1. บันทึกการสัมภาษณ์กรณีศึกษากลุ่มตัวอย่างจาก ผู้ใช้การแพทย์วิถีพุทธสำหรับผู้ที่มาเข้าอบรมค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีพุทธ 5-7 วัน
ณ ศูนย์เรียนรู้สุขภาพพึ่งตนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง สวนป่านาบุญ 1 อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร และเครือข่ายแพทย์วิถีพุทธทั่วโลก
ระหว่างปี พ.ศ. 2552 – 2558
(ประเภทข้อมูลที่ 7 การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ ผ่านสื่อออนไลน์ – ยูทูบประเภทข้อมูลที่ 9 แบบบันทึกสัมภาษณ์แลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ และ ประเภทข้อมูลที่ 12 แบบสอบถามประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ เทคนิค 9 ข้อ)
กรณีศึกษาที่ | 1.12 |
ชื่อ | อุทิศ บุญฟอง |
เพศ | ชาย |
จังหวัด | แม่ฮ่องสอน |
โรค | โรคมะเร็งที่ไต โรคไวรัสที่ตับบี โรคหวัด โรคไอกรน โรคความดันสูง โรคแผลในกระเพาะอาหาร โรคอาการหยุดหายใจเวลานอนหลับ โรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด โรคริดสีดวง |
วันสัมภาษณ์ | 20 สิงหาคม 2555 |
ผมชื่อ นายอุทิศ บุญฟอง อายุ 68 ปี บ้านอยู่แม่ฮ่องสอน เป็นข้าราชการบำนาญครูปัจจุบันทำธุรกิจส่วนตัวเกี่ยวกับที่พักโรงแรมและบ้านเช่า ขณะนี้ยังพบอีกว่าผมเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ รับเหมาก่อสร้างโรคครับ เพราะนับโรคได้ประมาณ 8 โรค เริ่มต้นจาก ความดันสูง พอระบบหนึ่งเสียจะพาลเสียไปทั้งหมดเลยจากความดันสูง มาเป็นกระเพาะอาหาร เป็นหนักจนมีแผลในกระเพาะ ตามด้วยริดสีดวง ภูมิแพ้ หอบหืด โรคทั้งหมดนี้เป็นพร้อม ๆ กันเลยนะครับ รวมทั้งโรคที่ผมทรมานมาก ๆ คือ โรคหยุดหายใจเวลานอนหลับ ซึ่งผมสันนิษฐานว่าคนที่เป็นโรคไหลตายอาจจะมาจากโรคหยุดหายใจเวลานอนหลับนี้ แล้วโรคนี้คนก็เป็นกันเยอะมาก เท่าที่ผมได้พบเจอที่โรงพยาบาลที่ผมไปรักษา นอกจากนี้แล้ว ผมยังเป็นมะเร็งที่ไต ไวรัสที่ตับ คือเป็นไวรัสบีด้วย และยังมีโรคหวัด ไอกรนพ่วงตามมาอีก พอมารักษาตัว ถึงได้รู้ว่าผมป่วยกระเสาะกระแสะมานานแล้วตั้งแต่เป็นหนุ่ม ๆ แต่ไม่รู้ตัว จนมาเป็นโรคหยุดหายใจเวลานอนหลับ ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Sleep apnea โรคที่เหลือจึงได้พร้อมใจกันตามมาเช่น ความดัน เบาหวาน หัวใจ เกาต์ ไตวาย รูมาตอยด์พาร์กินสันอัลไซเมอร์ โดยมีสาเหตุมาจากเป็นโรคนี้โรคเดียว เพราะฉะนั้นโรคหยุดหายใจเวลานอนหลับนี้อันตรายมากครับ คนที่เป็นโรคนี้ไม่มีโอกาสรู้ได้เลย เราเองก็ไม่รู้ว่าเรากรนเวลาหลับ หรือแม้แต่คนข้างเคียงก็อาจนึกว่าเป็นการกรนธรรมดา ๆ ใคร ๆ ก็กรน ซึ่งการกรนนี้มี 2 แบบ คือกรนดังสม่ำเสมอ อันนี้ไม่อันตราย กับกรนแล้วหยุดหายใจ แบบนี้อันตรายถึงตายได้ครับ เป็นการตายอย่างไม่รู้ตัวด้วย
