2. บันทึกกลุ่มตัวอย่างจาก ผู้ใช้การแพทย์วิถีพุทธที่เป็นจิตอาสาแพทย์วิถีพุทธ
ระหว่างปี พ.ศ. 2553 – 2558
(ประเภทข้อมูลที่ 10 แบบบันทึกกรณีศึกษาของจิตอาสาและนักศึกษาแพทย์วิถีพุทธ และข้อมูลที่ 12 แบบสอบถามประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ เทคนิค 9 ข้อ)
กรณีศึกษาที่ | 2.17 |
ชื่อ | นายภัคธร คุ้มกิตติพร |
เพศ | ชาย |
อายุ | 44 ปี |
จังหวัด | กรุงเทพมหานคร |
โรค | โรคผื่นแดง |
อาการ | คันตามตัว |
วันสัมภาษณ์ | 29 ธันวาคม 2557 |
มีอาการผื่นแดง คัน ตามตัว เป็นมา 12 ปี ต้นเหตุของผมตอนแรกเข้าใจว่าแพ้อากาศ แพ้ฝุ่น แพ้น้ำทะเล โดนอะไรนิดหน่อยก็จาม เป็นผื่นแดง คันคล้ายลมพิษ ก็รักษาแพทย์แผนปัจจุบันใช้ยาปฏิชีวนะ Telfast 180 ครั้งละ 1 เม็ดพอรับประทานเข้าไปสักพักอาการก็จะทุเลาลงแต่พอข้ามวันอาการก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมต้องทานทุกวัน (จากเมื่อก่อนทานเฉพาะมีอาการพอนานวันเข้าก็มีอาการทุกวันจนต้องทานวันละ 1 เม็ด พอยิ่งนานวันวันละ1เม็ดก็เริ่มไม่อยู่กลับมามีอาการเดิม)
พอมาเข้าแพทย์วิถีธรรม ได้ดูแลสุขภาพ สังเกตว่าเกิดจากรับประทานอาหารหลายมื้อมากเกิน พอรับประทานเข้าไปมาก ๆ และอาหารที่รับประทาน เป็นรสหวานมัน รสจัด ทานน้ำเย็น ไอศครีม อะไรที่เย็นมากก็จะเป็นน้ำมูก และ เป็นผื่นแดงคัน คล้ายลมพิษ ในเวลาต่อมา เริ่มปฏิบัติยา 9 เม็ด เลิกทานเนื้อสัตว์ ระบายพิษออก ทานอาหารรสจืด ฝึกฝนรับประทานอาหารวันละ1-2 มื้อ ล้างจมูกด้วยน้ำปัสสาวะ ปรากฏว่า อาการน้ำมูกไหลแห้งสนิท และอาการเป็นผื่น แดงคัน ก็เป็นบางครั้งที่รับประทานอาหารหลายมื้อมาเกินถึงจะมีอาการผื่นแดงคัน
- อาการน้ำมูกที่หายได้เด็ดขาด ผมใช้ปัสสาวะสูดเข้าทางจมูก เช้า กลางวัน เย็น เวลาที่มีน้ำมูก ปรากฏว่าน้ำมูกแห้ง
- โรคภูมิแพ้ผิวหนัง อาการ ผื่นแดง คัน พอกัวซาตรงที่จุดที่เป็นผื่นแดงคัน คล้ายลมพิษ ก็จะมีพิษระบายออก ลักษณะเหมือนลมแตก คล้ายไข้เลือดออก อาการผื่น คัน ก็จะหาย
หลังจากดีท็อกซ์เป็นประจำทุกวัน หลังจากการตื่นนอน ปรากฏในแต่ละวัน อาการของผื่นแดงคันคล้ายลมพิษจะเป็นน้อยมาก ยิ่งถ้าได้ดีท็อกซ์ช่วงเย็นอีกครั้งจะไม่มีอาการเลยครับ ความรู้สึกส่วนตัวจึงมีความรู้สึกมั่นใจว่า การที่ร่างกายบริโภคอาหารในปริมาณมากเกินที่ร่างกายต้องการ
ก็จะกลายเป็นพิษต่อร่างกาย โดยสัญญาจะดันพิษออกทุกทาง แต่ในสภาวะของผม มาออกทางผิวหนังเป็นส่วนใหญ่ จึงมีอาการคัน พอช่วยสัญญาระบายพิษได้ทัน อาการเหล่านั้นก็ไม่เกิดขึ้นเลยครับ
มีครั้งหนึ่งภรรยาผมกับลูกไปเที่ยวที่หัวหินผมไม่ได้ไป ลูกชายวัย 8 ปี ของผมเกิดอุบัติเหตุ ร่วงตกจากรถกอล์ฟที่กำลังวิ่งอยู่ กลิ้งลงไปที่พื้นถนน มีแผลสด มีเลือดออก และถลอกเป็นบริเวณใหญ่ช่วงขาและหัวเข่า ได้โทรมาหาผม ผมได้แนะนำให้ปัสสาวะสด+น้ำสกัด เช็ดทำความสะอาดบาดแผลบริเวณนั้น หลังจากทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อย ก็นำน้ำปัสสาวะของตัวลูกเอง มาผสมกับน้ำสกัดฤทธิ์เย็นชุบสำลี เช็ดไปเรื่อย ๆ พอซึมเข้าผิวก็ชุบมาทาใหม่ ทำซ้ำ ๆ จนเข้านอน ปกติแผลถลอกสภาพแบบนี้จะต้องมีอาการอักเสบ และตึงบริเวณผิวหนัง แต่พอรุ่งเช้า ภรรยาผมเห็นลูกชายวิ่งเหมือนคนไม่ได้เป็นแผล ก็เลยถามว่าไม่เจ็บ ไม่ตึงหรือครับ ลูกชายตอบว่าไม่ตึง แต่เจ็บนิดหน่อยไม่มีอาการอักเสบที่ผิวหนัง
การกดจุดลมปราณ โยคะ ถ้าเราปฏิบัติพร้อมกับการเคลื่อนไหวเร็ว ปฏิบัติสม่ำเสมอ ร่างกาย จะสบาย เบากาย มีกำลัง ไม่มีอาการ ปวดตึง แข็ง ตามร่างกายเลย ถึงแม้วันไหนต้องทำงานหนักหรือต้องใช้ร่างกายยกของหนักก็จะไม่มีอาการ ตึง แข็ง
มีครั้งหนึ่งผมเคยมีอาการเป็นไข้ มีน้ำมูกเหนียวสีเขียว ปวดเมื่อยตัว และปวดแก้วหูมาก ไม่ทราบสาเหตุ ก็ปฏิบัติตัวเหมือนที่เคยทำทุกวัน วันแรก ตื่นเช้าก็กดจุดลมปราณ โยคะ แต่ไม่ได้เคลื่อนไหวเร็ว ปรับอาหารด้วยการมารับประทานข้าวต้มโรยเกลือ ผักฤทธิ์เย็นลวก ตกเย็นไข้ลด พอวันที่ 2 รับประทานข้าวต้มโรยเกลือเหมือนเดิม รุ่งขึ้น อาการปวดเมื่อยตัวหายไป ตกเย็นร่างกาย เบากาย มีกำลัง อาการไม่สบายจากน้ำมูกสีเขียวก็เหนียวน้อยลง อาการปวดแก้วหูก็กลายเป็นหูอื้อ แต่ไม่อักเสบ เข้าวันที่ 3 รุ่งขึ้นก็ทานข้าวต้มโรยเกลือ กดจุดลมปราณ โยคะ ใช้น้ำปัสสาวะล้างจมูกตลอด 3 วันอาการน้ำมูกเขียวก็ค่อย ๆ แห้งลง ส่วนหูอื้อก็ใช้ปัสสาวะหยอดหูอาการก็ทุเลาลง
