป็นประโยชน์ทันที ทุกมิติด้วยมหัศจรรย์ ถ้าเก็บมันไว้เป็นโทษ สลายมันไปเป็นประโยชน์ทันทีเลย มันจะเป็นพลังที่เป็นประโยชน์ทันที พลังไม่มีโทษพลังที่เป็นประโยชน์ทันทีเลย ทุกมิติเลย
พระพุทธเจ้าก็ตรัส ถึงแม้บัณฑิตในครั้งก่อนทั้งหลาย ก็ติเตียนกิเลสแม้มีประมาณน้อย เห็นไหม ติเตียนเลยนะ ผู้มีปัญญาแท้นี่รู้เลย กิเลสแม้มีประมาณน้อยนี่ก็ภัยเยอะ ภัยตื้น ๆ ง่าย ๆ มันน้อยนี่ถ้าไม่ฆ่ามัน มันก็โตไปเรื่อยมันแอบโตไปเรื่อย พระพุทธเจ้าตรัสว่ามันจะขยายไปเรื่อย ๆ มันจะสั่งสมไปเรื่อย ๆ พอกพูนไปเรื่อย ๆ ท่านใช้คำว่ามันจะพอกพูนไปเรื่อย ๆ ท่านพูดสำหรับคนที่มีปัญญาน้อย ก็พูดเท่านี้ก่อน
คนที่มีปัญญาเยอะนี่ โอ้โห! จะรู้เลยว่า แม้น้อยนั่นแหละทุกข์เยอะ จะพิสูจน์ว่ามันทุกข์เยอะก็จะต้องกำจัดมันให้ได้ กำจัดได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดจะเห็นเลย ทุกข์ใหญ่หายไป ทุกข์ใจ ทุกข์กาย เรื่องร้าย หายไป โอ้โห! สุขใจ สุขกาย เรื่องดี ที่น่าได้น่าเป็น น่ามี เกิดขึ้นอย่างมากเลยเราจะเห็นเลย ขนาดนั้นน่ะแม้น้อยอย่างนั้น อาจารย์กล้าพูดเพราะอาจารย์รู้จักสภาวะนี้ แต่คนไม่รู้จักสภาวะนี้นะไม่กล้าพูดหรอก มันจริงหรือเปล่า หรือพูดก็ท่องไปอย่างนั้นแหละ ไม่แน่ใจหรอกว่าใช่หรือไม่ใช่ ใช่ไหม จนกว่าเห็นได้ด้วยตนเอง ปฏิบัติได้เองนั่นแหละแล้วจะรู้ว่า เป็นจริงอย่างอาจารย์ว่าเลย
แม้ถึงบัณฑิตในครั้งก่อนทั้งหลาย ก็ติเตียนกิเลสแม้มีประมาณน้อย ข่มมันเสียไม่ยอมให้เกิดขึ้นในภายในได้อีกฉะนั้น น้อยเดียวก็ไม่ให้เกิด เกิดมาสลายให้เป็นประโยชน์เลยกิเลสนี่ สลายมันทิ้งเลย ทิ้งกิเลสไปเปลี่ยนให้เป็นพุทธะให้เป็นประโยชน์เลย เปลี่ยนโทษให้เป็นประโยชน์ เปลี่ยนทุกข์ให้เป็นสุข เปลี่ยนทำลายให้เป็นสร้างสรรค์ทันที แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในกำเนิดหมาจิ้งจอก ไปเป็นหมาจิ้งจอกนะ ไปเรียนรู้เป็นสุนัขจิ้งจอก อยากรู้ว่ามันเป็นอย่างไรท่านก็ไป ไปเป็นหมาจิ้งจอกดู พำนักอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำใกล้ป่า ครั้งนั้นช้างแก่ตัวหนึ่งล้มอยู่ที่ฝั่งคงคา สุนัขจิ้งจอกออกหาเหยื่อ พบซากช้างนั้นคิดว่าเหยื่อชิ้นใหญ่เกิดแก่เราแล้ว จึงไปที่ซากนั้น กัดที่งวง ก็เป็นเหมือนเวลาที่กัดงอนไถ ว่าอย่างนั้น โอ๊ย! ไม่อร่อย มันคิดว่า ตรงนี้ไม่ควรกิน จึงกัดที่งาทั้งคู่ ก็เป็นเหมือนเวลาที่กัดเสา ไม่อร่อยอีก กัดหูเล่า ก็ได้เป็นเหมือนเวลาที่กัดขอบกระด้ง โอ้! ไม่อร่อยอีก ไม่น่ากินเลยนะ กัดที่ท้อง ได้เป็นเหมือนเวลาที่กัดยุ้งข้าว โอ้! นี่มันสากไปหมดเลยนะ กัดกินเท้า ก็ได้เป็นเหมือนเวลาที่กัดครก ไม่อร่อยอีก กัดที่หาง ได้เป็นเหมือนเวลาที่กัดสาก กัดหางไม่อร่อยเลยนะ