ผมมารู้ตัวว่าเป็นโรคนี้ตอนที่ไปเที่ยวลงแพสำราญที่เขื่อนภูมิพล งานเลี้ยงฉลองครบเกษียณกับเพื่อน ๆ ประมาณช่วงเดือนตุลาคม เพราะอากาศเริ่มหนาวเย็น ผมจะถูกอากาศเย็นไม่ได้ จะครั่นเนื้อครั่นตัวเป็นไข้ทันที ผมก็ขอตัวเข้านอน ซึ่งก็นอนรวม ๆ กันในแพ ตื่นเช้ามาเจอเพื่อน ๆ เป็นสิบบอกว่าผมนอนกรนเสียงดังนะ เหมือนพกโรงสีมาจากแม่ฮ่องสอนด้วย ซึ่งตอนนั้นผมยังไม่รู้สึกตัวว่ามันอันตราย จากนั้นมาอีกเป็นปี ความที่โดนเพื่อน ๆ ต่อว่า ผมจึงจำได้ แล้วมีอยู่วันหนึ่งดูรายการทีวีพูดเกี่ยวกับการหยุดหายใจ กรนดัง มีสิทธิ์ตายได้ง่าย ๆ ผมจึงตั้งใจฟังเพราะตรงกับโรคที่ผมเป็นอยู่ ในรายการบอกว่าเราจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อไปเข้าเครื่องสลีปเทสต์ (Sleep test) ซึ่งต้องไปทดสอบที่โรงพยาบาลที่เชียงใหม่ ผมก็ไป ซึ่งการทดสอบนี้ต้องนอนทั้งคืน มีสายระโยงระยาง จำได้ว่ามี 13 จุด เอามาดูดจิ้มตามบริเวณศีรษะ ตรงชีพจร ตรงเส้นเลือดใหญ่ จะใส่เครื่องวัดลมหายใจที่จมูก รัดสายที่หน้าท้อง หน้าอก เพื่อดูการกระเพื่อมของการหายใจ และที่นิ้วมือก็มีเครื่องวัดปริมาณออกซิเจน
พอรุ่งเช้าจะรายงานผลออกมาเป็นกราฟ กราฟจะออกมาเป็นสี ๆ บอกหมดเลยว่าในคืนหนึ่งเราหยุดหายใจไปกี่ครั้ง ครั้งละนานเท่าไหร่ ปรากฏว่าผมหยุดหายใจเกือบ 30 ครั้งต่อ1 ชั่วโมง เหมือนกับหลับไป 1 นาทีแล้วก็ตื่น 1 นาที ส่งผลให้นอนไม่อิ่ม แสบตาเวลาตื่นนอนมาตอนเช้า หนักท้ายทอย ไม่สดชื่นเหมือนโลกนี้ไม่น่าอยู่แล้วซึ่งเราอาจเช็คตัวเราเองในเบื้องต้นว่าเข้าข่ายเป็นโรคนี้ได้จากอาการเหล่านี้ ซึ่งคุณหมอที่โรงพยาบาลอธิบายสาเหตุของโรคว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าเวลาเรานอนหลับลิ้นจะตกไปปิดทางเดินของลมหายใจ กดทับหลอดลม ซึ่งวิธีแก้ไขคือ ให้ใช้เครื่องช่วยหายใจเป่าลมเข้าไปในลำคอเพื่อยกลิ้นขึ้นมา เรียกเครื่องนี้ว่าเครื่องซีแพพ (CPAP) จะครอบเวลานอน ครอบแล้วกดสวิตซ์ เครื่องก็จะทำงานโดยอัตโนมัติ ราคาเครื่องก็มีตั้งแต่หลักหมื่นถึงหลักแสน เครื่องที่ผมซื้อมาประมาณ 3 หมื่นกว่าบาท ใช้แล้วทรมานมาก คอแห้งหมด และอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ไม่ได้ใช้เพราะว่า ที่แม่ฮ่องสอนเป็นเมืองท่องเที่ยว เวลาคนไปเที่ยวกันเยอะ ๆ จะใช้ไฟกันมาก ทำให้ไฟติด ๆ ดับ ๆ อยู่ตลอดเวลา พอใช้เครื่องนี้ไม่ได้ จึงได้รับการแนะนำให้ไปจี้ลิ้น เขาว่าผมเป็นคนลิ้นหนา จี้ไป 2 ครั้ง เจ็บมากเลยครับ แล้วก็จี้เพดานอ่อน 2 ครั้ง จี้จมูก 3 ครั้ง ผมรักษาโรคนี้ต่อเนื่องมาประมาณ 5 ปี นอกจากเสียเงิน เจ็บตัวเปล่าแล้วอาการยังไม่ดีขึ้นด้วย จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง วางยาสลบด้วยนะครับ แล้วก็เอาเครื่องมือไปจี้อยู่ในลำคอ ฟื้นขึ้นมาหายใจแทบไม่ทัน เหมือนเอาปลาไปโยนบนบก หายใจเฮือก ๆ เลย พยาบาลก็ช่วยสูบเสลด เป่าลม ซึ่งทรมานมาก ๆ ตลอด 4-5 ปีที่ผมตระเวนรักษาตามโรงพยาบาล ที่เชียงใหม่นี่ที่ไหนดังไปมาหมดแล้ว ปรากฏว่าไม่ได้ผล ก็เข้ามารักษาที่กรุงเทพ ที่โรงพยาบาลศิริราช เกษมราษฎร์ บำรุงราษฎร์ ที่แพงที่สุดก็ที่หัวใจกรุงเทพ ยันฮีนี่ไป 2 ครั้ง และมาจบที่โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ ทั้งหมด 6 โรงพยาบาล ปรากฎว่าเจ็บตัวฟรี ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย เสียทั้งเงินและเสียเวลาด้วยครับ
จนมาวันหนึ่งผมได้ดูทีวีรายการคนค้นคน ที่มีผู้หญิง 2 คน คนหนึ่งเป็นโรค SLE ซึ่งคุณหมอที่โรงพยาบาลบอกว่ายังไงก็ไม่รอด แล้วมีคนชวนให้มารักษาตามแนวทางของคุณหมอเขียว อีกคนเป็นโรคความดันโลหิตสูง สูงถึง 200 กว่า ถึงขนาดกินไม่ได้นอนไม่หลับแล้ว พอมาเข้าค่ายรู้วิธีรักษาแล้ว ก็ปฏิบัติต่อเนื่อง ปรากฏว่าทั้ง 2 คนนี้หาย พอผมได้ยินอย่างนี้ ก็ติดต่อขอสมัครเข้าค่ายทันทีเลยครับ หลังจากเข้าค่ายผมก็ปฏิบัติต่อเนื่อง ปรากฏว่าอาการของโรคทั้งหลายเบาบางลง ที่ผมปฏิบัติ ก็มีดื่มน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นปรับสมดุล กัวซา แช่มือแช่เท้า แต่พอกทานี่ไม่ค่อยได้ทำ ผมมีที่ปรึกษาเป็นจิตอาสา เป็นพยาบาลอยู่ที่อุบลชื่อพี่เสาวนีย์ ซึ่งพี่เสาวนีย์จะคอยให้กำลังใจ พร้อมกับแนะนำว่าให้หมั่นคอยตรวจสอบว่าเราทำยา 9 เม็ดครบถ้วนหรือไม่ พยายามทำอย่าให้ขาดเม็ดใดเม็ดหนึ่ง พอผมตรวจเช็คดูปรากฏว่า ผมทำได้เกือบครบ ที่ขาดคือยาเม็ดที่ 6 การออกกำลังกาย เพราะผมทำรีสอร์ท มีลูกน้องช่วยทำงาน วัน ๆ หนึ่งผมจึงไม่ได้ทำอะไรเลย ที่ผมมักจะทำเป็นประจำคือกินแล้วก็นอน นอนดูข่าว พอได้ออกกำลังกาย ปรากฏว่าอาการที่เคยเป็นหายดีวันดีคืน นอนหลับได้ดีขึ้น ตะคริวที่เคยเป็นเวลาที่เป็นมาก ๆ แล้วเจออากาศเย็นจัด ๆ ก็หาย ริมฝีปากที่แห้ง แตกเป็นขุย เพราะมีความร้อนอยู่ในร่างกายมากเกินไป ก็ค่อย ๆ ดีขึ้นทุกอย่าง ปกติแล้วผมเป็นคนรักสุขภาพมาก ไม่ดื่มเหล้า ไม่ดื่มเบียร์ กาแฟก็ไม่ดื่มครับเพราะไปบีบหัวใจ แต่ที่ผมเป็นอย่างนี้เพราะว่า ผมชอบของหวาน ชอบดื่มนม ชอบน้ำตาล ชอบดื่มโอวัลตินไมโล ที่เป็นเยอะเพราะกินน้ำตาลเยอะเกินไป แล้วน้ำตาลให้ความร้อนแก่ร่างกาย ข้าวก็แปรเปลี่ยนเป็นน้ำตาล ให้ความร้อนสูงเหมือนกัน พอมาเข้าค่าย ได้ความรู้เรื่องร้อนเย็น บวกกับได้ออกกำลังกาย จึงทำให้โรคต่าง ๆ ดีขึ้น
