2. บันทึกกลุ่มตัวอย่างจาก ผู้ใช้การแพทย์วิถีพุทธที่เป็นจิตอาสาแพทย์วิถีพุทธ
ระหว่างปี พ.ศ. 2553 – 2558
(ประเภทข้อมูลที่ 10 แบบบันทึกกรณีศึกษาของจิตอาสาและนักศึกษาแพทย์วิถีพุทธ และข้อมูลที่ 12 แบบสอบถามประสบการณ์การใช้แพทย์วิถีพุทธ เทคนิค 9 ข้อ)
กรณีศึกษาที่ | 2.31 |
ชื่อ | นางสาวนงนุช พาสนาโสภณ |
เพศ | หญิง |
อายุ | 46 ปี |
อาชีพ | ทำบัญชี (พนักงานบริษัท หรือ Freelance) |
จังหวัด | ชลบุรี |
โรค | 1. ปวดหัวไมเกรนกว่า 20 ปี 2. คอเรสเตอรอลสูง ความดันโลหิตสูง ระบบย่อยมีปัญหา 3. ออฟฟิศซินโดรม ปวดหลัง สะบัก บ่า ไหล่ 4. แผลร้อนในในปาก เป็นประจำทุกเดือน 5. ภูมิแพ้ น้ำมูกข้นไหลลงคอตลอดเวลา |
อาการ | |
วันสัมภาษณ์ | 24 ตุลาคม 2558 |
การปฏิบัติตัวหลังจากพบแพทย์วิถีธรรม
รู้จักแพทย์วิถีธรรมเมื่อต้นเดือนมีนาคม 2557 ทาง www.morkeaw.net Youtubeโดยฟังคุณหมอบรรยายทาง Youtube ช่วงแรกเกิดความสงสัยว่าโรคทุกโรคหายได้อย่างไร ฟังจนได้คำตอบว่าเมื่อเม็ดเลือดขาวแข็งแรงโดยใช้สมดุลร้อนเย็น โรคทุกโรคหายได้หมด จึงปรับพฤติกรรมใหม่โดย
1. ปรับเรื่องอาหารเป็นอันดับแรก (ปกติทานมังสวิรัติ) จากคนที่ทานเปรี้ยว เค็ม เผ็ด ปรับมาทานค่อนข้างจืด ลดการปรุงแต่งเหลือแต่เกลือ ซีอิ้วขาว (ใส่บ้างเป็นบางครั้ง) คุมเรื่องผักฤทธิ์ร้อน-เย็น ใส่วัตถุดิบเจน้อยลง จนกระทั่งไม่ใส่เลย และเหลือใส่เกลือเพียงอย่างเดียวไม่เกิน 0.5 ช้อนชาต่อวัน ทานน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นสดบ้างเท่าที่จะหาพืชทำได้ และปรับเหลือทานมื้อเดียว
2. ลด และหรือตัดการทานขนม ของที่รู้ว่าเป็นพิษกับร่างกายและทานอาหารให้เป็นมื้อไม่ทานจุบจิบ ปรับจนปัจจุบันแทบจะไม่ทานขนมแล้ว
3. ทำดีท็อกซ์กัวซา พอกทา โยคะ กดจุดลมปราณ ธรรมะ
อาการป่วยและการรักษาเมื่อพบแพทย์วิถีธรรม
1. ปวดหัวไมเกรนกว่า 20 ปี
อาการมีทั้งปวดหัวข้างเดียว ขมับ และหรือปวดกระจายทั่วหัว จากที่กินยาพาราเซตามอลหายบ้างไม่หายบ้าง จึงเริ่มกินยาแก้ปวดไมเกรน Cafergot บางครั้งต้องกินคู่กับพาราเซตามอลและกาแฟเปล่า ๆ ไม่ใส่น้ำตาล ครีมเทียมเพื่อเสริมฤทธิ์กัน นานเข้าเริ่มตื่นขึ้นมากลางดึก ช่วง 02.00-06.00 น ตื่นมาพร้อมอาการปวดหัวหนักมาก กินยาไม่หาย และอาเจียนทุกครั้งที่ปวดกลางดึก หนักขึ้นถึงขนาดก้มตัวลงหยิบของไม่ได้จะปวดหัวทันที ต้องใช้การย่อตัวลง บางครั้งเวลาปวดมีอาเจียนร่วมด้วย (อาเจียนแล้วก็ยังไม่หาย) ออกกำลังกายไม่ได้ ไปหาหมอแผนปัจจุบันก็หาสาเหตุไม่ได้เนื่องจากแพ้อาหารทะเล เจ้าหน้าที่ไม่กล้าเสี่ยงตรวจเอ็กซเรย์สมองให้ หมอได้จัดยามาให้กินช่วงแรกหาย พอได้สักระยะจะเริ่มหายช้าลงจนไม่หายต้องกินซ้ำในวันถัดไป กินยาอยู่อย่างนี้ประมาณ 8 ปีด้วยยา 3 ตัว Flunarizine, polygot, ponstan ที่พกติดตัวตลอดเวลา (เคยรักษาด้วยการฝังเข็มก็ยังปวดอยู่)