ดำริว่า แม้ในที่นี้ก็ไม่ควรกิน กัดตรงไหนก็ไม่น่ากิน เมื่อไม่ได้รับความพอใจในอวัยวะทั้งปวง ก็กัดตรงวัจมรรค (ตรงทวาร) ได้เป็นเหมือนเวลาที่กัดขนมนุ่ม เออ! กัดที่ทวารที่นี้มันนุ่ม ๆ เหมือนกัดขนมนุ่มเลย ชอบแล้ว มันดำริว่า คราวนี้เราได้ที่ที่ควรกินอันอ่อนนุ่มในสรีระนี้แล้ว เจอแล้วอันที่อร่อยอยู่ตรงนี้ ได้ที่อ่อนนุ่มแล้ว จึงกัดแต่วัจมรรคนั้น เข้าไปถึงภายในท้อง กินเข้าไปเลยกินตรงนุ่ม ๆ จนเข้าไปถึงท้องเลย กินเข้าไปเรื่อย ๆ เลยนะ เพราะมันนุ่มไปเรื่อย ๆ เลย ตรงทวารเข้าไปเรื่อย ๆ ตรงทวารตรงก้นน่ะ เข้าไปเรื่อยไปกินก็ไปเรื่อยเลยนะ เข้าไปถึงไปในท้องเลย มันสนุกดีนะมันกินง่ายดี นิ่มดี กินตับและหัวใจ เป็นต้น
กินเข้าไปเลย เวลากระหายน้ำ ก็ดื่มโลหิต ไม่ต้องหาออกมากินน้ำยาก กินเลือดไปเลยนะ เวลาอยากจะนอน ก็เอาพื้นท้องรองนอน นอนพื้นท้องช้างนั่นแหละสบาย รองนอนเลยสบาย
ครั้งนั้น สุนัขจิ้งจอกได้มีปริวิตกว่า คือความคิดรอบ ๆ ว่า ซากช้างนี้เป็นเหมือนเรือนของเรา เอามาเป็นบ้านเลยนะ เพราะเป็นที่อยู่สบาย เห็นไหม ติดสุข ติดสบายแล้ว ได้กินแล้วก็สุขใจชอบใจ อยู่อย่างนั้นแล้วนะ ไม่เห็นทุกข์อะไรหรอก ครั้นอยากกิน ก็มีเนื้อ อย่างเพียงพอ ที่นี้เราจะไปที่อื่นทำไม ไม่ต้องไปที่อื่นหรอกกินมันตรงนี้แหละ
นอนตรงนี้แหละ กินนอนอยู่ตรงนี้แหละ ไม่ต้องไปที่อื่นหรอก จึงไม่ยอมไปในที่อื่นอีกเลย ไม่ไป คงอยู่กินเนื้อในท้องช้างแห่งเดียว กินอยู่นี้ไม่ไปไหนหรอก ครั้นเวลาล่วงไป ผ่านไป จนถึงฤดูแล้ง ซากช้างนั้นก็หดตัวเหี่ยวแห้ง ด้วยถูกลมสัมผัส และถูกแสงอาทิตย์แผดเผา ช่องท้องที่สุนัขจิ้งจอกเข้าไปก็ปิด ที่นี้นะมันแห้งมันรัดไปหมด ปิดเลยทีนี้ ภายในท้องก็มืด มืดเลยทีนี้นะ ปรากฏแก่มันเหมือนอยู่ในโลกันตนรก เหมือนอยู่ในนรก ฉะนั้น โอ้โห! โลกันตนรก แปลว่านรกโลกันต์ใหญ่นะ จะตายมืดไปหมดเลยนะ ใช่ไหม คนหรือสัตว์จะอยู่อย่างไรมันมืดไปหมดเลย ออกก็ไม่ได้ เมื่อซากเหี่ยวแห้ง แม้เนื้อก็พลอยแห้ง ที่นี้กินไม่ได้ ทีนี้เนื้อก็พลอยแห้ง แล้วโลหิตก็เหือดหาย น้ำก็ไม่มีกินแล้วทีนี้ เนื้อก็ไม่มีกิน น้ำก็ไม่มีกิน
มันไม่มีทางออก ก็เกิดความกลัว ซมซานไปกัดทางโน้น กัดทางนี้ กลัวตายละทีนี้นะ นี่เห็นไหมวิบากมาถึงแล้ว ไปกินเป็นสุขเพลินไปเรื่อย ๆ ลืมนึกถึงโทษที่มันจะเกิดขึ้น ไม่นึกถึงโทษที่จะเกิดขึ้นเห็นแต่สุขนะ แต่ไม่เห็นทุกข์ มันสุขก็สุขไม่มีด้วยนะนั่นน่ะ หมดแล้วก็หมดนะ สุขไม่มีเลย
แต่ทุกข์ก็เริ่มจะมีมากขึ้น ๆ แล้ว กัดทางโน้นกัดทางนี้ก็ซมซานด้วยเพราะอาหารก็ไม่มีจะกินแล้ว กัดไปด้วยหมดแรงไปด้วย อาหารก็หมดด้วย น้ำก็หมดด้วย โอ้โห! จะหาทางออก วุ่นวายหาทางออกอยู่ทีนี้ คนจะตายนะ สัตว์จะตายนะ ชีวิตจะตายนี่กลัวตายนะ ชีวิตแต่ละชีวิตนี้ ตาย ๆ ๆ หิวก็หิว มันไม่มีอะไรจะกินแล้ว ถูกปิดก็ถูกปิดถูกขังอยู่ข้างใน กลัวก็กลัวทีนี้ กลัวยิ่งกินพลังนะ หมดเรี่ยวหมดแรงนะ กินพลังไปเรื่อย ๆ เลย
เมื่อสุนัขจิ้งจอกนั้นตกอยู่ในท้องช้างอย่างนี้ ก็เป็นเหมือนก้อนแป้งในหม้อข้าว เป็นอย่างไรก้อนแป้งในหม้อข้าว ลอยไปลอยมากลิ้งไปกลิ้งมา ออกไม่ได้หรอก ก้อนแป้งในหม้อข้าวก็ลอย ตุ๊บป่อง ๆ เข้าใจไหม มันอยู่ในนั้นแหละ วนไปวนมา ก็เหมือนกันนั่นแหละ สุนัขก็พยายามที่จะวิ่งออกน่ะ ก็ไปตรงโน้น ชนตรงโน้นชนตรงนี้ วิ่งไปวิ่งมาอยู่นั่นแหละ กลิ้งไปกลิ้งมา วิ่งไปวิ่งมา ชนไปชนมา โซเซไปมาอยู่อย่างนั้นแหละ มันหมดแรงก็โซเซไปมาน่ะ ล่วงมา สอง-สามวันฝนตกใหญ่ ทีนี้ ผ่านมา สอง-สาม วันฝนตกใหญ่ ฝนมาช่วย
