2. บันทึกกลุ่มตัวอย่างจาก ผู้ใช้การแพทย์วิถีพุทธที่เป็นจิตอาสาแพทย์วิถีพุทธ
ระหว่างปี พ.ศ. 2553 – 2558
(ประเภทข้อมูลที่ 10 แบบบันทึกกรณีศึกษาของจิตอาสาและนักศึกษาแพทย์วิถีพุทธ และข้อมูลที่ 12 แบบสอบถามประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ เทคนิค 9 ข้อ)
กรณีศึกษาที่ | 2.11 |
ชื่อ | นางสาวณัฐธยาน์ นาคบำรุง |
เพศ | หญิง |
อายุ | 40 ปี |
จังหวัด | สุราษฎร์ธานี |
อาการ | อาการเส้นตึง ก้มตัวลำบาก ปวดประจำเดือนและน้ำหนักขึ้น |
วันสัมภาษณ์ | 26 ธันวาคม 2557 |
ตั้งแต่เริ่มเรียนปริญญาโท (5 มิถุนายน 2556) ตอนนี้ก็เกือบครบปีแล้ว ร่วมกับการไปร่วมชุมนุมที่ถนนราชดำเนินนาน จะมีอาการเส้นตึง ก้มตัวลำบาก ปวดประจำเดือนและน้ำหนักขึ้น แต่พอประทังอยู่ได้ด้วยการเอาพิษออก การสวนล้างลำไส้ใหญ่บ่อย ๆ กัวซาบ่อย ๆ ขูดตรงไหนก็ได้เดี๋ยวพิษจะขอออกด้วยคนเมื่อเราได้เปิดประตูให้เลือดลมไหลเวียนตรงไหนก็ได้จะดันกันออกเอง ก็ขูดแขนบ้างขูดขาบ้างทำเรื่อย ๆ เท่าที่ทำได้ และที่สำคัญใช้ธรรมะ ไม่ทุกข์ทุกสถานการณ์ ไม่กลัวโรค ไม่เร่งผลให้หายเร็ว ไม่กังวลใด ๆ กับความอ้วนที่ตามมาเกือบ 10 กิโลกรัม แต่ก็พยายามลดอยู่ด้วยการกินมื้อเดียว กินจืด และกินข้าวกะเกลือ (ยาวิเศษ) และที่สำคัญเมื่อใจยอมรับความจริง ก็เลยปล่อยวางกับสิ่งที่เกิด สิ่งที่ได้ สิ่งที่เป็น ในตอนนี้ยังมีอาการปวดมาถึงศีรษะแล้วนะ กัวซาก็ยังปวด กัวยังไงก็ไม่หายหรอก กัวยังไงก็กลับมาเป็นอีกเพราะมีวิบากจากการเสพสุขลวงมาเยอะ ต้องแก้ที่อาหาร ที่เดียวจบ
การสวนล้างลำไส้ใหญ่ของเราก็ทำอย่างง่าย ๆ อยู่บ้านราชห้องน้ำเยอะ เราก็พกสายพร้อมขวดน้ำดื่มไว้ตลอด เข้าห้องน้ำที่ไหนก็ทำได้เลย เพราะใช้น้ำปัสสาวะและน้ำเปล่าเท่านั้น ไม่ต้องไปหาน้ำอุ่น กาแฟ หรือน้ำมะนาวให้ยุ่งยาก แป๊บเดียวเสร็จ เพื่อนไม่รู้หรอกว่าเราทำการสวนล้างลำไส้ใหญ่เสร็จแล้ว
วิเคราะห์โรคของตัวเองตามหลักการแพทย์วิถีธรรม
คือเป็นอาการของภาวะร้อนเกิน ซึ่งยุคนี้คน 80 % มักจะมีภาวะร้อนเกินอาการหลัก (อาการที่ถูกต้อง) คือ เมื่อกระทบอากาศร้อนอาหารหรือสมุนไพรหรือสิ่งที่มีฤทธิ์ร้อนแล้วรู้สึกไม่สบาย เมื่อกระทบอากาศเย็นอาหารหรือสมุนไพรหรือสิ่งที่มีฤทธิ์เย็นแล้วรู้สึกสบาย อาการเด่น (อาการที่มักเป็นในลำดับแรกแต่อาจเป็นสภาพอื่นได้) คือ ปากคอแห้ง กระหายน้ำ ดื่มน้ำแล้วรู้สึกสดชื่น ปวด บวม แดง ร้อน ตึง แข็ง มึน ชา แผลพุพอง ผื่นคัน ปัสสาวะเข้มปริมาณน้อย อุจจาระแข็งกำลังตกอ่อนเพลีย หนักตัว ชีพจรเต้นแรง เส้นเลือดขยายตัว แก้ไขด้วยการใช้สิ่งที่มีฤทธิ์เย็น