การรักษา
ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2557 ใช้การปรับสมดุลร้อน-เย็นของอาหารเป็นหลัก ปรุงเกลือไม่เกิน 0.5 ช้อนชา ทานอาหารตามลำดับ
เดือนมีนาคม ทานยาแก้ปวดเพียงครั้งเดียว นอกนั้นมีเพียงการมึนหัวบ้างเล็กน้อยในตอนเช้า เนื่องจากมีปัญหาเรื่องระบบย่อย (ยังทาน 3 มื้ออยู่)
เดือนเมษายน ปวด 1 ครั้งเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนมาก ออกจากรถที่เย็นเจออากาศ ที่ร้อนจัด จะมีอาการปวดหัวขึ้นทันที (ปกติร่างกายจะไวกับสภาพอากาศมาก) กลับมาบ้านแก้ไขด้วยการอาบน้ำเอาน้ำราดศีรษะพันด้วยผ้าชุบน้ำสลับกับการกัวซา ทานแตงโม ประมาณ 2 ชั่วโมงจึงหายปวด ซึ่งปกติถ้ามีอาการปวดอย่างนี้จะปวดหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องกินยาแล้วนอนพัก บางครั้งหายแต่ส่วนใหญ่จะไม่หายต้องกินยาซ้ำ
ประมาณเดือนมิถุนายน ปวดหัวหนักมากชนิดที่นั่งก็ไม่ได้ นอนก็แทบไม่ได้ ผะอืดผะอมอยากอาเจียน แก้ไขด้วยการอาบน้ำเอาน้ำราดศีรษะพันด้วยผ้าชุบน้ำสลับกับการกัวซา กินผลไม้ฤทธิ์เย็น (ช่วงนั้นยังไม่กล้าทำดีท็อกซ์) ใช้น้ำมันเขียว ก็ยังไม่ดีขึ้นปวดอยู่ประมาณ 3 ชั่วโมงพยายามที่จะไม่กลับไปใช้ยาอีก พยายามทำใจให้นิ่งจนนึกขึ้นได้ว่า น่าจะมาจากการอดนอน ทำงานหนักมาหลายวัน จึงพยายามนอนให้หลับจนหลับไปได้พอตื่นขึ้นมาอาการปวดก็หายไปหมด
ปัจจุบันอาการปวดหัวไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลย อาจจะมีอาการเริ่มมึนบ้างช่วงที่เข้ามาทำงานที่บริษัท ประมาณ 7-8 วันที่คุมเรื่องอาหารไม่ค่อยได้ แต่พอเริ่มมีอาการก็จะรีบปรับเรื่องอาหาร ทำอาหารไม่ปรุง หรือกินข้าวใส่ถั่วโรยเกลือ ผักลวก ทำดีท็อกซ์ พอกหน้า โยคะ กดจุดลมปราณ อาการมึนก็หายแล้ว (เน้นเรื่องอาหาร ส่วนยาเม็ดอื่นทำเสริมบางข้อเท่านั้น)
2. คอเลสเตอรอลสูง ความดันสูง
-คอเลสเตอรอลค่าสุดท้ายที่ตรวจสุขภาพคือ 265 (และตรวจโดยใช้ลูกดิ่ง Pendulum เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2556 เป็นหินปูนเกาะหลอดเลือด)
-ความดันสูงพบเมื่อเดือนมกราคม 2557 ความดัน 150-170 จากที่ความดันปกติมาตลอด เกิดจากพฤติกรรมการกินอยู่ พักผ่อนไม่พอ
-ระบบย่อยมีปัญหาส่วนหนึ่งเกิดจากพฤติกรรมการทานอาหารของเราเอง เคี้ยวไม่ละเอียดพอ ดื่มน้ำระหว่างมื้อ ชอบทานของทอด อาหารรสจัดเปรี้ยว เค็ม เผ็ด ทานหนักในมื้อเย็น มีลมในท้อง และคอเรสเตอรอลสูง (ไม่ทานยา) มีปัญหาคืออึดอัด แน่นท้อง ตื่นเช้ามาพร้อมกับการมึนหัวแทบทุกเช้าเคยเปลี่ยนการทานมื้อเย็นให้เสร็จก่อน 17.00 น.ทานให้น้อยลงก็ดีขึ้นมานิดหน่อยเท่านั้น (ช่วงนั้นอดข้าวเย็นไม่ได้)
การรักษา