ครั้นซากนั้นชุ่มน้ำฝน ก็พองขึ้น ซากถูกน้ำฝนก็พองขึ้น จนมีสัณฐานเป็นปกติ ทีนี้นะ รูปร่างเป็นปกติ วัจมรรคก็เปิดปรากฏเหมือนดวงดาว ว่าอย่างนั้นนะ ทางทวาร เปิดเหมือนดวงดาวเลยนะ แต่ข้างในมันมืดมิดใช่ไหม มันริบหรี่ มันเหมือนแสงนิด ๆ น่ะ เหมือนดวงดาว มองเห็นดวงดาวไหม เหมือนดวงดาวล่ะนะ มันนิดเดียวน่ะแสงสว่างปลายอุโมงค์ น้อยเดียวเหมือนดวงดาว เห็นช่องนะ เพราะว่าโพธิสัตว์ท่านตาดีนะ พระโพธิสัตว์ท่านตาดี สติดีเหมือนกันนะ เห็นช่องมันเห็นช่องนั้น คิดว่าคราวนี้เรารอดได้แน่แล้ว ว่าอย่างนั้นนะ มันน้อยเดียว ตัวใหญ่มากเลยนะแต่ช่องนิดเดียวนะ ตัวเองน่ะตัวใหญ่มากเลย จะออกอย่างไรละนะ ถอยหลังไปจนจรดหัวช้าง ทีนี้เห็นไหม จะตายอยู่แล้วล่ะนะ ฮึดเฮือกสุดท้ายแล้วนะ ถอยหลังไปจนจรดหัวช้าง ทางออกมันอยู่หางช้างใช่ไหม ดูซิจะทำอะไรละนี่
วิ่งไปโดยเร็วนะ มันต้องตั้งหลักใช่ไหม ไปยืนอยู่ตรงหางช้างน่ะ ตรงทวารหางช้าง แล้วดันออกมันจะไหวไหม มันไม่ไหวใช่ไหม มันไม่มีแรงดันออกน่ะ รูมันน้อยเดียวน่ะ ๆ แสงสว่างปลายอุโมงค์น้อยเดียว เหมือนดวงดาวน่ะ รู้แล้วว่าทางออกมีอยู่ทางนี้ทางเดียว เอเสวะมัคโค ทางนี้ทางเดียวเท่านั้น ทางอื่นไม่มีที่จะพาพ้นทุกข์ ทางอื่นไม่มีที่จะออกได้นะมันมีทางนี้ทางเดียวนะ รู้แล้ว มันไม่พุ่งออกแรง ๆ จะออกได้ไหม ไม่ได้ ต้องเล็ง รวบรวมกำลังสุดชีวิต กำลังหมดแรงแล้ว ต้องมาทางนี้แหละทางหัวนี่แหละแล้ว พุ่งออกทางหาง ถอยไปจนจดหัวช้าง
ดูความฉลาดนะ ๆ แหม! พระโพธิสัตว์นะ อวตารไปเกิดอยู่ในสุนัขจิ้งจอก ฉลาดที่จะออก ก็สู้ตายเลยนะทีนี้ หาทางเอาตัวรอด เจอวิบากหนักแล้วหาทางรอด ถอยไปจนจดหัวช้าง ตั้งลำเต็มที่เลย กัดฟันสู้เต็มที่ วิ่งไปโดยเร็ว เอาหัวชนวัจมรรคออกไปได้ ว่าอย่างนั้น โอ้โห! วิ่งไปอย่างแรง ชนวัจมรรคออกไปได้ เพราะว่าร่างกายของมันซูบซีดเหี่ยวแห้ง ร่างกายก็ไม่ได้กินข้าวกินน้ำแล้ว ขนทั้งหมดก็เลยติดอยู่ที่วัจมรรคนั่นเอง ขนนี่ลอกหมด ไม่มีขนเลยมีแต่หนังนะ ลอกออกหมดเลย ก็ตัวใหญ่นะ ทางออกมันก็เล็กนิดเดียวนะ แล้วตัวเองก็ไม่แข็งแรงด้วยนะ มันซูบซีดหมดแล้วล่ะนะ โอ้โห! ขนก็หมด เหลือแต่ตัว
มันมีจิตสะดุ้ง ด้วยสรีระอันไร้ขน สะดุ้งเลย โอ้โห! เราไม่มีขนเลย ถลอกหมด ไร้ขนเหมือนลำตาล โอ้โห! ไม่มีขนเลยเหมือนลำตาลเลย วิ่งไปครู่หนึ่ง กลับนั่งมองดูสรีระแล้วสลดใจว่า ทุกข์นี้ของเราสิ่งอื่นมิได้ทำให้เลย ไม่มีใครทำให้เลยทุกข์นี้ละนะ ตัวเองทำเองแท้ ๆ เลย สิ่งอื่นมิได้ทำให้เลย แต่เพราะความโลภเป็นเหตุ โลภแล้วนะ ความโลภอยากได้สุขใจที่ได้ดั่งใจนะ อยากได้สบาย ๆ ไม่คิดถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นน่ะ ไม่คิดถึงอันตรายเลย เห็นแต่ความสุขความสบาย เห็นแต่สุขสบาย เห็นแต่ได้มาก เห็นแต่โลภได้มาก เป็นเหตุเพราะความโลภเป็นตัวการ
