1. บันทึกการสัมภาษณ์กรณีศึกษากลุ่มตัวอย่างจาก ผู้ใช้การแพทย์วิถีพุทธสำหรับผู้ที่มาเข้าอบรมค่ายสุขภาพ แพทย์วิถีพุทธ 5-7 วัน
ณ ศูนย์เรียนรู้สุขภาพพึ่งตนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง สวนป่านาบุญ 1 อำเภอดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร และเครือข่ายแพทย์วิถีพุทธทั่วโลก
ระหว่างปี พ.ศ. 2552 – 2558
(ประเภทข้อมูลที่ 7 การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ ผ่านสื่อออนไลน์ – ยูทูบประเภทข้อมูลที่ 9 แบบบันทึกสัมภาษณ์แลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ และ ประเภทข้อมูลที่ 12 แบบสอบถามประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ เทคนิค 9 ข้อ)
กรณีศึกษาที่ | 1.129 |
ชื่อ | นางสาวปัทมา ทีปประสาน |
เพศ | หญิง |
อายุ | 66 ปี |
จังหวัด | กรุงเทพมหานคร |
โรค | โรคมะเร็งต่อมนํ้าเหลืองระยะที่ 3 โรคความดันโลหิต โรคเข่าเสื่อม โรคอ้วน |
วันสัมภาษณ์ | 29 เมษายน 2558 |
อาชีพค้าขาย เป็นเจ้าของร้านขายยาแผนปัจจุบัน ใช้ชีวิตแบบไม่ดูแลตัวเองรับประทานอาหารนอกบ้านทุกวัน อาหารจานเดียวตามสั่งทั่ว ๆ ไป ไม่ทําอาหารที่บ้าน มีหมูเป็นเมนูหลัก ทานผักผลไม้น้อยมาก ทานอาหารจีน ไม่ออกกําลังเลย นอนดึกหลังตี 2 ทุกวัน ตื่นสายหลังเที่ยง ใช้ชีวิตแบบนี้มาตลอดเวลา แต่มีสุขภาพจิตดีชอบทําบุญทั่วไป นํ้าหนักก่อนป่วย 75 กิโลกรัม สูง 165 เซ็นติเมตร เป็นคนที่ร้อนมากมีเหงื่อออกมากตลอดเวลาเป็นนํ้าเลย
มีโรคประจําตัว 1. ความดันโลหิตสูง ทานยา 2. เข่าเสื่อมปวดเข่ามาก ทานยา 3. แขนหัก 3 ครั้ง ปวดแขน 4. อ้วนมากขึ้นเรื่อย ๆ
มาตรวจพบว่าเป็นมะเร็งต่อมนํ้าเหลือง เมื่อเป็นแผลที่หน้าอกรักษาด้วยตัวเองแต่ไม่ดีขึ้น ประมาณ 3 เดือนก่อนที่จะไปพบแพทย์ และตรวจพบว่าเป็นมะเร็งต่อมนํ้าเหลืองระยะที่ 3 หลังจากนั้นเพื่อนได้แนะนําให้ไปเข้าคอร์สแพทย์วิถีธรรมของหมอเขียวก่อนที่จะไปรักษาแบบแผนปัจจุบัน
แผลที่ได้รับการผ่าตัดเพื่อไปตรวจชิ้นเนื้อช่วงเดือนพฤศจิกายน ก่อนมาเข้าค่ายที่ดอนตาล และตอนนี้ได้ถูกตัดเต้านมทิ้งไปแล้วค่ะ
เพื่อปรับสมดุลของร่างกายให้แข็งแรงก่อนที่จะรักษา หลังจากเข้าคอร์ส 3 ครั้ง ประมาณ 3 เดือน รักษาตัวและใช้ชีวิตตามแบบที่หมอเขียวแนะนําอย่างเต็มที่ ทานมังสวิรัติใช้ยา 9 เม็ดแบบหมอเขียว นํ้าหนักจาก 75 กิโลกรัม ลดเหลือ 61.5 กิโลกรัม ความดันหายไป ไม่ต้องทานยาอีกเลย สุขภาพแข็งแรง เข่าเสื่อมก็หายไปไม่เจ็บอีกเลย ความร้อนในตัวก็หมดไป รู้สึกเฉย ๆ มีความเบากายเบาใจ ไม่เครียดหลายครั้งที่ถามความรู้สึกก็บอกว่าสบายไม่มีอะไรมีสุขภาพจิตที่ดี หลังจากนั้นไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลกลาง คุณหมอตรวจสุขภาพและนัดคีโมครั้งแรกทันที
วันที่ 17 ธันวามคม 2557 วันแรกที่ไปให้คีโมมีความรู้สึกเฉย ๆ หลังกลับจากโรงพยาบาล รีบมาดื่มนํ้าย่านางเข้มข้นทันทีมีความรู้สึกร้อนข้างในและต่อด้วยทําดีท็อกซ์ทันที ดีท็อกซ์ครั้งแรกไม่มีนํ้าออกมาเลยความร้อนข้างในดูดซับนํ้าไปหมดแล้ว ไม่มีนํ้าปัสสาวะออกมาจนเลยเที่ยงคืนถึงได้มีนํ้าออกมาหลังคีโมครั้งแรก 2-3 อาทิตย์ผมเริ่มร่วง ไม่วูบวาบ กินอาหารไม่อร่อยเหมือนเดิม แต่ฝืนทานอาหารเพื่อให้อยู่ได้ ดื่มนํ้าย่านางเน้นผักผลไม้เป็นหลักทานเพื่อให้อยู่ได้คีโมทุกครั้ง