ใช้การปรับสมดุลร้อน-เย็นของอาหารเป็นหลัก ใช้เกลือปรุงอย่างเดียว ไม่ใช้น้ำมัน ใช้น้ำผัดกับข้าวแทน ลดการใช้กะทิ ทำดีท็อกซ์ โยคะ ร่างกายดีขึ้นไม่อึดอัดตั้งแต่ประมาณเดือนเมษายน ลดมื้ออาหารเหลือทานมื้อเดียว ปัจจุบันสุขสบายเบากายมีกำลัง ไม่มีอาการอึดอัดตัวอีกแล้ว
3. ออฟฟิศซินโดรม ปวดหลัง ไหล่สะบัก บ่าร้าวลงไปถึงเอว
อาการปวด เริ่มสะสมเรื้อรังจากการนั่งทำงานอยู่กับคอมพิวเตอร์ทั้งวันมาสิบกว่าปี แต่ก็ไม่ได้กระทบกับกับใช้ชีวิตประจำวันอะไรมากมายก็เลยไม่ได้ดูแลรักษาตัวเองแต่อย่างไร เมื่อต้นปี 2556 ปวดสะบักหลังกับบ่าหนักขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มเข้าร้านนวดแผนไทย กับไคโรแพรคติก (หมอบอกว่าเป็นพังผืดจับอยู่ที่สะบัก) แต่ก็ยังปวดอยู่เหมือนเดิม จนกระทั่งเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม 2556 เป็นช่วงที่ต้องทำงานหนักทุกวันตั้งแต่ 08.00-23.00 น ไม่มีวันหยุด จนอาการปวดหลังหนักมากปวดร้าวไปถึงเอว ต้องเข้าร้านนวดแผนไทยในวันนั้นทันที หลังจากนั้นต้องเข้าร้านนวดเดือนละ
2-3 ครั้ง เดือนกุมภาพันธ์เริ่มฝังเข็มจนถึงเดือนมีนาคม 2557 ก็ยังปวดอยู่
การรักษา
เริ่มทำโยคะของแพทย์วิถีธรรมประมาณเดือนเมษายน อาทิตย์ละ 3-4 วัน โดยเน้นท่าเหวี่ยงแขนซ้าย-ขวา ท่าเชิดหน้าแอ่นตัวไปด้านหลัง ท่าแตะสลับเท้าซ้าย-ขวาคืนกลับหลัง และท่ายกมือไข้วหลังเอามืออีกข้างเกี่ยวกันไว้ ทำค่อนข้างต่อเนื่องจนถึงเดือนพฤษภาคมไม่มีอาการปวดเหลืออยู่เลย ปัจจุบันดูแลตัวเองได้แล้วไม่ต้องเข้าร้านนวด หรือไคโรแพรคติกอีกแล้ว
4. แผลร้อนในในปาก
อาการจะเป็นทุกเดือนประมาณ 2-3 อาทิตย์กว่าจะหาย ส่วนใหญ่จะเป็นซ้ำที่เคยเป็นทั้งในปากและที่เหงือก
การรักษา
ใช้การปรับสมดุลร้อนเย็นของอาหารเป็นหลัก ปกติใช้ผงถ่านของแพทย์วิถีธรรมและน้ำปัสสาวะแปรงฟันทุกวัน ช่วงที่เป็นจะเสริมด้วยการอมน้ำปัสสาวะ ทาน้ำมันเขียวที่แผล ดื่มน้ำสกัดย่านางผสมน้ำเป็นบางครั้ง ดีท็อกซ์ พอกหน้า ปัจจุบันพอเริ่มขึ้นตุ่ม เจ็บเล็กน้อย (ก่อนที่จะแตกเป็นแผล) ได้เพียง 2-3 วันก็จะยุบหายไปเอง แผลที่เหงือกตำแหน่งที่เป็นประจำก็หายไปไม่เป็นอีกเลยตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่เริ่มใช้วิธีนี้
5. ภูมิแพ้ น้ำมูกข้นไหลลงคอตลอดเวลาและภูมิแพ้ขึ้นตา
อาการเป็นภูมิแพ้ตั้งแต่เด็ก แพ้อากาศ ฝุ่น จาม น้ำมูกข้นจมูกด้านขวาตันหายใจไม่สะดวก แพ้ขึ้นตา แพ้อาหารทะเล มีปัญหาเรื่องการหายใจแต่อาการต่าง ๆ เหล่านี้ลดลงจนถึงหายไป ปัจจุบันเหลือเพียงน้ำมูกข้นไหลลงคอตลอดเวลา และภูมิแพ้ขึ้นตาเท่านั้น
การรักษา
น้ำมูกข้น (กำลังอยู่ระหว่างการรักษา) ใช้การปรับสมดุลร้อนเย็นของอาหาร สูดน้ำปัสสาวะล้างจมูกวันละ 3-5 ครั้งทุกเช้า จะหายใจโล่งได้จนถึงเย็น น้ำมูกข้นถึงเริ่มกลับมาเยอะขึ้นอีก กดจุดลมปราณ อบน้ำสมุนไพร สูดหายใจเข้าปอดเป็นบางครั้ง