เราอาศัยความโลภก่อทุกข์นี้ไว้เอง ไม่ได้โทษใครนะนี่ ระลึกได้ เรานี่มันอาศัยความโลภนี่ก่อทุกข์นี้ไว้เอง บัดนี้นับแต่นี้เราจะไม่ยอมอยู่ในอำนาจของความโลภ เห็นไหมเกิดปัญญาขึ้น เกือบตาย ๆ ทั้งหิว ทั้งทรมาน ทั้งทุกข์ใจ เกือบตาย ขึ้นชื่อว่าซากช้างละก็เราจะไม่ขอเข้าไปอีกต่อไป ไม่ควรเข้าไปอีกแล้วซากช้าง ไม่เอาอีกแล้ว ไม่ไหว ซากช้างละก็เราจะไม่ขอเข้าไปอีกต่อไป ดังนี้แล้ว คาถานี้ ความว่า;
“ไม่เอาอีกแล้ว ไม่เอาอีกละ เราจะไม่ขอเข้าสู่ซากช้างซ้ำอีกละ เพราะเวลาอยู่ในท้องช้าง ถูกภัยคุกคามเจียนตาย” ปางตายเลย ดังนี้ เป็นเพียงนิบาต ก็ในคาถาทั้งหมดนี้มี อรรถาธิบายดังนี้ว่า ; ก็ต่อแต่นี้ไป เราจะไม่เข้าไปอีกละ ได้แก่ เราจะไม่ขอเข้าไปสู่ซากช้าง คือสรีระของช้าง หลังจากที่พูดไว้ว่า ไม่เอาอีกแล้ว ดังนี้ เพราะเหตุไร? เพราะว่า เวลาอยู่ในท้องช้าง ถูกภัยคุกคามแทบตาย อธิบายว่า เพราะเราถูกภัยในการเข้าไปทั้งนี้ทีเดียว คุกคามแทบตาย คือต้องถึงความสะดุ้งความสลดใจ เพราะความกลัวตาย โอ๋! มันทุกข์เลยนะ
ก็แลสุนัขจิ้งจอกนั้น ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็หนีไปจากที่นั้นทันที ขึ้นชื่อว่า สรีระช้างตัวนั้นหรือตัวอื่น มันจะไม่ยอมเหลียวหลังไปมองดูอีกเลย
ต่อจากนั้น สุนัขจิ้งจอกนั้น ก็ไม่ตกอยู่ในอำนาจของความโลภ มีปัญญารู้แล้วเพราะว่าโลภนั่นแหละเกือบตาย เพราะโลภนี่แหละ หลงสุขใจที่ได้ดั่งใจ โอ้โห! สุขใจที่มันได้อะไรสบาย ๆ แล้วไม่ดูความปลอดภัยว่ามันเป็นโทษเป็นภัยอะไรบ้าง หน้ามืดไปหมดน่ะ หน้ามืดไปหมด เหมือนกันนั่นแหละกับคนเสพกิเลสนี่นะ เสพสุขใจที่ได้ดั่งใจมันหน้ามืดไปหมดเลยนะ มันจะเอาสุขใจที่ได้ดั่งใจ มันไม่รู้เลยว่าสุขนั้นก็ไม่มีเก็บไม่ได้ กลับมาช่วยไม่ได้นะนั่นน่ะ เห็นไหม
สุขที่อยู่ในท้องช้างน่ะกลับมาช่วยได้ไหม ได้กินอะไรในท้องช้าง ดั่งใจหมายน่ะ สุขใจที่ได้ดั่งใจกลับมาช่วยได้ไหม เวลาเจอภัย ไม่ได้เลย ได้กินตับ ไต ไส้ พุง เลือด ได้กินอะไรอร่อย ๆ อร่อยทั้งนั้นเลย สุขใจนะ เวลามีภัยช่วยได้ไหม ไม่ได้เลยเห็นไหม เป็นสุขที่ช่วยชีวิตไม่ได้เลย แต่เป็นทุกข์ไหม เป็นทุกข์สิ ใช่ไหม เพราะสุขใจที่ได้ดั่งใจเพิ่มทุกข์ใจที่ไม่ได้ดั่งใจเข้าไปใช่ไหม เพิ่มไปเรื่อย ๆ ทีนี้มันก็ทุกข์แรง เวลาไม่ได้ดั่งใจ สุขก็หมดไปแล้ว แต่ทุกข์นั่นแหละแรงขึ้นไปเรื่อย ๆ พอไม่ได้ดั่งใจทีนี้อาหารก็ไม่มีกินน้ำก็ไม่มีกิน แสงสว่างก็ไม่มี โอ้โห! จะตายเอาสิทีนี้ อดโซจะตายเอา ทางออกก็ไม่มี โอ้โห! ทุกข์แรงขนาดไหน จะตายเอาสิทีนี้ ใช่ไหมล่ะ สุขที่ได้ดั่งใจนั้นน่ะมันช่วยอะไรไม่ได้เลย หายไปหมดแล้วเหลือแต่ทุกข์ที่แรงขึ้น ๆ
พอออกมาได้นี่ รู้เลย จะออกมาเป็นอย่างไร จะออกมาง่าย ๆ ได้ไหม ไม่ง่ายนะ จะออกมาจากกิเลสน่ะต้องเจ็บปวดนะ ต้องพุ่งออกสุดชีวิตนะต้องเจ็บปวดนะ ต้องหนังถลอกนะ ต้องขนร่วงนะ ขนร่วงหนังถลอกนะถ้าออกมา
แล้วต้องพุ่งออกเต็มที่เลย ออกจากกิเลสไม่ใช่ออกง่าย ๆ นะ ไปปล่อยให้มันโตขึ้น ๆ ปราบมันยากนะ แล้วมันจะทุกข์แรง กิเลสโตขึ้นมันจะทุกข์แรง ทุกข์ใจที่ไม่ได้ดั่งใจ ทุกข์กายเรื่องร้ายมันจะแรง กิเลสโตขึ้นออกมามันจะเจ็บปวด แสบนะนั่น พุ่งสุดแรงเกิดนะถึงจะออกได้ เหยาะเเหยะ ๆ ไม่ออกนะ ต้องพุ่งสุดแรงเกิดนะออกมา เจ็บปวดไปหมดเลยหันกลับไปอีกทีขนร่วงหมด เป็นอย่างนั้น อย่างนี้เป็นต้น น่ากลัว ๆ