ทุกวันที่เรามีการกระทำ (กรรม) ในปัจจุบันทุก ๆ วันย่อมมีการกระทบ (ผัสสะ) ทั้งวิบากกรรมดี-บาป และกิเลสใหม่ทำให้เราเกิดอาการของทุกข์ แล้วก็ทุกข์หนักจริง กินพลังงานร่างกายมาก ๆ ก็ได้นำคำสอนของอาจารย์หมอเขียวคือการวิปัสสนา พิจารณาทุกข์โทษภัยในสิ่งที่เราเป็นทุกข์ในเหตุการณ์นั้น ซ้ำ ๆ จนเกิดความเข้าใจและมองเห็นด้วยปัญญาว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่เราทำมาทั้งสิ้น “ไม่มีอะไรบังเอิญ” “ทุกอย่างยุติธรรมเสมอ” “เพราะเราเคยทำเช่นนั้นมามากกว่านั้น” ถ้ามองเห็นกิเลสหรือสิ่งที่เราทำมาจริง ก็จะทำให้สิ่ง ๆ นั้น หรือที่เรายอมรับในกรรมนั้น ๆ ที่เป็นทุกข์ สามารถทำให้กิเลสสลายหรือทุกข์จางคลายลงจริง ใจเราก็จะเบาสบาย เราก็จะพิจารณามองเห็นประโยชน์ของอาการที่ไม่มีทุกข์ในสิ่ง ๆ นั้น แต่บางทีก็เห็นทุกข์ชัดขึ้นแต่ยังไม่สลายลงแค่เบาบางคล้ายการกดข่ม วิธีที่ปฏิบัติ คือถ้ารู้สึกว่ามีทุกข์แล้วทุกข์นั้นก็ไม่สลายไป ก็ให้รู้ว่าเป็นทุกข์เพราะเราทำมา เราก็ทำความดีในหมู่กลุ่มคนดีไป ทำความดีไป ฟังธรรมจากสัตตบุรุษหรือครูบาอาจารย์ไป ทุกข์ก็จะจางคลายไปหรือไม่ก็ไม่เป็นไร เพราะเรามั่นใจในสิ่งที่เรากำลังทำลงไปก็คือการทำความดี
เราจะได้ไม่ประมาทในชีวิต และศึกษาปฏิบัติเรียนรู้หลักธรรมคำสอนจนเข้าใจว่า การรู้เพียรรู้พัก ไม่ใช่แค่การทำงานให้หนัก ให้เหนื่อยแต่อย่าให้ถึงกับป่วย แต่ ณ ขณะทำงาน (เพียร) มีทั้งกาม และ อัตตา มาให้ผัสสะ (กระทบ) ถ้าไม่มีสติก็จะทำให้เราทำงานได้ไม่เต็มกำลัง (จิตใจหดหู่เป็นทุกข์) ต้องพยายามจัดการกับกามและอัตตาไปพร้อมกัน ก็จะเกิดการพักในจิตทำให้เราทำงานได้เพียรพร้อมพักเต็มที่ (เกิดปิติ) ครับ
นำคำสอนของ อาจารย์หมอฯ คือการวิปัสสนา พิจารณา ทุกข์โทษภัยในสิ่งที่เราเป็นทุกข์ในเหตุการณ์นั้น ซ้ำ ๆ จนเกิดความเข้าใจและมองเห็นด้วยปัญญาว่า ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่เราทำมาทั้งสิ้น “ไม่มีอะไรบังเอิญ” “ทุกอย่างยุติธรรมเสมอ” “เพราะเราเคยทำเช่นนั้นมามากกว่านั้น” ถ้ามองเห็นกิเลสหรือสิ่งที่เราทำมาจริงก็จะทำให้สิ่ง ๆ นั้นหรือที่เรายอมรับในกรรมนั้น ๆ ที่เป็นทุกข์สามารถทำให้กิเลสสลายหรือทุกข์จางคลายลงจริงใจเราก็จะเบาสบาย
ตั้งแต่ปฏิบัติมา 1 ปี 11 เดือน ไม่เคยเสียเงินซื้อยา หรือไปหาหมอ ที่เคยทำมาเป็นประจำ ประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องการดูแลสุขภาพไปโดยสิ้นเชิง สิ่งที่ได้กลับมา รู้สึกร่างกายแข็งแรงกว่าที่เคยเป็นจิตใจผ่องใส รู้สึกชีวิตมีคุณค่ามากขึ้น