สิ่งที่บ่งบอกว่ามีภาวะร้อนเกิน มาจากพฤติกรรมการกินอาหารรสจัด และปริมาณมากเกินกว่าที่ร่างกายจะนำไปใช้ได้หมด จึงเหลือสะสมเป็นน้ำหนักส่วนเกิน การที่ต้องเรียนปริญญาโท ทำให้กิจกรรมส่วนใหญ่มักจะมีแต่การนั่ง ไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหวอะไรมาก ดังนั้นการกินอาหารมากเท่าเดิมทำให้มีการสะสมพิษไว้มาก บวกกับการไม่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำให้เกิดมีอุจจาระเป็นขี้แพะก้อนแข็ง
ตอนนี้อาการดีขึ้นมากเพราะไม่ได้มุ่งเรื่องเรียนอย่างเดียว เพราะจบคอร์สที่ต้องเรียนในห้องเรียนแล้ว จึงกลับมาปรับสมดุลอย่างเข้มข้นขึ้น ใช้เวลาไม่เกิน 10 วัน เริ่มจากการทานมื้อเดียว และทานฤทธิ์เย็นเป็นหลัก ยกเว้นวันที่ฝนตกก็มีทานร้อนบ้าง แต่ช่วงนี้ทานผลไม้หวาน ๆ เยอะเพราะกิเลสอดไม่ได้ ก็ทำให้ยังมีภาวะร้อนมากอยู่การถอนพิษออกจึงเนิ่นช้าออกไปอีก ทำการสวนล้างลำไส้ใหญ่ตามปกติ ทำกายบริหาร โยคะ กดจุดลมปราณทุกวัน ทำให้น้ำหนักตัวลดลง เส้นตึงเบาลงมาก และที่สำคัญอาการปวดประจำเดือนหายไปเลย
ประวัติสุขภาพก่อนรู้จักแนวทางดูแลสุขภาพด้วยหลักการแพทย์วิถีธรรม
แข็งแรง ไม่เคยพบโรคประจำตัว ไม่ทานยาแผนปัจจุบันมานานกว่า 10 ปี ก่อนพบแพทย์วิถีธรรมอาการเจ็บป่วยก็มีแค่ ปวดหัว เป็นไข้ รักษาด้วยธรรมชาติแต่ใช้เวลานานครั้งนึงประมาณ 7 วันที่ต้องหยุดงาน หรือทำงานแบบไม่มีแรงเต็ม ที่รักษานานเพราะไม่รู้วิธีการรับประทานอาหารเป็นยา ปัญหาใหญ่ที่มีคือน้ำหนักเกินมาก เข้าค่ายครั้งแรกหนัก 84 กิโลกรัม
การรู้จักการแพทย์วิถีธรรม
เพื่อนชวนไปเข้าค่ายสุขภาพเมื่อ มีนาคม 2553 คิดว่าไปเป็นเพื่อนกัน และไม่เห็นว่าจะเสียหายตรงไหน คงเป็นวิบากบุญที่เคยทำมาเหนี่ยวนำให้เราคิดอย่างนั้น เพราะไม่ค่อยยอมทำอะไรตามใครง่าย ๆ โดยเฉพาะต้องปิดร้าน ต้องเดินทางไกล ๆ หลังจากไปเข้าค่ายก็ได้ฟังเพลงของคุณหมอเขียว ซึ่งทั้งหมดเป็นเพลงที่สะท้อนปัญหาชีวิต ปัญหาสังคม และเสนอวิธีแก้ไขอยู่ในนั้นพร้อม ฟังแล้วได้พบทางออกของชีวิตหลายอย่าง เช่น ฟังแล้วรู้เลยว่า ชีวิตต้องอยู่กับธรรมชาติ กินอาหารไร้สารพิษ เดินบนดิน กินกลางทรายบ้าง จึงจะมีความสุขทั้งด้านสุขภาพกายและจิตวิญญาณ ถ้าเราสามารถลดละเลิกสิ่งที่เป็นโทษภัยได้มากเท่าไหร่ ชีวิตเราก็จะยิ่งเบาสบายมากขึ้นเท่านั้น