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้วตรัส ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่ากิเลสที่เกิดขึ้นภายใน ต้องไม่ให้พอกพูนได้ ขนาดแม้แต่อยู่ภายในไม่แสดงออก อยู่ข้างในไม่แสดงออก ต้องไม่ให้พอกพูนได้ อย่าให้มันพอกพูน แม้มันอยู่ข้างในน้อย ๆ ไม่แสดงออกก็อย่าให้พอกพูน ควรข่มเสียทันทีทันใดทีเดียว เห็นแล้วจัดการเลย อย่าให้มันพอกขึ้นไปโตขึ้นไป อย่าไปคิดได้ดั่งใจสุขใจชอบใจ ไม่ได้ดั่งใจทุกข์ใจไม่ชอบใจ อย่าไปคิดตามมัน เข้าใจตามมัน คิดตามมัน มันโตไปเรื่อย ๆ เลยนะ ต้องคิดว่า เราต้องสร้างทุกข์มากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อมาแลกสุขที่ไม่มี ครั้งแล้วครั้งเล่า โง่ตายเลย บ้าแล้วมันทุกข์เเล้ว มันไม่ควรทำ พิจารณาให้ชัด แล้วสลายไปเอาสุขที่ไม่มีภัย มันก็จะหมดสุขใจที่อยากได้ดั่งใจ สุขใจที่ได้ดั่งใจ หมดทุกข์ใจที่ไม่ได้ดั่งใจ หมดทุกข์กายเรื่องร้ายตลอดกาล กลายเป็นสุขที่ไม่มีทุกข์
มันต้องเป็นอย่างนั้น เอาสุขที่ไม่มีทุกข์ดีกว่า เราก็พ้นทุกข์เป็นพลังเหนี่ยวนำคนอื่นได้มากที่สุดด้วย แล้วตรัสประกาศสัจจะทั้งหลาย ทรงประชุมชาดกในเวลา จบสัจจะ ภิกษุที่เหลือแม้ทั้ง 500 รูป ก็ดำรงอยู่ในพระอรหัตผลเป็นพระอรหันต์เลย ฟังเข้าใจชัดก็ไม่เก็บกิเลสที่เหลือไว้เลย จัดการเลย นี่กิเลสกำลังแตกตัว ท่านรู้กิเลสกำลังแตกตัว กำลังจะกลับไปเสพอีกเพราะว่าบ้านช่องเรือนชานก็มี ลูกเศรษฐีทั้งนั้นเลย จะกลับไปอีก มีหมดบ้านช่องเรือนชาน กลับไปอีกก็จะเสพได้อีกเหมือนเดิมนั่นแหละ เยอะแยะ ท่านก็บอกโอ้โห! ตายแน่ ๆ กลับไปเสพนั่นมันตกนรกอีกแน่ ฟังเข้าใจชัดโอ้โห! ดำรงอยู่ในพระอรหัตผล ในบรรดาภิกษุที่เหลือเล่า บางเหล่าก็ได้เป็นพระโสดาบัน นี่ 500 รูปที่ท่านมุ่งหมายก็ได้เป็นพระอรหันต์เลย
จริง ๆ ท่านรู้ว่า 500 รูป ที่ว่ากิเลสกำลังจะโตขึ้นไปนั้น แท้ที่จริงท่านลดกิเลสไปเยอะแล้ว เหลืออยู่ในรูปภพ อรูปภพ หรือระดับอรูปภพเหลือกิเลสนิดเดียว กิเลสนิดเดียวนะ แต่ว่าอันตรายมาก อยู่นิดเดียวระดับอรูปภพเลย 500 รูปที่ท่านเหลือนี่ ขนาดเหลืออรูปภพอย่างนี้ ท่านไปบอกว่า มาเราจะสอนวิธีลดกิเลส ไม่เอานะนั่นอ่ะ เหลือแค่รูปภพนี่ไม่เอา ยิ่งฉลาดด้วย กิเลสบางตัว ท่านรู้ตัว อย่าเลยพระองค์อย่ามาเทศน์เลยเดี๋ยวกิเลสตาย เดี๋ยวจะเสียความสุขไป สุขที่ข้าพเจ้าหวงแหนมันจะหมด ลดมาก็ตั้งเยอะแล้ว ยังจะมาเทศน์เราเอาอะไรอีก มันก็ลดมาตั้งเยอะแล้วเหลืออยู่นิดเดียว พระองค์อย่ามาเทศน์เลย อย่ามาเทศน์ให้มันหมดเลย มันเหลืออยู่นิดเดียว ก็เหลืออยู่เท่านี้ จะไม่ให้เสพเลยหรืออย่างไร รู้ตัวนะพวกนี้ มันไม่เอา เลี่ยงเลยนะ