วันแรก ดื่มนํ้าย่านางทําดีท็อกซ์นํ้า 3 ขวด มีนํ้าคืนออกมาแค่ครึ่งเดียวไม่มีกากออกมา 3 วันถึงได้ถ่ายออกมาถ่ายมาเป็นเม็ด ๆ แสดงว่าข้างในร้อนมากถ้าไม่ได้เรียนรู้เรื่องปรับสมดุลร่างกายของหมอเขียวจะร้อนขนาดไหนความร้อนในร่างกายดูดนํ้าไปใช้หมด
- คีโม ครั้งแรกวันที่ 17 ธันวามคม 2557
- ครั้งที่ 2 วันที่ 8 มกราคม 2558
- ครั้งที่ 3 วันที่ 29 มกราคม 2558
- ครั้งที่ 4 นัดไปคีโม พอตรวจเลือดเสร็จพอได้รับผลเลือด คุณหมอพอใจมากคุณหมอนัดตรวจสุขภาพวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2558 ผลออกมาไม่ต้องคีโมอีกให้นัดผ่าตัดเต้านมได้เลย
วันรุ่งขึ้น 24 กุมภาพันธ์ 2558 ให้มาอยู่โรงพยาบาล เพื่อนัดเตรียมผ่าตัดวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2558 หลังผ่าตัดเสร็จตอนเที่ยงทางโรงพยาบาลกลาง เตรียมยาฉีด ยากินแก้ปวดและแก้อักเสบไว้ 3 วัน แต่ไม่ได้ใช้ยาทั้งหมดเลย ไม่เคยมีไข้และไม่ปวดแผลเลย ความดันไม่มี ปกติทุกวันจนกระทั่งทั้งคุณหมอและพยาบาลแปลกใจว่าทําไมคนไข้ไม่ปวดและไม่เป็นไข้เลย มีแค่ตึงแผลนิดหน่อยเท่านั้นเองทั้งนี้เพราะก่อนเข้าโรงพยาบาล ได้เตรียมตัวปรับสมดุลร่างกายตามแบบหมอเขียวอย่างดี ดื่มนํ้าย่านางทั้งวัน ดีท็อกซ์ทุกวัน ทานอาหารรสจืดสุขภาพแบบหมอเขียว หลังผ่าตัดวันแรกดื่มนํ้าย่านาง นํ้าปั่นผลไม้เป็นหลัก อาหารอื่นเป็นรองทําแบบนี้ทุกวันอยู่ที่ โรงพยาบาลปรับสมดุลทําตามหมอเขียวทุกวัน เน้นไปที่นํ้าย่านางนํ้าปั่นผลไม้ ผักและผลไม้เท่านั้น ทานข้าวน้อยมาก แบบที่คุณหมอเขียวสอนข้าวนิดเดียว
มาถึงวันนี้คนไข้และพี่น้องทุกคน มีน้องชายเป็นแพทย์ และพยาบาลหลายคนยอมรับว่าถ้าไม่ได้ไปเข้าคอร์สเรียนรู้เรื่องการปรับสมดุลร่างกายตามแบบแพทย์วิถีธรรมของหมอเขียวมาก่อนล่วงหน้า 3-4 เดือนก่อนคีโมและผ่าตัด ร่างกายของคนไข้คงรับไม่ไหวแน่นอน อยู่ โรงพยาบาลกลาง 2 สัปดาห์ ไม่เคยมีไข้เลยตลอดเวลาที่อยู่โรงพยาบาลเหมือนคนปกติ สุขภาพแข็งแรง
หลังออกจากโรงพยาบาล ก็ดูแลสุขภาพตามแบบที่หมอเขียวสอนออกกําลังตั้งแต่ 06.00 น. ถึง 08.00 น. ทุกเช้าเดินออกกําลังกาย หลังจากนั้นก็ไปนอนกับพื้นดินตามที่คุณหมอเขียวสอนไว้ นอนแนบกับพื้นดินความเย็นของพื้นดินที่หลังหรือด้านข้าง ด้านหน้าของตัวแนบอยู่นั้น ดูดความร้อนออกจากตัวทะลุหลัง โดยเฉพาะบริเวณต่อมนํ้าเหลืองมีความรู้สึกเหมือนถูกดินดูดตุ๊บ ๆ ถ่ายเทออกไปจากร่างกาย นอนแนบกับพื้นดินแบบนี้นอนกลับไปมาอยู่ 2 ชั่วโมง ทุกวัน รู้สึกดีมาก ๆความรู้สึกทุกครั้งขณะที่คีโมหรือผ่าตัด เมื่อปรับสมดุลร่างกายแล้วจะทําใจให้สบาย ไม่กังวลไม่ฝืน นิ่ง ๆ ยิ้มไว้ในใจ นึกถึงคําพูดและบุญคุณที่หมอเขียว อุตส่าห์ตั้งใจ เสียสละ อดทน เหนื่อยยาก ลําบากกาย มาสอนพวกเรา ก็ต้องทําตัวทําใจให้คุ้มกับที่คุณหมอเขียวสอนมาให้ได้