คุณจิตรา พรหมโคตร อดีตข้าราชการครู ได้ลาออกเนื่องจากความเจ็บป่วย เป็นโรคภูมิแพ้ ริดสีดวงทวาร ซึ่งเกิดจากความเครียด ต้องใช้เสียงมาก ในอดีตใช้การรักษาแพทย์แผนปัจจุบัน โดยการใช้ยาแก้ภูมิแพ้ ทำให้ง่วงนอนซึ่งมีผลกับการทำงาน
ส่วนโรคริดสีดวงทวารนั้น เป็นตั้งแต่อายุ 18 ปี เกิดจากระบบขับถ่ายของตัวเองไม่ดี เวลาเป็นหนักๆ เลือดจะออกมาจนเกือบเป็นลม ยิ่งใช้ยาเคมีมากๆ สุขภาพก็ยิ่งแย่ลง ประกอบกับมีความเครียดจากการทำงาน จึงตัดสินใจลาออกจากข้าราชการครู
ต่อมาปี 2555 มีอาการวัยทอง ไม่สบายรุนแรง โชคดีที่เพื่อนให้ไปค่ายสุขภาพฯของหมอเขียว (ดร.ใจเพชร กล้าจน) จึงนำมาทดลองปฏิบัติที่บ้าน
จากอดีตที่เคยแพ้ยาเกือบทุกตัว ผลกระทบจากการแพ้ยา ส่งผลให้ร่างกายแทบรับไม่ไหว หลังจากที่ได้เริ่มทดลองใช้เทคนิคการดูแลสุขภาพพึ่งตนด้วยหลักแพทย์วิถีธรรมหรือยา 9 เม็ดของหมอเขียว ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ ประหยัดค่าใช้จ่ายเพราะใช้ของใกล้ตัว ในตัว ใช้ง่ายและเป็นธรรมชาติ ไม่ใช้สารเคมี
ในการใช้น้ำปัสสาวะ หลังจากออกจากครูแล้ว ไม่สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ จึงหันมาใช้น้ำปัสสาวะ โดยใช้มาตลอดตั้งแต่แรก คือใช้ในการดีท็อกซ์สวนล้างลำไส้ใหญ่ ใช้ดื่ม ซึ่งทุกอย่าง ได้ทดลองด้วยตัวเองมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นแผลจากมีดบาด เป็นตาปลา เป็นโรคผิวหนัง เนื่องจากเป็นคนแพ้ทุกอย่าง จึงใช้น้ำปัสสาวะในการทากันแดด แม้กระทั่งแดดเปรี้ยง ก็ไม่รู้สึกร้อน แต่กลับรู้สึกเย็นสบายดี แม้กระทั้งผมของตนเอง ก็ใช้น้ำปัสสาวะโดยได้ทดลองทั้งแบบสดและหมัก 8 เดือน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำปัสสาวะที่หมักไว้ 8 เดือนจะมีประสิทธิภาพสูงจริงๆ เพราะมีค่าความเป็นด่างสูง เคยได้ทดลองใช้กับพ่อบ้านที่เป็นโรคสะเก็ตเงิน ส่วนในเรื่องกลิ่นของน้ำปัสสาวะหมักนั้น กลิ่นจะฉุนหรือไม่นั้น อยู่ที่อาหารที่เรารับประทาน หลังจากได้เข้าค่ายสุขภาพฯ หมอเขียว ตนเองก็ได้ปรับอาหาร โดยปรุงด้วยเกลือเป็นหลัก ไม่รับประทานเนื้อสัตว์และอาหารที่มีรสจัด ด้วยเหตุที่ตนเองมีโรคประจำตัว จึงทำให้ได้ฝึกฝน ทดลองในการรับประทานอาหารสุขภาพอย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นเวลาเอาไปหมัก น้ำปัสสาวะจะไม่มีกลิ่นฉุนเลย ซึ่งเนื้อสัตว์นั้นก็มีส่วนที่ทำให้น้ำปัสสาวะมีกลิ่นฉุนเหมือนกัน อีกอย่างคือ ถ้าน้ำปัสสาวะไปถูกเสื้อผ้าจะมีกลิ่น แต่ถ้านำน้ำปัสสาวะไปอาบน้ำ ชโลมและปล่อยให้แห้งนั้น จะไม่มีกลิ่นเลย