เหลือกิเลสนิดเดียว พระองค์เหลือเอาไว้ดูหน่อยเถอะ พระองค์อย่ามาเทศน์ให้หมดกิเลสเลย เทศน์ไปเดี๋ยวหมดกิเลสเดี๋ยวจะหมดสุข มันมิจฉา มันก็กลัวว่ามันจะหมดความสุข จะไม่มีความสุขไว้เสพอีกแล้ว เหลือไว้นิดเดียวก็เสพว่าไม่เป็นไรหรอก อยู่ในใจเบา ๆ แผ่ว ๆ เฉย ๆ พอได้ระลึกถึงอย่างโน้นอย่างนี้ ได้เสพก็ยังสุขอย่างโน้นอย่างนี้อยู่ น่าจะกลับไปเสพอีก มันก็ปรุงไป มันไม่มีทุกข์อะไร หรอกเบาขนาดนี้แล้ว กลับไปเสพอีกก็ไม่ทุกข์อะไรหรอก สุขดี มันก็อย่างนั้นแหละ มันก็จะรู้สึกอย่างนั้นแหละ ขนาดว่าเป็นอนาคามี เหลือแค่อรูปภพอย่างนี้ ยังหลบ ๆ เลี่ยง ๆ เวลากิเลสมันออกฤทธิ์ยังหลบ ๆ เลี่ยง ๆ ไม่ยอมกำจัดมัน
พระพุทธเจ้าก็รู้พระองค์ฉลาดพระองค์มีพระปัญญาธิคุณ พระมหาปัญญาธิคุณก็รู้ว่าจะไปบอกโดยตรงว่าจะมาเทศน์กำจัดกิเลสอันนี้ไม่บอก จะไปบอกแต่ 500 รูป เดี๋ยวระแวงเอามาหมดเลยบอกมาหมด มาประชุมกันปนกันมาหมดเลยแล้วก็แสดงธรรมไปไม่ระบุ บางคนก็มีอัตตามานะด้วย บางคนมีอัตตามานะไม่ต้องมาเทศน์หรอก ไม่ต้องมาบอกหรอกลดมาได้ตั้งเยอะแล้ว แค่นี้ขี้ปะติ๋วเดี๋ยวจัดการเมื่อไรก็ได้ มันอย่างนั้น เป็นอนาคามี มีอัตตามานะ ศักดิ์ศรียิ่งเป็นลูกคนรวยด้วยรู้ว่าตัวเองรู้มาก แต่ละคนก็กร่างมีศักดิ์ศรีจะไปเรียกมาเฉพาะบุคคล ไม่เอาเสียศักดิ์ศรี อนาคามีก็มีศักดิ์ศรี อย่าคิดว่าไม่มีศักดิ์ศรี กิเลสสารพัดอย่าง อุปกิเลสเก่งจะตาย ซ้อนอยู่ในนั้นสารพัดลีลาท่านก็ต้องยิงลูกชิ่ง เทศน์รวมเอา อย่าไประบุว่าเธอมันเหลืออยู่เล็กน้อย ไม่ต้องเก็บเอาไว้หรอกจะไประบุคนไม่ได้หรอกท่านก็เทศน์รวม ๆ ไป
พระพุทธเจ้ามีศิลปะท่านรู้ท่านเทศน์รวม ๆ ไปเอามา มาทั้งหมดนั้นแหละ ใครมาก็มามีเท่าไรมาให้หมด ไม่ไประบุเพราะท่านมีพระสัพพัญญุตญานของท่าน กิเลสนี่มันกลัวว่ามันจะสลายจริง ๆ น่ะมันกลัวว่าสุขใจที่ได้ดั่งใจมันจะหายไป มันกลัวว่าจะหมด เล็กน้อยมันก็อยากเก็บไว้ เป็นอะไรก็ไม่รู้ เล็กน้อยก็ยังโง่ได้นี่ดูความโง่ของกิเลสเล็กน้อยก็โง่ได้ เล็กน้อยก็ไม่อยากให้มันหมดนี่มันจะไม่เหลืออะไรอยู่แล้ว มันเหลือนิดเดียวขอเอาไว้เสพหน่อยแทนที่เหลือเล็กน้อยเอาให้หมดเลยสลายให้หมดเลยไม่หรอกเหลือเล็กน้อยขอเอาไว้เสพหน่อยมันกลับหัวอย่างนั้น มันมีศักดิ์ศรีมาบังอยู่ท่านรู้มากแล้วท่านไม่ต้องห่วงหรอกท่านลดมามากแล้วท่านไม่ต้องห่วงไม่ต้องกลัวหรอกอย่างไรก็ไม่กลับไปเสพอีกหรอกไม่ต้องมาเทศน์ก็ได้ ไม่ต้องมาย้ำก็ได้จะหลบ ๆ หลีก ๆ ไปนู่นไปนี่เอาตามใจตัวเองแง่นั้นเชิงนี้
ร้าย กิเลสมันร้ายสุขในชั่ว สุขในดี สุขในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ในชั่วในดีเหลี่ยมนั้นมุมนี้ยิ่งในดีอย่าไปแตะเชียวน่ะ ติดดีของเขานี่ของดี ดีมากเป็นประโยชน์ได้ดั่งใจจะสุขใจชอบใจ ไม่ได้ดั่งใจจะทุกข์ใจไม่ชอบใจอย่างนั้น อย่ามาแตะนี่ของดี สิ่งดี ๆ นั้นแหละติดลึกนัก ยากที่จะรู้ได้แต่ พระพุทธเจ้าพอรู้ก็มาเทศน์มาสอน ในนั้นมันมีทั้งติดชั่วติดดีอยู่ในท้องช้าง ติดชั่ว ติด รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสแม้แต่ดีสบายกินไปตลอดดีสบาย ๆ มันก็ยังมีทุกข์ ดีก็ยังมีทุกข์ อย่าไปติด สภาพที่มีอยู่มีกินตลอดติดเป็นอย่างไรได้ดั่งใจจะสุขใจชอบใจ ไม่ได้ดั่งใจจะทุกข์ใจไม่ชอบใจทุกข์กายเรื่องร้ายต่อเนื่องไป
