2. บันทึกกลุ่มตัวอย่างจาก ผู้ใช้การแพทย์วิถีพุทธที่เป็นจิตอาสาแพทย์วิถีพุทธ
ระหว่างปี พ.ศ. 2553 – 2558
(ประเภทข้อมูลที่ 10 แบบบันทึกกรณีศึกษาของจิตอาสาและนักศึกษาแพทย์วิถีพุทธ และข้อมูลที่ 12 แบบสอบถามประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ เทคนิค 9 ข้อ)
กรณีศึกษาที่ | 2.44 |
ชื่อ | นางสาวพนาวรรณ ระวิโรจน์ |
เพศ | หญิง |
อายุ | 41 ปี |
อาชีพ | จิตอาสาแพทย์วิถีพุทธ |
จังหวัด | มุกดาหาร |
โรค | โรคออฟฟิศซินโดรม โรคต้อลม โรคอาการทาลัสซีเมียแฝง |
วันสัมภาษณ์ | 23 มีนาคม 2558 |
ประวัติก่อนมาเป็นจิตอาสาแพทย์วิถีพุทธ
เคยทำงานบริษัทส่งออกต่างประเทศ ซึ่งเป็นบริษัทต่างชาติที่ถือว่าเป็นอันดับหนึ่ง ด้านการส่งออกด่วนทางอากาศ มีสาขาอยู่ประมาณ 227 ประเทศทั่วโลก ลักษณะงานบริการต้องให้การบริการที่ดีเลิศต่อลูกค้า และทำงานด้วยความรวดเร็วกระชับฉับไว ทันการณ์ ตรงต่อเวลา รับผิดชอบสูง ห้ามเกิดการผิดพลาดเพราะนั่นหมายถึงชื่อเสียงของบริษัท และความสูญเสียทั้งเงินและเวลาที่เกิดขึ้น ต้องแก้ปัญหาและตัดสินใจรวดเร็ว การทำงานส่วนใหญ่ทำงานด้วยระบบคอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์ เพราะฉะนั้นวันหนึ่ง ๆ ต้องอยู่กับคอมพิวเตอร์ไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมง และต้องรู้ข้อมูลข่าวสารจากทั่วโลกเพราะทุกข้อมูลที่มีผลกระทบต่อการส่งออก เราต้องทำงานแบบโปรแอคทีฟ เพื่อหาทางป้องกันปัญหาก่อนที่จะเกิดขึ้น พอทำงานได้ประมาณ 6 ปี ก็เกิดความเบื่อหน่ายเพราะชีวิตประจำวันอยู่แต่กับเทคโนโลยีที่ทันสมัย และความรีบเร่งตลอดเวลา ก็เลยอยากจะพัก
เริ่มมีอาการไม่ค่อยสบายจากการทำงานที่เรียกว่า ออฟฟิศซินโดรม จึงคิดว่าถ้าเราหาเงินมามาก ๆ และต้องมาป่วยและเอาเงินที่ได้ไปให้หมอก็คงไม่ดี และเงินมากมายเหล่านั้นก็คงไม่มีประโยชน์ ถ้าเราพึ่งตัวเองไม่ได้ และถ้าเกิดเราเป็นอะไรมาก ๆ จนทำงานไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์ต่อโลกใบนี้ เราจะทำงานจนป่วยตายหรือ ก็เลยลาออกและเดินทางไปอเมริกา เพราะอยากจะไปท่องเที่ยวและพักชีวิตสักระยะ ถ้าเป็นไปได้ก็จะเรียนต่อปริญญาโทที่นั่น ตอนแรก ๆ ไป ทุกอย่างก็ดูน่าตื่นเต้นและแปลกใหม่สำหรับเรา แต่พออยู่ไปและเจออากาศหนาวจนคิดว่าตัวเองเกือบเสียชีวิต ก็เลยคิดว่าที่นี่ไม่เหมาะกับเรา เพราะถ้าเกิดเราเสียชีวิตที่อเมริกา พ่อแม่เราจะเป็นอย่างไร เราจะต้องยุ่งยากคนอื่นแน่ ๆ และอยู่ที่นี่ก็ต้องทำงานหาเงินอยู่ดี แต่สภาพอากาศ คนและอาหารก็ไม่ได้เหมาะกับเรา เพราะเรารับประทานมังสวิรัติและไม่อยากกินเนื้อสัตว์ แต่อาหารมังสวิรัติที่นั่นราคาสูง ผักผลไม้ก็ไม่ค่อยมี แต่ถ้าเทียบกับเมืองไทยเรามีทุกอย่าง และราคาก็ถูกกว่าแถมยังมีคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยในชีวิตมีมากกว่าที่อเมริกา ในความคิดของเรา ณ ตอนนั้น หลังจากนั้นจึงตัดสินใจกลับประเทศไทย และไม่คิดอยากจะทำงานที่เงินเดือนเยอะ ๆ แล้วไม่มีความสุข และต้องมาป่วยทีหลัง แต่อยากทำงานที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีเวลาออกกำลังกาย กินอาหารที่ดีมีสุขภาพ ปลอดสารพิษ มีสิ่งแวดล้อมที่ดี มีเวลาให้ครอบครัว มีเพื่อนร่วมงานหรือคนที่ทำงานด้วยที่ดีจึงคิดว่าคงไม่กลับไปทำงานไกล ๆ บ้านแล้ว พอดีคุณแม่บอกว่าทางจังหวัดสระแก้วจะมีการอบรมเศรษฐกิจพอเพียง เราก็สนใจเพราะคิดว่าถ้าเราทำเองได้หมด ในด้านปัจจัยสี่ก็น่าจะลดค่าครองชีพและเป็นทางออกที่จะดำรงชีวิตได้อย่างมั่นคงกว่าก็เลยไปอบรม หลังอบรมทางศูนย์ฯ ที่เราไปอบรมก็อยากให้มาทำงานเพื่อช่วยชาวบ้านซึ่งเป็นอีกสายงานที่วิถีชีวิตเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงในการใช้ชีวิตในเมืองหลวงของเรา จึงตัดสินใจทำงานให้กับที่นั่น
แต่พอคุณหมอเขียวมาจัดค่ายสุขภาพที่ศูนย์อบรมที่เราทำงานที่สระแก้ว ทำให้ได้คำตอบในชีวิตว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร และเห็นว่าสิ่งที่คุณหมอเขียวทำเป็นทางออกในการดำรงชีวิต ที่พึ่งพาตัวเองได้ในทุกด้านของปัจจัยสี่ คือ อาหารที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ซึ่งศูนย์เกษตรที่เราทำงานอยู่และไปเรียนจากที่อื่น ๆ ยังขาดการพึ่งตนเองด้านยารักษาโรค แต่พอฟังคุณหมอถ้าเรารู้จักพอและฝึกเป็นหมอดูแลตัวเองเราก็สามารถที่จะอยู่ได้อย่างมั่นคงและมีประโยชน์โดยไม่ต้องกังวลอะไร หลังจากนั้นจึงมาเรียนเพิ่มเติมในการเป็นจิตอาสารุ่นแรก ๆ ที่อบรมครู ก และเข้ามาเรียนค่ายแฟนพันธุ์แท้ที่สวนป่านาบุญ 1 จึงตัดสินใจจะไปลาออกจากงานเพื่อมาทำงานศูนย์บาทและช่วยคุณหมอเขียวทำงาน หลังจากนั้นก็ได้มาร่วมเป็นจิตอาสาของคุณหมอเขียวหรือจิตอาสาแพทย์วิถีพุทธ ตั้งแต่ปี 2553 มาทำงานแบบศูนย์บาทและใช้สาธารณโภคีแบบเต็มตัวในปี 2554 หลังจากที่ไปช่วยค่ายสุขภาพตามที่ต่าง ๆ แล้วแต่เหตุปัจจัยในชีวิต จนกระทั่งมั่นใจและได้เคลียร์งานต่าง ๆ ให้กับทางบ้านแล้วและพูดคุยปรับความเข้าใจกับคุณพ่อคุณแม่ เพราะเราไม่ได้มีภาระอะไรที่มากมายและท่านก็ยังแข็งแรงสามารถพึ่งพาตนเองได้ เราจึงขออุทิศตัวเองมาทำงานเป็นจิตอาสาแพทย์วิถีพุทธอย่างเต็มตัวจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
ประวัติความเจ็บป่วยก่อนมาเจอแพทย์วิถีธรรม
1. ป่วยด้วยอาการออฟฟิศซินโดรม คือ ปวดตึงรั้งบริเวณสะบัก ต้นคอ เพราะนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์มาเป็นเวลานานหลายปี รักษาตัวเองด้วยการหลังเลิกงานก็ไปให้หมอนวดบ้าง เล่นโยคะ หรือเล่นกีฬาบ้าง เช่น ว่ายน้ำ ตีแบด ตีเทนนิส ตีปิงปอง ปั่นจักรยาน เดินป่า ปีนเขา ดำน้ำ ขี่ม้า เล่นไอซ์สเก็ต เพราะเชื่อว่าการออกกำลังกายจะทำให้ผ่อนคลายและสนุกดี
2. มีอาการปวดประจำเดือนทุกครั้งก่อนมีประจำเดือน รักษาตัวเองด้วยการกินยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล พอลสแตน และนอนกอดกระเป๋าน้ำร้อนเมื่อมีอาการ และจะไม่กินอาหารเย็น ในช่วงมีประจำเดือน เช่น น้ำแข็ง ไอศกรีม เฉาก๊วย มะละกอ เป็นต้น ดื่มแต่น้ำอุ่น ๆ และอาหารที่ทำออกมาร้อน ๆ เช่น ต้มยำ ต้มจืด
3. อาการต้อลม ก็แก้อาการด้วยการสวมแว่นตาดำหรือแว่นกันแดด เวลาที่จะต้องออกไปเจอแดด บางครั้งก็ใส่ตอนทำคอมพิวเตอร์