ภูมิแพ้ขึ้นตา (กำลังอยู่ระหว่างการรักษา) หยอดตาด้วยน้ำปัสสาวะทุกเช้า ในระหว่างวันถ้ามีการแพ้จะใช้น้ำสกัดย่านางหยอดตา อาการแพ้ขึ้นตาลดลงไปมากไม่ถี่เหมือนเมื่อก่อน
โดยรวมแล้วใช้การปรับสมดุลร้อนเย็นของอาหาร ลด ละ เลิกอาหารพิษออกไป ดีท็อกซ์ ควบคู่กับธรรมะเป็นหลักในการดูแลตัวเอง ดื่มน้ำปัสสาวะทุกเช้า-ก่อนนอน และชิมหลังอาหารเพื่อตรวจว่าอาหารที่ทานเข้าไปเป็นอย่างไร ร่างกายดูดซึมมากน้อยแค่ไหน อย่างไร อวัยวะส่วนไหนทำงานหนักบ้าง ส่วนยาเม็ดอื่นใช้เสริมตามอาการเป็นครั้งคราว
แรงจูงใจที่มาเป็นจิตอาสา
เริ่มเข้ามาเป็นผู้ช่วยจิตอาสาที่สวนป่านาบุญ 3 เมื่อเดือนตุลาคม 2557 จากการได้ฟังทาง Youtube ทั้งค่ายสุขภาพ และค่ายพระไตรปิฎก ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2557 และทาง www.morkeaw.net รวมถึงการเข้าค่ายสุขภาพตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน ได้รู้ ได้เห็น สัมผัสถึงคุณธรรมและความจริงใจ ในการช่วยเหลือผู้คนโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนหรือผลประโยชน์ส่วนตนแต่อย่างใด ของอาจารย์หมอและทีมงานจิตอาสา หลายสิ่งหลายอย่างตรงกับชีวิตและจิตวิญญาณของเรา ประกอบกับการรักษาตัวเองจากโรคที่เป็นอยู่ก็หายแล้ว แข็งแรงทั้งกายและใจกว่าทุกช่วงชีวิตที่ผ่านมา เข้าใจและไม่มีข้อสงสัยใด ๆ ต่อการรักษาตามแนวทางแพทย์วิถีธรรม
จากการเข้าค่ายนั่งฟังอย่างเดียวมา 4 ครั้งแล้ว ในครั้งต่อไปจึงขอเริ่มบำเพ็ญบุญกุศลช่วยงานและกระจายบุญของเราให้กับพี่น้องทุกท่านที่ค่าย พร้อมกับได้ฟังอาจารย์หมอบรรยาย ฟังซ้ำให้แน่นเข้าไปอีกทั้งด้านสุขภาพและธรรมะ โดยเฉพาะธรรมะที่อาจารย์หมอสอนเป็นทางที่เรากำลังฝึกและพัฒนาจิตวิญญาณ เพื่อไปสู่จุดหมายคือการบรรลุธรรม เป็นธรรมะที่ละเอียดลึกซึ้งที่หาฟังที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ฟังง่าย เข้าใจง่าย ตอบข้อสงสัย ได้รู้ในสิ่งใหม่ที่เรายังไม่รู้ และทำให้เราพัฒนาจิตวิญญาณของเรา ที่กำลังฝึกอยู่ไปได้เร็วมากขึ้น เป็นองค์รวมทั้งหมดที่เราหาอยู่ และได้ความรู้ ข้อมูล เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย จากลุง ป้า พี่ น้องจิตอาสาทั้งการเข้ากลุ่มหรือนอกกลุ่ม ได้ฝึกฝนตนเองให้มีภูมิความรู้และทักษะให้มากขึ้น แน่นขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้คน ญาติพี่น้อง และดูแลตัวเอง จุดหมายของชีวิตชัดเจนแล้วเพียงแต่ ณ ตอนนี้ยังมีหน้าที่ที่สำคัญที่สุดในชีวิตที่ต้องทำอยู่ เมื่อหมดบุญที่จะทำหน้าที่นี้แล้ว ก็ขอบำเพ็ญบุญกุศลร่วมกับอาจารย์หมอและทีมงานจิตอาสาจนสิ้นอายุขัย