แม้แต่สภาพดี ๆ เหลี่ยมนั้นมุมนี้ก็ติดไม่ได้ ถ้าไม่ได้ดั่งใจก็ต้องสุขใจให้ได้ แล้วมันก็จะไปสู่สภาพที่ได้หรือไม่ได้ดั่งใจก็สุขใจให้ได้อย่างนี้เป็นต้น ละเอียด แต่พอภิกษุ 500 รูปท่านได้ฟังก็เข้าใจกำจัดกิเลสเล็กน้อยที่เหลือ ทันทีเลยเป็นอรหันต์เลย ภิกษุที่เหลือแม้ทั้ง 500 รูปก็ดำรงอยู่ในพระอรหัตผลพ้นทุกข์เลยเห็นสุขอันยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่ สุขที่ไม่มีทุกข์โทษภัยใด ๆ เลย ได้ดั่งใจไม่ได้ดั่งใจก็สุขใจได้ยอดเยี่ยมในบรรดาภิกษุที่เหลือ บางเหล่าก็ได้เป็นพระโสดาบัน ท่านอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเป้าหมาย 500 รูปท่านอื่น ๆ ที่มาฟังกับเขาไปด้วยเลยได้อานิสงส์ไปด้วย บางเหล่าเป็นพระโสดาบัน บางเหล่าเป็นพระสกิทาคามี บางเหล่าเป็นพระอนาคามีเป็นอย่างนี้ตอนนั้น ก็ในกาลครั้งนั้น สิคาลชาดก(จิ้งจอก) ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล จบ อรรถกถาสิคาลชาดกที่ 8
เห็นไหมการจะออกจากกิเลสได้มันไม่ใช่ง่ายเลยนะ ขนาดระดับอนาคามียังหวงกิเลสอยู่เลยคิดดู สิแล้วที่หนากว่านั้นจะไม่หวงได้อย่างไร จะไม่โง่หรืออย่างไร โง่กว่านั้นอีก หวงกว่านั้นอีก ระดับอนาคามีกิเลส นิดเดียวยังทุกข์มาก
พระพุทธเจ้าไม่เอาไว้เลยนิดเดียวท่านก็ไม่เก็บไว้นิดเดียวก็ทุกข์แรง เหลือกิเลสไว้นิดเดียวเวลาไม่ได้ดั่งใจเรื่องนั้นมันจะสั่นไหวแรง แล้วคนเรามันจะได้ดั่งใจตลอดไหม ไม่หรอกติดเรื่องดีนิดเดียวได้ดั่งใจนิดเดียวถูกใจชอบใจ ไม่ได้ดั่งใจ ทุกข์ใจไม่ชอบใจ พอไม่ได้จะสั่นไหวแรงเลยนะ ข้างในจะรู้เลยว่า เหมือนกับเราไม่ติดน่ะแต่พอไม่ได้เข้าจริง ๆ จะออกอาการ ปรี๊ด ขึ้นมา
ตอนคิดมันก็ยังพอคิดได้ ไม่ได้ดั่งใจไม่เป็นไรหรอก พอวางใจได้ แต่พอสัมผัสสภาพนั้นจริง ๆ ความคิดกับความจริงไม่เหมือนกัน เหมือนกับใครที่เขาไม่เจอเหตุการณ์ ร้ายไปปลอบใจคนอื่นเฉย เลย ญาติเสียชีวิต ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปวางใจนะรู้ธรรมะหมดเป็นธรรมดา ไม่ต้องไปทุกข์อะไรหรอก คนเป็นไปตามกรรมของแต่ละชีวิตทำความดีไปวางใจนะตัวเองก็วางใจได้ด้วยเพราะว่าตัวเองไม่ได้ทุกข์ อะไรสบายใจดี แล้วก็เข้าใจความจริง ถ้าเราเป็นอย่างไรก็วางใจได้เหมือนกันนั่นแหละไม่ต้องไปทุกข์อะไรหรอกยิ่งคนเรามีความสุขไปเรื่อย ๆ เหมือนตัวเองวางใจได้ เสร็จแล้วเป็นอย่างไร
กำลังปลอบเขาอยู่ดี ๆ ข่าว เขามาบอก ว่าญาติที่เรารักที่สุดเสียชีวิตเป็นอย่างไร อาการที่วางใจได้ช่วยเราได้ไหมช่วยไม่ได้เลยอันที่สอนเขามาทั้งหมด มันออกอาการไม่ธรรมดานะมีอย่างนั้นจริง ๆ ทุกข์อย่างหนัก เลย เป็นลมกว่าคนที่เราไปปลอบนั้นอีก เอาเข้าจริง เสียจริง ๆ มันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดที่พูด ๆ ปากดีทั้งนั้นเอาเข้าจริงไม่เป็นอย่างนั้นถ้าเราไม่ลดกิเลสจริง มันออกอาการ ขนาดตั้งใจจะไม่กินของที่มีพิษตั้งศีลเลยใช่ไหม ตอนยังไม่ไปเห็นมันเหมือนจะชนะเลยชัดเจนมีพิษมีภัยทฤษฎีได้หมดทุก อย่างทั้งรูปทั้งนาม วัตถุก็เป็นพิษ