4. อาการทาลัสซีเมียแฝงคือโลหิตจางแฝง คุณหมอแผนปัจจุบันแนะนำให้ทานยาบำรุงเลือด เพิ่งมารู้ทีหลังว่ามันคือโฟลิก แต่คุณหมอบอกว่าต้องทานไปเรื่อย ๆ แต่พอทานไปได้ไม่กี่เม็ดก็รู้สึกเหม็นคาวมากทั้งอุจจาระ ปัสสาวะและเนื้อตัวก็เลยเลิกกินและไม่กลับไปหาหมออีกเพราะ
ไม่อยากกินยาแบบไม่มีกำหนด และพอถามเรื่องอาหารคุณหมอก็บอกว่าต้องทานเนื้อสัตว์ และเครื่องในเยอะ ๆ จะได้สร้างเม็ดเลือดได้ทัน และไม่ควรจะนอนดึก พอเราถามถึงผักที่ช่วยสร้างเม็ดเลือดได้มีไหม คุณหมอบอกว่าต้องไปหาเอง แต่ถ้าจะกินก็ต้องกินเป็นรถสิบล้อจึงจะสร้างเลือดทัน เราก็เลยคิดว่าต่อให้มาเจาะเลือดตรวจสุขภาพประจำปีหรือตลอดก็ไม่มีทางแก้หรือหายอยู่ดี และอาการทาลัสซีเมียแฝงถ้านอนไม่ดึกพักผ่อนพอ ก็น่าจะพอช่วยได้และมันก็ไม่ได้มีผลต่อชีวิตประจำวันของเรามากนัก แค่อาจจะเหนื่อยง่ายกว่าเดิมถ้านอนดึก ซึ่งคิดว่าเราน่าจะปรับได้
จึงไม่ได้ทำอะไรกับสุขภาพตัวเองต่อ
ประสบการณ์ที่ใช้แพทย์วิถีธรรมในการดูแลสุขภาพตนเอง
1. ป่วยด้วยอาการออฟฟิศซินโดรม ก็ทำโยคะกดจุดลมปราณ ขูดกัวซา และรู้เพียรรู้พัก ใช้อุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์เท่าที่จำเป็นจริง ๆ ลงกสิกรรมบ้าง หรือพรากจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์บ้างดูตามกำลังตัวเอง และเหตุปัจจัยก็ดีขึ้นไม่ค่อยมีอาการปวดตึงเท่าไร หรือถ้ามีอาการก็แก้ตามอาการดังข้างต้น
2. อาการปวดประจำเดือน ก็ทำโยคะกดจุดลมปราณ ขูดกัวซาบริเวณหลัง สะโพกและหน้าท้อง ไม่ถึงห้านาทีก็ทุเลาแล้ว บางครั้งถ้าปวดมากก็ทำดีท็อกซ์ สวนล้างลำไส้ใหญ่ และช่องคลอดบ้าง และรับประทานอาหารปรับสมดุลก็ดีขึ้น
3. อาการต้อลม ใช้น้ำปัสสาวะหยอดตาล้างหน้าเป็นประจำแทบจะทุกวัน อาการก็ดีขึ้นจนไม่รู้ว่าหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่
4. อาการทาลัสซีเมียแฝง ดื่มน้ำสมุนไพรปรับสมดุลและปัสสาวะก็สดชื่นดีไม่มีอาการอ่อนเพลีย แต่ก็ไม่เคยกลับไปตรวจเลือดอีก ถ้ามีอาการมึนศีรษะก็นอนพักผ่อน พยายามไม่นอนดึกไม่ให้เกินหลังสี่ทุ่ม ขูดกัวซา ทานอาหารปรับสมดุล ก็ไม่ค่อยมีอาการหน้ามืดแล้ว
5. อาการเป็นไข้ตัวร้อน และมีอาการหนาวแทรก ปวดตามเนื้อตัว หมดแรง หายใจไม่สะดวก และปวดหัวมาก กินอาหารรสจืด แล้วยังไม่ดีขึ้น ดื่มน้ำปัสสาวะผสมน้ำถ่านและใส่น้ำอุ่นก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ จะขูดกัวซาก็ไม่มีแรง พี่ ๆ จิตอาสาแพทย์วิถีพุทธ ที่ดอนตาล ก็เลยจัดที่ให้อบตัวด้วยสมุนไพรฤทธิ์เย็น และใส่ตะไคร้เล็กน้อย พออบตัว ประมาณ 3 นาทีเท่านั้น มีเหงื่อแตก หายใจโล่งขึ้น หายปวดเมื่อย มีกำลัง หายปวดศีรษะ และลุกขึ้นมาเดินเหินได้ตามปกติ เหมือนไม่เคยมีไข้มาก่อน
สรุปคือเราสามารถถอดรหัสร้อนเย็นของตัวเองได้ และถ้ามีอาการไม่สบายต่าง ๆ เกิดขึ้นก็มั่นใจว่าเราเป็นหมอที่ดีที่สุดในการดูแลตนเองได้ โดยใช้สิ่งที่ประหยัดเรียบง่ายใกล้ตัว แก้ปัญหาที่ต้นเหตุได้ และการอยู่ในหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีทำให้เรามีแรงกำลังบำเพ็ญ เป็น
จิตอาสาแพทย์วิถีพุทธได้สมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