ตอนนี้ผลตรวจออกมาแล้วว่ามะเร็งที่ไตฝ่อลง เดิมขนาดของมะเร็งที่ไตจะวัดเป็นปริมาตรครับ วัดได้กว้าง 6 เซ็นติเมตร ยาว 6.8 เซ็นติเมตร และหนา 5.3 เซ็นติเมตร ผมเทียบดูได้เท่ากับบุหรี่หนา 2 ซอง ขนาดประมาณครึ่งฝ่ามือ งอกติดอยู่ที่ไตด้านขวา ส่วนตอนนี้บวกลบคูณหารแล้วลดลงไป 3.72 เซ็นติเมตร เพราะฉะนั้น ใครที่เป็นโรคนี้นะครับ ผมแนะนำให้มารักษาด้วยวิธีการของคุณหมอเขียวครับ ผมได้อ่านหนังสือโดยพิจารณาอ่านอย่างถ่องแท้แล้วว่า โรคต่าง ๆ เหล่านี้มีภาวะจากร้อนทั้งนั้น พอมาปรับได้สมดุลนะ ความดันของผมนี่หายได้เป็นปกติเลยครับ ส่วนยาของทางโรงพยาบาลผมก็ไม่ได้ทานยาอะไรอีกแล้ว ผมว่าเป็นบุญของผมนะ ที่ได้ทิ้งยา คือผมไปรับยาครั้งสุดท้าย หมดค่ายาไปประมาณ 10,600 บาทแพคใส่ถุงไว้อย่างดี เพราะว่าคนที่เป็นโรคหยุดหายใจนี้มักขี้ลืม แต่พอวันเดินทางจริง ลืมหยิบใส่กระเป๋าเดินทาง คืนแรกกระวนกระวายที่หายาไม่เจอ ผมเลยมาคิดได้ว่าผมอยู่ในค่ายคงไม่เป็นอะไร
นอกจากนี้ ผมดื่มน้ำปัสสาวะทุกวัน และใช้ล้างจมูกเวลาเป็นหวัดคัดจมูก เวลานอนหงายจะหายใจไม่ออกเลยทั้ง 2 รูจมูก ต้องนอนตะแคง ก็จะหายใจได้เฉพาะรูจมูกบน รูจมูกล่างหายใจไม่ออก มันทรมานมากครับ ผมเคยไปล้างที่โรงพยาบาล ใช้น้ำเกลือล้างครับ ปรากฏว่าไม่ดี มันจะแสบร้อน ทำให้จมูกแห้ง นาน ๆ ไปจะอักเสบหรือยังไงไม่รู้ จะมีน้ำมูกเกรอะเลย ต้องแคะออก เจ็บ พอมาเข้าค่ายถึงรู้ว่าใช้น้ำปัสสาวะล้างจมูกได้ ผมจะใช้ไซริงค์ขนาด 10 ซีซี ดูดน้ำปัสสาวะอย่างเดียวไม่ผสมอะไรเข้าไปล้างจมูก เพราะหากเราปฏิบัติตัวอย่างนี้ได้ น้ำปัสสาวะจะใส ไม่มีฟองไม่มีกลิ่น วิธีการล้างก็ใส่น้ำเข้าไปในจมูกทีละข้าง คลึง ๆ แล้วก็สั่งออกมาแรง ๆ บางทีมีออกทางหูด้วยผมขอเพิ่มเติมอีกนิดนะครับ โรคที่สำคัญอย่างโรคไวรัสบีก็ยังหายไปจากร่างกายเลยนะ ทั้ง ๆ ที่ผมเป็น จนเป็นพาหะของโรคนี้ มันน่าอัศจรรย์มากครับ โรคหายไปจากร่างกายแล้วยังสร้างภูมิต้านทานมหาศาล เกินกว่าที่เขากำหนดไว้ คือค่าปกติจะอยู่ในช่วงระหว่าง 0-9.99 แต่ของผมได้ 63.33 ผมก็ตกใจเพราะมันมากเกินไป ก็ไปสอบถามจากลูกศิษย์ที่เป็นพยาบาลที่แม่ฮ่องสอน เขาบอกกับผมว่าอิจฉาอาจารย์เหลือเกิน พวกหนูต้องฉีดกระตุ้นทุกปีเพราะต้องคลุกคลีกับคนไข้ แต่บางทีฉีดแล้วก็กระตุ้นไม่ขึ้น ผมก็ยังไม่ค่อยมั่นใจ เลยเดินทางเข้าเชียงใหม่ไปหาผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้โดยตรง เขาก็ยืนยันกับผมว่าตัวเลขที่ได้ถูกต้อง หากเปรียบเป็นเศรษฐีนี่นะไม่ใช่เศรษฐีธรรมดานะ เป็นมหาเศรษฐีเลย ยิ่งมีมากเท่าไหร่ยิ่งดี และเขาก็สรุปง่าย ๆ ว่า ตลอดชาตินี้ผมจะไม่เป็นโรคนี้อีกต่อไป
ช่วงนี้ร่างกายผมแข็งแรงดีมาก เดินได้คล่องเลย นอนหลับได้ดีขึ้น แต่ก็ยังต้องปฏิบัติตัวตามแนวทางของคุณหมอเขียวต่อไป อย่าไปเร่งผล อย่ากังวล อย่ากลัวโรค อย่ากลัวตาย มะเร็งนี่ผมไม่ให้ค่าความสำคัญอะไรกับมันเลยแม้แต่นิดเดียว ผมคิดว่าผมต้องพิชิตมันได้ ไม่หายตอนเป็นก็หายตอนตายก็แล้วกัน