จิตต้องพิจารณาอย่างนี้ มันถึงจะชนะกิเลสใช่ไหม แต่พอไปพบเข้าจริง ๆ เป็นอย่างไร ที่ชอบเป็นอย่างไร เอ๊ะ!ไม่กินมันไม่สดชื่นมันทุกข์อย่างไรไม่รู้ ถ้าได้กินมันจะสุขถ้าไม่ได้กินมันจะทุกข์ มันทุกข์อย่างไรไม่รู้นะแต่ก่อนไม่เห็นมันก็สุขอยู่ดี ๆ คิดว่าจะตัดได้ด้วยนะมันไม่น่าจะมีปัญหาอะไรตั้งหลักตั้งลำเป็นอย่างดีเลยพอไปเห็นถ้าไม่กินมันทุกข์แน่เลย เสียดายเขาอุตส่าห์ทำมา นาน ๆ มาทีนะ นี่ถูกใจด้วย ของชอบ จะไม่กินก็จะขาดทุนชีวิต คราวหน้าค่อยถือศีลก็ได้หรอกคราวนี้กินไปก่อนน่าจะดี เรารู้แล้วถือศีลจะทำอย่างไร ถ้าไม่กิน มันใจอย่างไรไม่รู้มันไม่โปร่ง ในใจ
ชีวิตมันไม่ควรจะทุกข์ กินดีกว่าจะได้ไม่ต้องทุกข์ ปฏินิสสัคคะ โน่น รู้ภาษาธรรมะอีก อยากรู้ว่าติดแค่ไหนติดอย่างไร รู้ภาษาธรรม ชีวิต อย่าไปยึดมั่น ถือมั่นเลยคิดออกไปหมด กินมันดีกว่าดีที่สุดแล้ว แล้วก็กินเข้าไป ตอนตั้งศีลมาไม่เห็นจะมีเหตุผลพวกนี้เลย กิเลสไม่ดีไปหมดเลยตอนตั้งศีล ไม่มีดีสักอย่างเลย กิเลสนะ พอไปเจอของจริงเข้ากิเลสดีทุกอย่าง พุทธะไม่มีดีสักอย่างเลย ดีอยู่เหมือนกันแต่เอาไว้ดีวันหน้า วันนี้อย่าเพิ่งดีเลยพุทธะ วันหน้าค่อยดีก็แล้วกัน วันนี้เอากิเลสดีกว่าก่อนก็แล้วกันเห็นไหมล่ะ
กิเลสมันมีจริง ไม่ธรรมดาจะบอกให้เหตุผลมาจากไหนก็ไม่รู้ที่จะทำตามกิเลสครบสูตรเลยจะบอกให้ทุกข์จริง ๆ ไม่กินก็ไม่โปร่งจริง ๆ ไม่โปร่งอย่างไรไม่รู้ ถ้าไม่ กินวันนี้เห็นไหมจิตใจเราไม่ผ่องใสเลย ว่าแล้วกินดีกว่าจะได้ผ่องใส
สุขไม่มี ๆ มีแต่ทุกข์ ทุกข์อยู่นี่ยังจะบอกว่าสุขอยู่อีก ด่ามันเข้าไปจี้มันเข้าไป ที่ไม่เสพอยู่นี้ทุกข์ไม่ใช่หรืออย่างไร ยังจะบอกว่าสุขอยู่อีก เออ !ใช่ เสร็จแล้วมีปัญญา เออ!ใช่ทุกข์อยู่นี่ ยังจะเก็บไว้อยู่อีกทุกข์อยู่นี่ เพราะอะไรเพราะไปอยาก อยากได้สุขที่ไม่มีถึงได้ทุกข์อยู่อย่างนี้สอนเข้าไปพิจารณาเข้าไป ไม่ไปอยากได้สุขที่ไม่มีจะไปทุกข์อะไรเล่า ไม่ทุกข์ก็สุขแล้วพิจารณาซ้ำ ๆ เข้าไปมันสลายเราก็จะเห็นไม่มีทุกข์ใจที่อยากได้สุขที่ไม่มี มันไม่มีทุกข์ใจที่ไม่ได้สุขที่ไม่มีผ่องใสขึ้นมาเลยเห็น เลยไม่มีทุกข์สุขสบายที่สุดเลย เอานี้ดีกว่าเอาสุขที่ไม่มีทุกข์ดีกว่าก็จะเห็นความต่างของสุขแบบพุทธะกับสุขแบบกิเลส สุขแบบกิเลสมีทุกข์ไม่รู้จบ สุข แบบพุทธะทุกข์รู้จบ
สุขที่เป็นอมตะนิรันดร์กาลอย่างนี้เป็นต้น ก็ตั้งศีลกิเลสแม้น้อยก็ทุกข์มาก พระพุทธเจ้าจึงตรัสกิเลสแม้น้อยมีพิษมากมีทุกข์มาก อย่าไปไว้หน้ามัน กิเลสมันโตเราต้องพากเพียรลดลงไป นั่นหมายความว่ากิเลสโต ๆ เราลดได้นิดเดียวก็มีประโยชน์มาก ลดไป ลดได้นิดเดียวก็มีประโยชน์มากลดไปได้เท่าไรก็เอาลดลงไปสุดความสามารถของเรา แต่ละวัน ๆ ลดลงไป ๆ ให้เหลือน้อยเดียว
กำจัดให้หมดเราจะได้ประโยชน์มากลดกิเลสได้นิดเดียวก็มีประโยชน์มากจำไว้ ไม่ต้องพูดถึงเลยลดได้หลายนิด จะมีประโยชน์ขนาดไหน แม้มันเหลืออยู่นิดเดียวก็อย่าไปเก็บเอาไว้ มันทั้งแตกตัวได้แล้วก็จริง ๆ มันทุกข์มาก ตัวมันเองก็ทุกข์มากกำจัดมันได้เราก็จะเห็นว่าสุขมาก เป็นประโยชน์มากเอามากำจัดจะได้ไม่ต้องแตกตัว เอานะ ออกจากท้องช้างให้ได้นะมันได้หลงเข้าไปแล้วพากันออกให้ได้พากเพียรออกจากท้องช้างให้ได้กันทุกท่าน สาธุ