มูลเหตุหรือแรงจูงใจที่มาเป็นจิตอาสาแพทย์วิถีพุทธ
ประทับใจอาจารย์หมอเขียว ท่านจะพูดแต่สิ่งที่ท่านเคยทำ และเคยเห็นมาเท่านั้น นอกนั้นท่านไม่โมเมพูดหรือตอบ ทำให้เรามั่นใจที่จะทำตามคำบอกคำสอนอย่างไม่ลังเล และเห็นมรรคเห็นผลกับตัวเองอย่างแท้จริง และประโยคที่ว่า “ชีวิตที่เรียบง่าย ร่างกายที่แข็งแรง จิตใจที่ดีงาม และจิตใจที่เป็นสุข” นี่เป็นหัวใจที่ทำให้เปลี่ยนตัวเอง เริ่มตั้งแต่กลับจากค่ายแรกก็เริ่มกิน 2 มื้อ ลดเนื้อสัตว์ จากหมู เหลือไก่ ปลา ไข่ นม จนเลิกได้หมดทุกอย่าง ทำอยู่ประมาณ 9 เดือน น้ำหนักลดไป 20 กิโลกรัม
ระหว่างที่ไป ๆ มา ๆ มาเข้าค่ายบอย ๆ ยังไม่ได้เป็นจิตอาสาประจำ ก็ได้ปฏิบัติตนเองที่บ้าน และใช้หลักการพึ่งตนเองไป โดยปลูกผักไร้สารพิษไว้กินเองเพิ่มขึ้น และแยกขยะ เดิมจะทิ้งรวมกันไปหมดทุกอย่าง แต่เดี๋ยวนี้จะแยกส่วนที่เป็นพลาสติกไปทิ้งถังเทศบาล ส่วนเศษอาหารจะแยกไปทำปุ๋ยใส่ต้นไม้ รู้สึกสุขภาพดีที่ได้กินผักไร้สารพิษและได้มีส่วนช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม
สุดท้ายสรุปได้ว่า การแพทย์วิถีธรรมเป็นจุดรวมของทุกสิ่งทุกอย่างที่ชีวิตต้องการ หากชีวิตต้องการแต่สิ่งจำเป็น เช่น อาหารไร้สารพิษ วิธีดูแลสุขภาพ และวิธีทำให้ชีวิตและจิตวิญญาณ มีความผาสุกด้วยสิ่งที่ประหยัดเรียบง่าย ที่นี่มีองค์ประกอบเหล่านั้นพร้อม นอกจากนั้นยังรู้สึกว่า ชีวิตเรามีคุณค่ามากขึ้น เมื่อได้ช่วยเหลือผู้อื่นอย่างเต็มกำลังความสามารถ
ปัญหาในการดูแลสุขภาพของตนเองตามแนวแพทย์วิถีธรรม คือ
ถ้าในชีวิตประจำวันเราไม่มีเวลาถอนพิษ แล้วเกิดการสะสมไปนานหลายวัน จะทำให้ป่วยง่าย เช่น ปวดหัว ตัวร้อน กระทบกับอากาศ อาหารและสมุนไพรฤทธิ์ร้อนไม่ค่อยได้ เพราะเรามีภาวะร้อนเกินมากแล้ว และที่สำคัญจะมาออกตอนมีประจำเดือน อาการคือปวดท้องมาก น้อยครั้งที่ในบางเดือนปวดจนจะเป็นลม ถ้าก่อนหน้านั้นไปรับพิษจากคนไข้มาก็ดี หรือทานอาหารฤทธิ์ร้อนตามใจกิเลสมากเกินไปก็ดี แต่มากเดือนที่ไม่ปวดเลยก็มี ถ้าหากเราดูแลอาหารและถอนพิษออกได้ดีมาตลอด ทางแก้ พยายามลด ละ เลิกกิเลสเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง ด้วยการตั้งตบะแล้วทำเต็มที่อย่างสุดความสามารถเท่าที่มีกำลัง และวางใจเมื่อเจ็บป่วย เป็นวิบากที่เราต้องรับเพราะเราทำมามากกว่านั้น ไม่มีอะไรบังเอิญ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นยุติธรรมกับเราที่สุดแล้ว ปวดก็ทนเอา ถอนพิษเท่าที่มีกำลัง พึ่งตนเองให้มากที่สุด สร้างกุศลให้มากๆ หมดวิบากก็จะหายเอง
ปัญหาอุปสรรคในการช่วยเหลือผู้อื่นด้วยการแพทย์วิถีธรรม คือ
เมื่อก่อนมีเรื่องพรหม 3 หน้า คือยึดดี ต้องการให้ผู้ป่วยปฏิบัติได้ตามที่เราแนะนำ โดยไม่นำคำที่ผู้ป่วยบอกว่าทำได้หรือไม่ได้เพราะอะไรมาพิจารณา แล้วปรับไปตามสถานการณ์จริง สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เราก็ทุกข์ผู้ป่วยก็ทุกข์ ทำให้เราช่วยเหลือผู้คนได้น้อย เพราะเราวางใจไม่ได้กับเขาเราก็เลยไม่อยากแนะนำใคร และคนที่เคยมาปรึกษา ถ้าเขาถือสาเรา เขาก็จะไม่เข้าหาเราอีก ก็มีแต่เสียกับเสีย ปัจจุบันเป็นพรหม 4 หน้าแล้ว คุยได้กับทุกคน ฟังเขาได้นานเท่าที่มีเวลา และให้คำแนะนำเท่าที่เรามีประสบการณ์ แต่เขาจะทำได้เท่าไหร่ก็แล้วแต่เขาจะมีกำลัง ก็เกิดความสุขทั้งผู้ให้และผู้รับ
- ด้านร่างกาย “9 เดือนน้ำหนักลดกว่า 20 กิโลกรัม โดยไม่ต้องเสียเงินสักบาทและภูมิใจมากเพราะเราเป็นคนทำให้เกิดความมหัศจรรย์นี้ด้วยตนเอง”
- ด้านเศรษฐกิจ “เป็นจิตอาสาแพทย์วิถีธรรมไม่มีรายได้ส่วนตัวเลย แต่สามารถที่จะทำประโยชน์ได้มากช่วยเหลือผู้อื่นได้มากเพราะเราอิสระจากภาระทั้งปวง”
- ด้านจิตวิญญาณ “มั่นใจในการใช้ชีวิตเงียบง่าย สงบ สบาย ไม่โลภไม่โกรธไม่หลง” ทนได้ต่อการไม่โต้ตอบแบบแรง ๆ หรือแบบมีอัตตาได้ระดับหนึ่ง เมื่อรูปและนามเปลี่ยนไป ไม่โกรธแรง ๆ หยาบ ๆ ได้แล้วเราก็มีแต่พลังความเย็นในจิตก็ทำให้คนอื่นสัมผัสได้จริงสามารถช่วยเหลือเขาได้มากขึ้น บางครั้งไม่บอกก็ไม่มีใครรู้ว่าเรามีอาการโกรธเบา ๆ เพราะเป็นอาการที่เกิดเฉพาะในมโนกรรม เราก็ยิ้มไว้ก่อนเมื่อเราจับอาการได้ก็พิจารณากรรมว่าเราได้รับเพราะเราเคยทำมา รับแล้วก็หมดไป และเราก็จะโชคดีขึ้น และพิจารณาโทษของการโกรธเป็นการสะสมโรค ประโยชน์ถ้าไม่โกรธเราก็เบาสบายแค่ ตอนหลังมานี้เก่งขึ้นใช้เวลาแค่แว๊บเดียวอาการในจิตก็สงบลงแล้วเราก็ยังยิ้มอยู่แต่ความโกรธหายไปแล้ว