ปัจจุบัน ใช้น้ำปัสสาวะมาแล้วกว่า 4 ปี ไม่ได้ใช้ยาเคมี ร่างกายแข็งแรงขึ้น โดยดื่มในตอนเช้าและเย็น ไม่ได้ไปหาหมอโรงพยาบาลเลย แต่ถ้าจะมีวิบากเหมือนเมื่อตอนมาค่ายแฟนพันธุ์แท้ เมื่อเดือนตุลาคม ปี2558 เกิดอุบัติเหตุไปเตะเหล็ก กระดูกนิ้วโป้งหัก ก็ไปหาหมอที่โรงพยาบาล รับยามาแต่ไม่ได้กิน ก็ใช้น้ำปัสสาวะแช่และทา
ประโยชน์ที่ได้จากการใช้น้ำปัสสาวะ ที่เห็นๆคือในเศรษฐกิจยุคนี้ การที่เราใช้น้ำปัสสาวะ สามารถช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ ทั้งยังเป็นวิธีการที่ประหยัด เรียบง่ายและไม่มีอันตรายอีกด้วย นอกจากนี้ในน้ำปัสสาวะมีสารอินเตอร์เฟอรอน (Interferon) เป็นสารที่แก้ภูมิแพ้ โดยส่วนตัวคือใช้น้ำปัสสาวะในการสูดเข้าทางจมูก ภูมิแพ้ที่ตัวเองเป็นดีขึ้นและหาย ซึ่งมักจะทำในช่วงตอนเช้า ทำมาเป็นระยะเวลาประมาณ 1 ปีซึ่งน้ำปัสสาวะในช่วงตอนเช้า ถ้าอาหารเราไม่ปรุงรสจัดหรือใช้ซีอิ้ว น้ำปัสสาวะจะใส และที่สำคัญน้ำปัสสาวะในตอนเช้าจะมีสารเมลาโทนิน เป็นสารรักษาโรคที่มักพบในน้ำปัสสาวะตอนเช้า ช่วยให้จิตสงบและมีสมาธิมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังใช้น้ำปัสสาวะหยอดทั้งหูและตา อดีตเคยเป็นต้อเนื้อ จากที่ต้องใช้ยาหยอดตา ปัจจุบันตาก็ใสและมองเห็นชัดเจน
สุดท้ายอยากจะฝากถึงคนทั่วไป ส่วนมากก็จะเข้าใจผิดคิดว่าน้ำปัสสาวะนั้นสกปรก แต่ถ้าได้ศึกษาธรรมะของพระพุทธองค์ น้ำมูตรคือน้ำปัสสาวะ ถ้าใครได้ศึกษาก็จะทราบว่า ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าได้ใช้น้ำมูตรในการรักษาโรค ประกอบกับถ้าเราได้ศึกษาในทางวิทยาศาสตร์แล้วจะพบว่า น้ำปัสสาวะนั้นกรองมาจากไต ซึ่งอาจารย์(หมอเขียว) ได้บอกไว้ว่า น้ำปัสสาวะเป็นน้ำที่ บริสุทธิ์ สะอาดที่สุดเพราะกรองมาจากไตเป็นชั้นๆ จากการทดลองใช้มา 4 ปี ผลข้างเคียงไม่มีเลย น้ำปัสสาวะเป็นน้ำที่สมดุลในร่างกายเรา เป็นเหมือนวัคซีน เหมือนคนถูกงูกัดแล้วฉีดเซรุ่มเข้าร่างกาย น้ำปัสสาวะก็เช่นเดียวกัน เพราะเป็นส่วนหนึ่งของน้ำเลือดในร่างกายของเรา ที่ไม่ได้ใช้แล้วเรานำมาดื่มกิน ก็จะเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกายเรา ช่วยทำให้เม็ดเลือดขาวแข็งแรงและทำงานมากขึ้น ทำให้ร่างกายเราแข็งแรง